เบื้องหลัง This Is It

ทีมแปล

1. คุณรัก MJ เหมือนกัน
2. แอร์ริโกะ
3. คุณ P.S.T

...............

Part 1: By คุณรัก MJ เหมือนกัน

ฉันได้เห็นข้อความนี้มาจากบอร์ดอีกบอร์ดหนึ่ง มันมีประเด็น (เรื่องจริง) ที่น่าสนใจ ที่อาจจุดประกายความคิดบางอย่างให้กับคนอ่านได้ล่ะ โทษที ถ้าฉันโพสมันผิดห้อง สำหรับฉันแล้ว เรื่องนี้มันบอกอะไรมากเลยล่ะ และ มันช่วยยืนยันสิ่งที่ปารีส (ลูกสาวของไมเคิล) พูดเกี่ยวกับการที่พ่อของเธอทำงานหนักมากเกินไป ฉันคิดว่าช่วงซ้อม this is it ก็ด้วย ไมเคิล คนที่เราเห็นกัน ดูเซื่องมากกว่าที่เคยเป็น เหมือนเขากำลังต้องทำงาน ไม่ใช่กำลังทำในสิ่งที่เขารัก

//www.mjj2005.com/kopboard/inde...=#entry1229658

เมื่อวาน ฉันได้มีโอกาสได้คุยกับคนที่ทำงาน This is it บุคคลคน ๆนี้ได้เคยร่วมงานกับไมเคิลเมื่อครั้งอดีต ฉันเคยเห็นเขาในทีวีมาก่อน เขาใกล้ชิดกับไมเคิล และ ฉันก็เห็นเขาในหนังด้วย ชื่อของเขาปรากฏขึ้นในตอนท้ายด้วยนะ (End credits- รัก MJ เหมือนกัน) เขาอยู่ในไมอามี่ มาพักผ่อนกับครอบครัว และเพื่อนของฉันรู้จักเขา ฉันขอร้องเขาให้ฉันได้พบเขา

และ เขาเป็นคนที่ดีมาก ๆ เลยล่ะ แล้วเขาก็รักไมเคิลด้วย

ชายคนนั้นไม่ว่าอะไร ถ้าฉันจะแบ่งปันสิ่งที่เขาบอกฉันกับพวกคุณ แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยเงื่อนไขที่ว่า ชื่อของเขาจะไม่ได้รับการเปิดเผย

เขายังอยู่ภายใต้สัญญากับAEG/Sony และ สามารถพูดอย่างเป็นทางการ ได้แค่เรื่องที่ดีเกี่ยวกับหนังและคอนเสิร์ต

อย่างที่เขาบอกฉันนะ “นี่ ผมยังต้องกินต้องใช้นะ เพราะงั้น ผมจำเป็นต้องทำตามที่พวกเขาบอก”

อย่างไรก็ดี ในเวลาเดียวกัน เขาก็บอกให้ฉัน “แบ่งปันสิ่งที่ผมพูดกับแฟน ๆ คนอื่น ๆ ด้วย เพราะว่า มันเป็นเรื่องสำคัญมาก ที่แฟน ๆ ของไมเคิลควรได้รับรู้”

ชายคนนี้ให้ความนับถือและชื่นชมไมเคิลมาก และพวกเขารู้จักกันมามากกว่า 20 ปีแล้ว

นี่คือ เรื่องสำคัญที่สุดที่เขาบอกฉัน;

- ไมเคิลเป็น คนดี และอ่อนน้อมเสมอ ตั้งแต่พวกเขาพบกันครั้งแรกเมื่อ 20 ปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม เขาได้สังเกตว่า ระหว่างช่วงเวลาการซ้อม ไมเคิล ดูเหมือนจะ ถ่อมตัวมากกว่าปกติ จนถึงจุดที่ เขาคิดว่า ไมเคิลคงรู้สึก ไม่ปลอดภัยอย่างมาก ในช่วงเวลานั้น เขาเห็นว่า ไมเคิล ดูอ่อนแอ และ ทุกคนๆ พยายามทำให้เขารู้สึกดี โดยอัตโนมัติ
ทุกคนอยากที่จะให้ เกิด แสงประกาย ในตัวเขา แบบเดียวกับที่ ไมเคิล คนเก่ามี ตามข้อมูลจากชายคนนี้ ผลรวมของ การต้องขึ้นศาลในช่วงปี 2005 กับการที่เขาห่างหายจากสปอตไลท์ไปนาน ทำให้ไมเคิล รู้สึกไม่มั่นคง

