อยู่ที่ไหนก็ไม่สุขใจเหมือนประเทศไทยเรา...ขอโทษด้วยนะคะที่เจ้าบ้านไม่ค่อยได้อัพเดทเลย อย่าเพิ่งโกรธกันนะคะ ไม่มีเน็ตเล่นหง่า... :( “Just being alive is such a lovely and wonderful thing”. - Aya (1 litre of tears)

Group Blog
 
 
เมษายน 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
15 เมษายน 2551
 
All Blogs
 
ความน่ารัก(น่าเกลียด)ของคนแก่ (จริงเท็จอย่างไร?)









หลังจาก up blog "พ่อแม่แก่เฒ่า" ก็เหลือบไป

เจอบทความเกี่ยวกับคนแก่ที่เขียนโดย คุณเสริมลาภ วสุรัต ค่ะ

มีการวิเคราะห์ลักษณะนิสัยของคนแก่ไว้ลึกซึ้งทีเดียวเชียว...เอาเป็นว่า

อ่านและคิดตามกันเองละกันน้า เพราะวันข้างหน้าเราก็ต้องเป็นแบบนี้ล่ะ







"ผู้ใหญ่ในวันนี้ คือ ผงธุลีในวันหน้า " และ ..ผู้ใหญ่ในวันนี้ คือที่หกสิบขึ้นไปล่ะ

อย่าไปหลงระเริงกับคำป้อยอทั้งหลายแหล่ะ..เรียก ท่านผู้สูงบ้างละ ผู้อาวุโส

บ้างละ หรือไม่ก็ ท่านผู้ใหญ่ในวัยทองบ้างละ เพราะเมื่อท่านย่างเข้าวัยชรรา

จากหกสิบ เจ้า "โทษสมบัติ " 20 ข้อ ที่เรียงไว้ในตอนต้น จะมาอยู่กับท่าน

จะน้อยข้อหรือมากข้อขึ้นอยู่กับการ "รู้ตัว" ของท่านเอง ถ้าไม่ยอมรู้ตัว

ศึกษาแล้วมารู้จักควบคุมตัวเอง

มารู้ตัว - ช่วยกันแก้ไขดีกว่า




1. หงุดหงิดง่าย

เชื่อว่า เป็นกันเกือบทุกคนจะทำอะไรดูมันไม่ได้ตั้งใจ

จะหยิบ จะฉวยอะไรดูมันพาลจะหลุดจากมือไปเสียง่าย ๆ เคยตอกตะปูโป้ง ๆ

ได้ อย่างแม่นยำ ยังมาตอกเอานิ้วตัวเองเสียแล้ว เคยเข็นเก้าอี้ เปลี่ยน

หลอดไฟ แผลบเดียวเสร็จ นี่เข้าไปตั้งเกือบห้านาที ใส่ผิดใส่ถูก มือไม้สั่น

มองไม่ค่อยเห็น ก็เกิดหงุดหงิด รู้ตัวว่าสังขารเรามันเริ่มชวนเราให้ไปเป็นผง

ธุลีแล้ว จะได้ระงับอารมณ์ และเลิกหงุดหงิดได้



2. ใจน้อย

โทษสมบัติข้อนี้ มักจะเป็นกับท่านที่เคยเป็นใหญ่มาก่อน เคยมีคนมาพินอบ

พิเทาทำโน่นให้ ทำนี่ให้ เพราะเราเป็นใหญ่ เป็นนายเขา พอเราเกษียณ หรือ

แก่ตัวเข้า ขอให้เขาช่วยทำเคยมีบุญคุณกับเขา หรือลูกเรา เราก็เลี้ยงเขามา

โน่นทำนี่ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เมื่อไม่ได้ก็เกิดความรู้สึก ความคิดเข้ากับตัวเอง

สมัยก่อนเราให้มันสาระพัด ดูซิ เพียงแค่นี้ มันช่วยเราไม่ได้


เหตุที่เกิดก็เพราะ เมื่อเริ่มชรา เริ่มทำโนน่ - ทำนี่ที่เคยทำเองได้แต่ทำไม่ได้

แล้ว ต้องพึ่งพาลูกหลานที่เด็กกว่า แล้วพึ่งเขาไม่ค่อยได้ เกิดน้อยใจ และ

คิดถึงบุญคุณ..


เลิกน้อยใจ เอาวลีสั้นๆ นี้ไปใช้ช่วยตัวเองดีกว่า "การให้แล้วคิดถึงบุญคุณ

เป็นทุกข์อย่างยิ่ง"




3. เอาแต่ใจตัวเอง

เกิดกับคนที่เคยได้อะไรก็ได้ คนที่เคยถูกตามใจ ได้รับการเอาใจ และ คนที่

มีความเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้ง "เป็นใหญ่" มาเสียจนเคยตัว "ชี้นกต้องเป็นนก ชี้

ไม้ต้องเป็นไม้" คนประเภทนี้ ถ้าไม่รวย ไม่มีทรัพย์สมบัติ ไม่มีพินัยกรรมให้

เป็นที่หวังของลูกหลาน ไม่มีใครอยู่ด้วยหรอก ลูกหลานหนีหมด

แก่แล้ว ถ้าไม่อยากอยู่คนเดียว สร้างความรู้สึก ความคิด เอาใจเขามาใส่ใจ

เรา คิดไว้ เสมอว่า แม้แต่ตัวเราเอง ยังทำอะไรที่อยากทำทุกอย่างไม่ได้ มัก

น้อย ได้แค่นี้ก็ดีแล้ว




4. ชอบจับผิดคนอื่น

หลายคนคงคิดว่าเป็นครู ไม่ใช่หรอก น่าจะเป็นนักวิชาการที่ไม่เคยทำอะไร

เลย นอกจากพูด เนื่องจากไม่เคยทำอะไรเลยก็เลยไม่เคยทำผิด ยิ่งถ้าเป็น

คนพูดเก่งออกทีวีบ่อย ๆ มีการแสดงความรู้หนังสือพิมพ์บ่อย ๆ ก็เลยคิดว่า

ตัวเองเก่ง คนอื่นทำไม่ถูกทำผิดหมด


อีกประเภทหนึ่งก็คือคนที่มีความรู้ทำงานเป็น ทำงานมาก และคิดว่าตัวเอง

เก่งกว่าคนอื่น และไม่อยากเห็นคนอื่นเก่งกว่า ตัวแก่แล้วไม่มีอะไรทำก็คอย

จับผิดเขา


...จากโคลงโลกนิต...

"โทษท่านผู้อื่นเพี้ยง เมล็ดงา

ปองติฉินนินทา ห่อนเว้น

โทษตนเท่าภูผา ใหญ่ยิ่ง

ป้องปิดคิดซ่อนเร้น เรื่องร้าย หายสูญ"



...จากโคลงสมัยโลกาภิวัฒนา...

"โทษท่านผู้อื่นเห็น เช่นภูเขา

โทษของเรามองไม่เห็น เท่าเส้นขน

ตดคนอื่นเหม็นเบื่อ เราเหลือทน

ตดของตนถึงเหม็น ไม่เป็นไร"



5. ดื้อ

คนแก่ที่มีนิสัยอย่างนี้ เป็นคนแก่ที่สมบุกสมบันกับชีวิต ดิ้นรน ต่อสู้กับการหา

ความรู้ ต่อสู้กับการทำมาหากิน จากไม่มี จนมี จากเป็นลูกน้องตัวเล็ก ๆ มา

เป็นเจ้านายใหญ่โต มีความชื่นชม หยิ่งในตัวเองเสียจนไม่ต้องการพึ่งใคร

ใครบอก เตือนอะไรก็ไม่เชื่อ ไม่ฟัง ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง โดยเฉพาะคนที่