-ไมเคิลและ แรนดี้ ฟิลลิปส์ (CEO ของ AEG Live) เข้ากันได้ไม่ค่อยดีนัก ทุกคนรู้เรื่องนี้ แม้แต่ฟิลลิปส์ เองก็รู้ฟิลลิปส์ มีวิธีที่จองหองมากกับการต่อรองกับMJ เขาอกสั่นขวัญแขวนว่าไมเคิล จะไม่พร้อมสำหรับการแสดง แล้ว AEG จะต้องเสียเงินเป็นจำนวนมาก

ตามที่ชายคนนี้บอก ฟิลลิปส์ แสดงอย่างชัดเจนต่อคนหลายๆคนเลยว่า คอนเสิร์ตเหล่านี้ จะต้องเกิดขึ้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เพราะว่า เขา “ต้อง (โดยส่วนตัว) ทำให้ทุกคนที่ AEG เชื่อว่า มันเป็นเรื่องดี”
ดังนั้น งานของเขาจะอยู่บนความเสี่ยง ถ้ามีอะไรผิดพลาดไป หลายครั้งเลย ที่ ฟิลลิปส์ จะไปหา ไมเคิลที่บ้าน กับออร์เทก้า (คนกำกับหนัง This is it และ คนคิดท่าเต้นในคอนเสิร์ตนี้) และ ทราวิส เพนย์ (คนคิดท่าเต้นอีกคนของคอนเสิร์ตเหมือนกัน) เมื่อใดก็ตามที่ไมเคิลไม่มาซ้อม บางครั้ง พวกเขาก็กลับมาพร้อมไมเคิลบางครั้งก็ไม่ คำอธิบายที่ใช้กับทีมงานก็คือ “ไมเคิลรู้สึกไม่ค่อยสบายวันนี้” “ไมเคิลจะซ้อมที่บ้าน” หรือไม่ก็ “ ไมเคิลซ้อมกับโค้ชเสียงของเขาอยู่”

ในตอนแรก ทีมงานก็เชื่อนะ แต่หลังจาก 2-3 สัปดาห์ ทุกคนก็เริ่มตระหนักว่า มีบางอย่างเกิดขึ้น เพราะ ถึงแม้ ออร์เทก้า กับ เพนย์ จะบอกว่า ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีก็เหอะ มันก็เห็นได้ชัดว่า พวกเขาดูท้อแท้และกังวลอย่างมาก และ มันก็มีการปรึกษาหารือกันอย่างเคร่งเครียด ระหว่าง ออร์เทก้า ,ฟิลลิปส์ แล้วก็ เพนย์ แต่ เรื่องที่ว่า พวกเขาปรึกษาอะไรกันนั้น ก็ไม่เคยเปิดเผยอย่างแน่ชัด เพราะ พวกเขามักดูให้แน่ใจเสมอว่า พวกเขาจะอยู่ในระยะที่ไกลมากพอที่คนอื่นจะได้ยิน ระหว่างการสนทนาพวกนี้ หนึ่งในนั้น ก็มักจะคุยโทรศัพท์อยู่ตลอด แล้วก็ พวกเขาจะเวียนส่งโทรศัพท์กันไปมา ชายคนนี้เชื่อว่า (ที่เล่าเรื่องให้ฟัง) เชื่อว่า พวกเขากำลังคุยกับไมเคิล

..............