เคยเป็นเจ้านายใหญ่โต มีแต่ออกคำสั่ง สั่งคนอื่นจนเกษียณ จากงาน ติด

เป็นนิสัย ใครมาสั่งไม่ได้เช่น เมื่อแก่มาก ๆ ลูกหลานมาขอให้ทำโน่น ทำนี่

กินยา กินข้าว อาบน้ำ .. ฯลฯ ก็ดื้อ ไม่ทำเสียเฉยๆ เคยเป็นใหญ่ ใครจะมา

สั่งไม่ได้ ถ้าจะทำ ทำเอง ไม่ต้องให้ใครมาสั่ง ดื้อแบบที่เรียกว่าดื้อแพ่ง

พจนานุกรมราชบัญฑิตสถานอธิบายลูกหลานของดื้อไว้ว่า ดื้อ ตัวแม่มีความ

หมายว่าไม่ยอมเชื่อฟังหรือทำตาม ออกลูกออกหลานเป็น ดื้อดัน ขัดขืนจะ

เอาชนะ ดื้อด้าน -ดื้อเสีย จนเคยชิน ดื้อดึง - ดื้อไม่ยอมฟังเหตุผล และ ดื้อ

แพ่ง ที่กล่าวมาแล้วว่า ขัดขืนไม่ยอมปฏิบัติตาม


จะเป็นใหญ่เป็นโตมาจากไหน แก่แล้ว ยังไง ๆ ก็จะต้องพึ่งพาคนรุ่นหนุ่ม -

สาว เขา อย่าดื้อไปเลย




6. พูดมาก

ถ้าเป็นคนสมัยก่อน ฝ่ายหญิงอยู่ดูแลบ้าน ไม่

ค่อยได้ไปไหน ไม่ค่อยได้พบได้พูดกับใคร พวกนี้รู้สึกว่าจะได้นิสัยนี้มา

ตั้งแต่ยังไม่แก่ด้วยซ้ำ อยู่บ้านทั้งวัน ไม่รู้จะพูดกับใครพอเจ้าประคุณกลับ

มา ก็พูด....พูด...พูด พรุ่งนี้ต้องจ่ายค่าไฟนะ - ถอดเสื้อออกผึ่งเสียก่อนนะ -

เหงื่อไคลเหม็นออก - บ้านโน้นเค้าซื้อรถใหม่ เมื่อไรเราจะเปลี่ยนรถเสียที

รถเราแอร์ก็๋ไม่มี เวลาเข้าบ้านฉันต้องเอากระจกขึ้นเดี๋ยวบ้านโน้นเค้านะดู

ถูกว่ารถเราไม่มีแอร์ ...ฯลฯ นี่ขนาดยังไม่หกสิบยังพูดแค่นี้นะ ถ้าหกสิบ

แล้วจะพูกสักแค่ไหน ไม่อยากให้ใครเขาเบื่อความน่าเกลียดของคนแก่ใน

ข้อนี้ ต้องหัดเป็นผู้ฟังที่ดี ใช้ประโยชน์จากคำคมน้าชาติ




7. อวดรู้ เป็นคู่หู

ไปไหนไปด้วยกันกับพูดมาก พจนานุกรมให้คำอธิบายว่าเป็นกริยา อาการ

ให้คนรู้เห็น หรือเข้าใจว่า ตนรู้จะสำแดงด้วยอะไรล่ะ ที่ง่ายที่สุด ก็คือด้วย

ปากพูดส่วนมากมักจะเป็นที่เคยเป็นใหญ่เป็นโตมาก่อน เคยใหญ่มา ไม่มีใคร

กล้าขัดคอ พูดอะไรก็ได้ ทำอะไรก็ได้ ก็เลยติดเป็นนิสัย นาน ๆ เข้าก็เลย

เป็นสันดาน คิดว่าตัวเองรู้หมด รู้มาก คิดว่ามีประสบการณ์มากเลยรู้ไปเสีย

ทุกอย่าง




8. อวดเก่ง

ใครเขาจะพูดอะไร จะคุยอะไร จะสอดแทรกว่า รู้ด้วยไปเสียหมด ถ้าอยู่ใน

วงที่เด็กกว่า เขารำคาญ ก็ปล่อยไป ทนฟังไป อวดเก่ง พวกอวดเก่งในกลุ่ม

นี้ ส่วนใหญ่ จะเป็นต่อหน้าสาวๆ ก็ยากจะอวดอยู่น่ะแหละ ส่วนมาก เป็นการ

กระทำให้เห็นว่า ยังไหว ยังแน่จะขึ้นลงบันได ถ้าใครจะมาช่วย มาจูง....ไม่

เป็นไรยังไหว หมอเข้าสั่งว่า อายุมาก แล้วอย่ายกของหนักเกิน 20 กิโลกรัม

นะ อวดเก่ง ไม่เชื่อ หลังเดาะไปเลย




9. อวดดี

อวดแบบนี้ก่อให้เกิดความหมั่นไส้แก่ผู้อื่น ใครจะเตือนอะไรก็ไม่เชื่อ อวดดี

กับอวดเก่ง ความหมายใกล้เคียงกันมาก เพียงแต่ว่าอวดเก่ง เป็นภัยแก่ตน

เอง แต่อวดดีเป็นภัยต่อส่วนรวม




10. อวดกล้า

"ชนใดโผงพูดโอ้ อึงดัง

อวดว่ากล้าอย่าฟัง สับปลี้

หมาเห่าเล่าอย่าหวัง จักขบใครนา

สองเผ่าเขาเหล่า ชาติเชื้อ เดียวกัน"




11. อวดฉลาด

อวดฉลาดกับอวดรู้ ความหมายใกล้เคียงกันมาก มานึกถึงประโยคนี้ "เด็กคน

นี้มันฉลาด เก่งจังนะ หัวดี สอบได้ที่หนึ่งเรื่อยๆ "จึงพอจะเห็นความแตกต่าง

ได้ว่า อวดฉลาดต้องมีการเปรียบเทียบ คือการแสดงความอวดรู้ที่ดีกว่าคน

อื่น ส่วนอวดรู้ เป็นการแสดงว่า ข้ารู้ กับคนอื่นที่ไม่รู้


การอวดฉลาด หรือแสดงความอวดรู้ที่เก่งกว่าคนอื่น ถ้ารู้จริง ก็เป็นสิ่งที่ดี

ช่วยคนที่รู้ไม่จริงให้ได้ประโยชน์ แต่มนุษย์เรา มีสักกี่คนที่ชื่นชม เห็นคนอื่น

เก่ง - ฉลาดกว่าตนเอง คุณหลวงวิจิตรวาทการ ให้ภาษิตสอนไว้ เป็นคำคมที่

ไม่ตามมาจนบัดนี้...


"แท้ที่จริงเขาก็เห็นว่าเราดี

แต่พอเด่นเข้าทุกทีเขาหมั่นไส้

จงทำดีอย่าให้เด่นจะเป็นภัย

ไม่มีใครเขาอยากเห็นเราเด่นเกิน"


คนที่เขารู้จริง ๆ มักไม่ค่อยอวด แต่ที่รู้ไม่จริงแต่อยากอวด อยากแสดง คิด

ว่าตัวเองเป็นผู้อาวุโสแล้ว คงไม่มีใครรู้ทัน คนที่รู้จริงเขาจะหัวเราะเยาะเอา




12. ขี้ลืม

ขี้ลืมนี่ คงไม่ใช่ความเลวร้ายอะไร เวลาบ่น ลืมโน่นลืมนี่ ลูกชายที่เป็นหมอ

เขาก็ปลอบใจว่า อย่าไปเป็นกังวลอะไรเลย ชักนำให้เกิดกริยาที่เป็นที่น่า

เกลียดหรือน่ารำคาญกับผู้ที่เกี่ยวข้อง แต่ที่ไม่ให้นำมาเข้าข้อในรายการก็

เพราะ คนไม่แก่ก็เป็นเหมือนกัน นั่นคือ ทำให้เกิดอาการ "ใจร้อน " จะคิด -

จะทำอะไรก็รีบเร่ง เพราะกลัวจะลืมถ้าไม่รู้สึก-ควบคุมตัวเอง พะวงเรื่องขี้ลืม

จนทำให้เกิดนิสัยใจร้อน ก็จะกลายเป็นเรื่องทำความรำคาญให้คนข้างเคียง

เหมือนกัน


คงจะแก้ไขด้วยการฝึกตัวเอง คิดจะทำอะไร ทำเสียทันทีก่อนลืม ข่ม -

บังคับความใจร้อนเพราะกลัวลืมของตัวเอง




13. ขี้บ่น

คงเกิดจากความที่เห็นโลกมามากมานาน เด็ก ๆ รุ่นหลังทำอะไร ดูมันขวางหู

ขวางตาไปเสียหมด ทำอะไรเขาไม่ได้ก็ได้แต่บ่น หรือเพราะไอ้ความใจร้อน

กลัวลืมที่กล่าวใน หัวข้อ ขี้ลืม อยากเร่งให้ลูกหลานทำอะไร ไม่ได้ดังใจก็

บ่น หรือถ้าเกิดแก่ตัวเองอย่างเช่นตัวอย่าง วรรคสุดท้ายของข้อที่แล้ว คือขึ้น

มาชั้นบนแล้วจำไม่ได้ว่าจะขึ้นมาทำอะไร ก็คงจะบ่น - อาจจะเป็นบ่นในใจก็

ได้ว่าโธ่เอ๋ยกูหนอกู แก่ถึงขนาดนี้แล้วเชียวหรือ....