Part 2: by แอร์ริโกะ

ตามที่ได้เห็นไปแล้วในภาพยนตร์ ตัวไมเคิลเองก็ไม่ต้องการจะใส่เครื่องช่วยฟัง และตามที่บุคคลผู้นี้บอกกับฉัน “ถ้าคุณดูการแสดงคอนเสิร์ตต่าง ๆ ในอดีตของไมเคิล คุณจะไม่เคยเห็นไมเคิล แจ๊คสันใส่ไอ้เครื่องช่วยฟังนี่ เขาไม่ชอบใส่มัน และก็ไม่อยากจะใส่มันด้วย” ครั้งหนึ่ง ออร์เทก้าหัวเสียกับไมเคิลมาก เขาพูดต่อหน้าทีมงานทุกคนว่า “คุณต้องเข้าใจนะ ว่าคุณไม่มีสิทธิเลือก คุณต้องใส่มัน นี่มันจะเป็นการเล่นคอนเสิร์ตในที่ปิดนะ ไม่ใช่การเล่นคอนเสิร์ตกลางแจ้ง เพราะงั้น เสียงที่คุณได้ยินจะไม่เหมือนกันกับที่คุณเคยเล่นผ่าน ๆ มา” ออร์เทก้าพูดกับไมเคิลด้วยน้ำเสียงที่หยาบคาย ทุกคนในที่นั้นตระหนก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อได้เห็นสีหน้าของไมเคิลเจ็บปวดเมื่อได้ยินคำพูดนั้น

สิ่งที่จะได้อ่านต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ๆ ชายคนนี้ยืนยันว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่การเตรียมคอนเสิร์ตจะเสร็จสมบูรณ์พร้อมเล่นในคืนวันเปิดตัววันที่ 13 กรกฎาคม ชายคนนี้ถามกับผมว่า ทุกคนก็รู้กันอยู่แก่ใจใช่ไหม “ว่าสิ่งที่คุณเห็นในหนัง จะต้องเป็นฉากที่เขาเลือกกันมาแล้วว่าดีที่สุด เป็นฉากที่การแสดงสมบูรณ์ที่สุด คุณรู้กันอย่างนั้นอยู่แล้วใช่ไหม” ฉันตอบไปว่า “ใช่ แน่นอนอยู่แล้ว” ชายคนนั้นจึงบอกต่อไปว่า “แล้วคุณรู้หรือเปล่า ว่าภาพที่คุณได้เห็นน่ะ ส่วนใหญ่ มันเป็นการซ้อมในวันที่ 22 – 24 มิถุนายน และจากภาพที่คุณเห็นน่ะ คุณคิดว่า ทุกอย่างจะพร้อมทันเล่นจริงในอีกสองอาทิตย์ไหมล่ะ” ชายคนนั้นบอกว่า เสื้อผ้าของไมเคิล ยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี และบรรดาสไตล์ลิสต์ทั้งหลายก็ยังคงพยายามจะแสดงความคิดสร้างสรรค์กันอยู่ แต่กระนั้น ก็ยังไม่มีอะไรเสร็จเรียบร้อยอยู่ดี ไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าของบรรดาแดนเซอร์ ไมเคิล แจ๊คสัน อยากให้ไมเคิล บุชเป็นคนออกแบบเสื้อผ้าให้ แต่ทราวิส เพนย์ อยากจะให้ แซลดี้ มาทำงานให้ แล้วบริษัท AEG ก็เห็นด้วยกับแซลดี้มากกว่า ไมเคิล บุช