14. ขี้สงสัย

ทำไม ? อะไร ? ว่าไงนะ ? สงสัย ถามเสียเรื่อย คนที่อยู่ใกล้เคียงก็สุดแสน

จะรำคาญ


เรื่องนี้เห็นจะต้องขอความเห็นใจ ต้นเหตุคงมาจากสองกรณี คือ แก่แล้วอยู่

แต่ในบ้าน ไม่ค่อยจะได้ไปไหน เห็นใครเขาคุยอะไรกันก็อยากที่จะรู้บ้าง

หรือไม่ก้อ ประสาท หู ชราภาพลงด้วย ฟังอะไรไม่ค่อยได้ยิน ก็ต้องถาม

ถามบ่อย ๆ คนถูกถามเขาก็รำคาญและนินทาอย่างที่เขียนไว้ข้างบนน่ะแหล่ะ

และถ้าถามแล้ว ตอบมั่งไม่ตอบมั่ง หรือไม่เต็มใจตอบ หรือไม่ตอบเลย

หลายหนหลายครั้งเข้าก็จะมีนิสัย ขี้โมโห




15. ขี้โมโห

นอกเหนือจากการโกรธที่เกิดใน ความขี้สงสัย แล้วพวกขี้โมโหอีกพวกคือ

ท่านผู้ที่เคยมีฤทธิ์มาก เคยเป็นใหญ่เป็นโตมาก่อน หรือเป็นท่านที่มีทรัพย์

ทางการเงิน มีเงินมากใช้ตบหัวคนได้ง่าย ๆ ก็โมโหง่าย สังเกตดูให้ดีเถอะคน

ที่เสียงดัง อวดอำนาจ บารมีด้วยการแสดงความโกรธ - โมโห ให้คนเกรง

หลงจู๊ เจ้าของโรงสีโกรธ ไล่เตะจั๊บกัง แสดงความโมโหโกรธา ได้จั๊บกังไม่

สู้ ไม่ใช่เพราะกลัวว่าหลงจู๊เก่งกว่าหรอก มันเกรงบรมี อำนาจ - เงินมากกว่า




16. ขี้ตืด

พจนานุกรมราขบัญฑิตแปลความว่า หนืด ตระหนี่ ตรงกับคำว่า เหนียว หรือ ขี้เหนียว คือ ตระหนี่เหมือนกัน

คงจะต้องแบ่งเป็นสองพวกคือ พวกตระหนี่ถี่เหนี่ยว หรือ จะมีเพื่อนได้

อย่างไรเล่า ก็เพื่อนขี้ตืดขี้เหนียวเสียจนไม่มีใครคบ นอกจากไม่ให้ใครแล้ว

ถ้ามีโอกาสเอาเปรียบเขาเสียอีกด้วย สังขารไม่ให้ ทำมาหากินไม่ได้

เหมือนอย่างแต่ก่อน มีแต่จะลดลง หรือคนแก่ที่พอมีอันจะกิน แต่ไม่แน่ใจ

ต่อการเหลียวแลของลูกหลาน พวกนี้ก็จะเริ่มคิดถึงตัวเอง ระวังตัว

เริ่มรอบคอบในเรื่องค่าใช้จ่าย เพื่อนฝูง คนข้างเคียง จึงเห็นเป็น

คนขี้ตืดไป แต่ถ้ามีเหลือเฟือแล้วยังแสดงอาการอยากได้ ไม่อยากเสีย

พจนานุกรมให้นิยามว่า "งก"