ในภาพที่ปรากฏส่วนใหญ่ ไมเคิลดูแข็งแรงดี อย่างไรก็ตาม ชายคนนี้ยืนยันกับฉันว่า มันก็มีบางวัน ที่มีบางอย่างผิดปกติ เกิดขึ้นกับไมเคิล และทุกคนก็รู้ดี ชายคนนี้เคยทำงานกับไมเคิล ในอดีต และไมเคิล ไม่เคยใส่แว่นกันแดดตอนซ้อมคอนเสิร์ตในที่มืดแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไมเคิลในอดีต อยากจะเห็นว่าแสงที่ใช้จะออกมาเป็นอย่างไร ด้วยเหตุนั้น เขาจึงไม่ต้องการให้มีอะไรบังแสง และชายคนนี้ก็พูดต่อไปว่า “อย่าคาดหวังว่าคนพวกนั้นจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกอากาศ ผมก็เหมือนกัน ผมจะไม่พูด และผมก็พูดไม่ได้ด้วย” เขาเล่าต่อว่า ตอนแรกทุกคนก็จะคิดว่าไมเคิลเป็นพวกแปลกประหลาด หรืออะไรทำนองนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาแดนเซอร์ พวกเขาตื่นเต้นกันมากที่ได้เจอไมเคิล แต่สำหรับคนที่ใกล้ชิดกับเขา และรู้จักเขามาเป็นเวลานาน ซึ่งก็รวมถึงชายคนนี้ด้วย เขาบอกได้เลยว่า เขารับรู้ได้ถึงสัญญาอันตรายที่เกิดขึ้น

......................

Part 3: by P.S.T.

อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่าสิ่งนี้เพียงแค่แสดงให้เห็นว่าไมเคิลนั้นอ่อนแอเพียงใด และเขาไม่ชอบให้ผู้คนนำเรื่องพฤติกรรมเช่นนี้ของเขาไปพูดถึงในทางไม่ดี เขากล่าวว่า “เขาต้องผ่านเรื่องแย่ ๆ มามากแล้ว ผมเข้าใจอย่างถ่องแท้เลยล่ะว่าทำเรื่องแบบนี้ถึงได้เกิดขึ้น” โอ้ และนอกจากนี้ เขายังกล่าวอีกด้วยว่าทีมงานบางคนเริ่มจะทำการเช็คข้อมูลจาก TMZ ด้วยมือถือ IPHONE ของพวกเขา เพื่อดูว่าไมเคิลได้ไปพบ ดร.คลีนในช่วงระหว่างวันหรือไม่ มันจะได้ช่วยเตือนให้พวกเขารู้ ว่าพวกเขาควรจะคาดหวังอะไรเมื่อไมเคิลโผล่มา

ไมเคิลสนุกสนานมากเมื่อเขาทำการซ้อมการแสดง จนกลายเป็นว่ามันคือสิ่งที่เขาต้องการ อย่างไรก็ตาม เมื่อลงจากเวทีแล้ว ไมเคิลกลับดูไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่ เขามีปฏิสัมพันธ์กับทีมงานน้อยมาก นอกเหนือจากคาเรน เฟย์และไมเคิล บุชเป็นบางครั้ง ชายคนนี้กล่าวว่า เมื่อไมเคิลไม่ได้อยู่บนเวที เขาจะพยายามอยู่ห่างจากออร์เทก้า เพย์น และฟิลลิปส์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเขารู้สึกอยู่เสมอว่า เขากำลังถูกคนพวกนี้ไล่ตามให้ทำโน่นทำนี่มากขึ้น แสดงให้มากขึ้น และทุ่มเทให้มากขึ้น เขากล่าวว่าพวกทีมงานต่างรู้สึกว่าออร์เทก้าเป็นคนจู้จี้และต้องการโน่นต้องการนี่มากเกินไป โดยเฉพาะเมื่อมันเห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าไม่มีอะไรที่สามารถทำได้ทันเลยสักอย่าง แต่พวกเขาก็ค่อนข้างเข้าใจว่าออร์เทก้าเองก็กำลังถูกกดดันโดยฟิลลิปส์ และนายฟิลลิปส์นี่เองที่แทบจะคลั่งเพราะเขาอยู่ในฐานะของคนที่สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างกับการแสดงเหล่านี้