17. ขี้เกียจ

ที่ยังไม่แก่ มีเยอะแยะไปที่ขี้เกียจ ความขี้เกียจตั้งแต่ยังไม่แก่ หรือ ตั้งแต่

ยังเด็ก คือ ขี้เกียจเรียน ขี้เกียจทำงานแต่พวกที่ยังหนุ่ม - สาว ขยัน แต่มาขี้

เกียจตอนแก่ถ้าไม่เอาเปรียบใคร ก็ไม่เลวร้ายอะไรนัก แต่ถ้าขี้เกียจแล้วยัง

เอาเปรียบคนข้างเคียง หรือ คนที่อยู่ร่วมกัน ก็จะเป็นคนที่น่ารังเกียจ แม้แต่

ลูกหลานก็ไม่อยากมีใครอยู่ด้วย


เขียนขอความเมตตาให้กับคนแก่ที่ไม่ได้ขี้เกียจเพราะเป็นสันดาน ขี้เกียจแต่

ไม่เอาเปรียบใคร ว่า ความขี้เกียจที่เกิดขึ้น น่าจะเริ่มเกิดจากความ "ล้า" ของ

สังขารเสียมากกว่า เดิมเคยตักน้ำรดน้ำต้นไม่ได้ ครั้งละ 10 ถัง พอเข้าหก

สิบไอ้ที่ได้สิบถังชักจะเริ่มเหนื่อยและหอบ ต้องลดลงมาเหลือ 6 ถัง แต่งตัว

จะออกไปไหนมาไหนพอนั่ง ก้มตัวใส่ถุงเท้า ไปไหนที่ไม่ใช่เป็นงานพิธีการ

เป็นงานส่วนตัว ใส่รองเท้าแตะดีกว่า


แก่แล้ว ทำตัวให้ "เรียบและง่าย " อย่าให้เป็นที่เดือดร้อนรำคาญแก่ใคร ๆ ก็

แล้วกัน




18. ขี้โม้

ก็คงจะรวมถึง "ขี้คุย " ด้วยเพราะคุยมาก พูดมาก มันก็ต้องมีจริงมั่งเท็จมั่ง

ปนเข้าไปน่ะแหล่ะ บางทีอาจไม่ตั้งใจ แต่เพราะความอยากพูด พอหลุด พูด

ออกไปแล้วก็เลยตามเลยแก่แล้ว ไอ้เด็ก ๆ พวกนี้มันไม่รู้หรอก


คน เมื่ออายุมาก ๆ เข้าก็ชักจะไม่อยากออกไปไหนโดยไม่จำเป็น อยากอยู่

บ้าน (ถ้าบ้านน่าอยู่) การคบหาสมาคมกับเพื่อนร่วมรุ่นด้วยกันชักจะน้อยลง

ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เกิดความเหงาเมื่อมีโอกาส ก็เลยต้องคบกับ "เพื่อนกิน "ที่

เด็กกว่า คบกับเด็กแล้วจะเอาอะไรไปคุยกะเขาล่ะ เรื่องของรุ่น ๆ เขาเราก็ไม่

รู้ จะคุยกะเขาเรื่องปัจจุบันหรือ ไอ้เราก็อยู่แต่ในบ้าน ไม่ค่อย ได้ไปไหน ก็

ไม่รู้เรื่องกะเขา ก้อต้องคุยกะเขากับเรื่องที่เรารู้ นี่แหล่ะที่มาของคำที่เขาอ้าง

ถึงคนแก่ว่าชอบเล่าความหลัง


คุยไปคุยไปหมดเรื่องคุย เอาเรื่องเดิมมาเล่าอีกจนถูกขัดคอบ่อย ๆ เข้า

นี่ "ลุง พวกผมฟังเรื่องนี้เป็นครั้งที่สามแล้วนะ " ทำไงดี เอาเรื่องจริงมั่งเท็จ

มั่ง เล่าให้ฟังดีกว่า เด็กวานซืน มันคงไม่รู้หรอก เรื่อง ขี้โม้ มันเลยเกิดขึ้น




19. ขี้เมื่อย

ความเมื่อยของคนแก่สมัยโบราณกับคนแก่สมัยนี้ต่างกันลิบลับเลย แบบ

สมัยโบราณพอมีให้ดูได้ที่วัดโพธิ์ ซึ่งเป็นต้นตำหรับช่วยพวกที่เมื่อยทั้ง

หลาย โปรดสังเกตว่า จะใช้คำว่า "เมื่อย" เฉย ๆ ตอนนี้แต่หัวข้อมีคำว่า "ขี้"

ซึ่งเป็นของเสีย ของที่ไม่ดีมานำหน้า บ่งถึงความเมื่อยที่ไม่ดีสมัยนี้

แหล่งบริการให้แก่พวกขี้เมื่อยมีเกลื่อนเมือง เขาว่าเป็นบริการที่ช่วยทำให้คน

แก่กลับไปเป็นเด็กเพราะรวมถึงช่วยทำให้คนแก่กลับไปเป็นเด็ก เพราะรวม

ถึงบริการอาบน้ำอาบท่าให้ด้วย




20. ตัณหากลับ


ข้อสุดท้ายที่เป็นเรื่องที่เขาว่าผู้ชายแก่ ๆ พวกที่ชอบไปสะเงาะสะแงะสาว ๆ

ตามคำโบราณที่ว่า "ชอบสาว ๆ "


ก็ไม่เป็นไร โลกและธรรมชาติเป็นเรื่องความสมดุลย์ ถ้าฝ่าฝืนกันเกินไป

อายุสั้น ก็อย่าว่ากัน...นะ





@ 555...ตรงจริงๆ @



Create Date : 15 เมษายน 2551
Last Update : 15 เมษายน 2551 8:41:35 น. 0 comments
Counter : 697 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

cadeau
Location :
Tasmania Australia

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]




Friends' blogs
[Add cadeau's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.