หลังจากวันที่มีข่าวออกมาว่า แฟน ๆ บางคนกล่าวอ้างว่าไมเคิลบอกกับพวกเขาว่าเขาไม่ต้องการแสดงคอนเสิร์ตถึง 50 รอบ ทุก ๆ คนก็ถูกสั่งว่าห้ามพูดกับใครก็ตามที่มาจากสื่อ ห้ามปล่อยให้ใครก็ตามที่ไม่มีความเกี่ยวข้องเข้ามาร่วมในการซ้อมการแสดง โดยเฉพาะพวกแฟน ๆ เมื่อไมเคิลเข้ามาในวันนั้น บรรยากาศก็เริ่มตึงเครียดและเขาดูไม่มีความสุขเลยสักนิด ก่อนที่จะเริ่มงานในวันนั้น ฟิลลิปส์และออร์เทก้าได้ประชุมกับไมเคิล และเป็นที่น่าสนใจว่า มีบอดี้การ์ดของไมเคิลเข้าร่วมด้วย พวกเขาคุยกันอยู่ประมาณ 20 นาที แต่ชายคนนี้ไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไรกัน อย่างไรก็ตามทุกคนต่างรู้สึกว่าไมเคิลไม่ต้องการจะแสดงคอนเสิร์ตถึง 50 รอบจริง ๆ และเชื่อว่าไมเคิลได้คุยถึงเรื่องนี้ให้พวกแฟน ๆ ฟังจริง

และนี่แหละคือสิ่งที่เกิดขึ้น ชายคนนี้กล่าวว่ามันเป็นเรื่องที่น่าอดสูที่ไมเคิลต้องมาเสียชีวิตในระหว่างที่เขากำลังอยู่ในภาวะเครียดอย่างรุนแรงเช่นนี้ เขากล่าวว่า แรงกดดันมากมายมหาศาลถาโถมใส่ไมเคิล แต่ความเป็นจริงก็คือ คอนเสิร์ตครั้งนี้ไม่สามารถเตรียมความพร้อมได้ทันอยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะไมเคิล แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่มีเวลาพอที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ที่เขาได้เตรียมแผนการณ์ไว้ให้เสร็จทันต่างหาก เขากล่าวว่า เขามั่นใจว่าไมเคิลจะพร้อมอย่างเต็มที่ 100% ภายในวันที่ 13 กรกฎาคม เพราะ “เขาร้องเพลงพวกนั้นมาเป็นร้อย ๆ รอบแล้วก่อนหน้าที่เขาจะมารับคอนเสิร์ตนี้ เขารู้ดีที่สุดว่าเขาจะต้องทำอะไรบ้าง” แต่สิ่งอื่น ๆ ที่เหลือนั้นกลับดูไม่พร้อมเอาเสียเลย

เขายังกล่าวอีกด้วยว่า โดยส่วนตัวแล้ว เขารู้สึกว่าบางครั้งไมเคิลก็ไม่โผล่มาซ้อม เพราะเขารู้ว่าสิ่งต่าง ๆ จะเป็นไปยังอย่างเชื่องช้าและมันจะทำให้เขารู้สึกผิดหวัง เขาเป็นนักนิยมความสมบูรณ์แบบ และเมื่อสิ่งต่าง ๆ ไม่ได้เป็นไปในแนวทางที่มันควรจะเป็น เขาจะรู้สึกหงุดหงิดและเริ่มหมดความสนใจในสิ่งนั้น แทนที่เขาจะโกรธหรือหงุดหงิดใส่คนอื่น แต่พวกเขาก็ยังทำให้ไมเคิลเชื่อว่ามันเป็นเพราะเขา ที่ทำให้สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นไปอย่างเชื่องช้า ทั้งหมดเป็นเพราะเขา แต่ชายคนนี้บอกกับฉันว่า ไมเคิลไม่ได้มีส่วนรับผิดชอบอะไรกับงานทางเทคนิคต่าง ๆ เช่นเรื่องไฟ พลุ ฯลฯ ดังนั้น มันก็ไม่ใช่ความผิดของเขา แต่เขาเป็นเป้าหมายที่ใคร ๆ ต่างก็โบ้ยความผิดไปให้ได้ง่าย ๆ



Credit to MJ Club@pantip.com






Create Date : 02 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2554 17:21:30 น. 0 comments
Counter : 731 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Ritsu31
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2552
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
2 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Ritsu31's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.