ชีวิตที่เหลือเชื่อ ของลูก ๆ ไมเคิล แจ๊คสัน

Part 1 – 2: airiko

ชีวิตที่เหลือเชื่อ ของลูก ๆ ไมเคิล แจ๊คสัน
เรื่องราวที่ทุกคนอยากรู้ของไมเคิล แจ๊คสัน กับบทบาท คุณพ่อ

(Mark J Terrill)

การใช้ชีวิตที่แปลกประหลาดอย่างเช่นการโอบกอดอย่างรักใคร่กับลิงชิมแปนซี การออกมาพบผู้คนในชุดนอน หรือแม้แต่ข่าวเรื่องการติดยาของไมเคิล แจ๊คสัน ก็ไม่สามารถหยุดผู้คนจากความสนใจในเรื่องราวของเขาได้ ชีวิตของไมเคิลกับลูก ๆ หลังกำแพงสูงใหญ่ กลายเป็นปริศนาที่ผู้คนอยากได้ใคร่รู้ ว่าไมเคิล แจ๊คสันเป็นคุณพ่อแบบไหนของลูก ๆ ทั้งสาม

แม้ว่ายังคงเป็นความคลางแคลงใจของคนทั่วไป ว่าไมเคิล แจ๊คสัน เป็นพ่อแท้ ๆ ของลูก ๆ ทั้งสามคนของเขาหรือไม่นั้น แต่คำพูดที่เปี่ยมไปด้วยความโศกเศร้าของปารีส ลูกสาวของไมเคิล วัย 11 ปีในพิธีรำลึกที่ถูกจัดขึ้นเมื่อเดือน กรกฎาคม ความว่า “ตั้งแต่หนูเกิดมา พ่อเป็นพ่อที่ดีที่สุดเท่าที่หนูจะสามารถจินตนาการได้ หนูแค่อยากจะบอกว่า หนูรักพ่อมากค่ะ” ก็สามารถไขข้อข้องใจเหล่านั้นได้ดี ช่วงเวลานั้นในพิธีการ ย้ำเตือนว่าลูก ๆ ทั้งสามคนของไมเคิล ผู้ซึ่งในขณะนี้มีความเปราะบางทางจิตใจมาก ได้สูญเสียพ่อ ผู้ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดคนเดียวที่พวกเขารู้จักไปแล้ว

ความปรารถนาที่จะใช้ชีวิตอย่างเป็นส่วนตัวของไมเคิล บ่อยครั้งก็สร้างปัญหาให้แก่เขา ความพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่เป็นข่าว ทำให้เกิดเรื่องราวที่แปลกประหลาดมากมาย เขาปิดหน้าปิดตาลูก ๆ ด้วยหน้ากาก ซึ่งไมเคิล ยืนยันว่า ลูก ๆ จะใส่หน้ากาก ต่อเมื่อต้องปรากฎตัวต่อสาธารณะเท่านั้น (โดยส่วนใหญ่สื่อมวลชนจะได้รับการแจ้งล่วงหน้าจากผู้สื่อข่าวส่วนตัวของไมเคิล แจ๊คสัน (นี่เป็นอีกหนึ่งที่เป็นประเด็นขัดแย้งของเขา)

มีคนหลายคนที่ได้รับความไว้วางใจจากคุณพ่อ อย่างไมเคิล แจ๊คสัน ซึ่งคนเหล่านี้เป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับลูก ๆ ของเขา เช่น คุณครู พี่เลี้ยง หรือแม้แต่เพื่อนของครอบครัว คนกลุ่มนี้มักจะไม่เต็มใจที่จะพูดถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เขาได้พบในขณะที่ไมเคิลยังมีชีวิตอยู่ สาเหตุเพราะความรู้สึกที่จะต้องซื่อสัตย์ หรืออาจจะด้วยสัญญาที่จะต้องรักษาความลับ

หลังจากการจากไปของไมเคิล นิตยสาร ซันเดย์ ไทมส์ ได้ทำการสัมภาษณ์ครอบครัว เพื่อน และเพื่อนร่วมงาน ซึ่งได้รับการเปิดเผยเป็นครั้งแรกถึงเรื่องราวของลูก ๆ ทั้งสามที่ได้รับการปกป้องคุ้มครองอย่างเคร่งครัด จึงทำให้พวกเขามีชีวิตไม่เหมือนคนอื่น ว่ามีสาเหตุมาจากความพยายามที่จะกันลูก ๆ ของเขาออกจากโลกภายนอก โลกภายใต้ความคุ้มครองของผู้เป็นพ่อ ของลูก ๆ ทั้ง 3 ต้องพังทลายลงเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน โดยทิ้งให้ ปริ๊นซ์ ไมเคิล ลูกชายคนโตวัย 12 ปี ปารีส วัย 11 ปี และ ปริ๊นซ์ ไมเคิล ที่สอง หรือที่รู้จักกันในนาม แบล๊งเคท วัย 1 ปี ให้ต้องตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่สู้จะดีนัก ทั้งปัญหาความขัดแย้งในครอบครัว คดีความ การทะเลาะเบาะแว้งในเรื่องของเงินทอง และศาสนา การใช้ยาอย่างไม่รอบคอบของไมเคิล ต้องพบจุดจบที่ คำพูดของปารีส ลูกสาวของเขาต่อหน้าผู้ชมนับล้านคน ที่คอยชมรายการทางโทรทัศน์ ในช่วงอายุเดียวกับที่เขาเริ่มฉายแววของความเป็นดารารุ่นเยาว์

จวบจนบัดนี้ โทนี่ บูซาน นักเขียนและที่ปรึกษาด้านการศึกษา ก็ยังไม่เคยเปิดเผยถึงเรื่องราวของครอบครัวที่เขาเคยพบเห็น การสัมภาษณ์มีขึ้นที่บ้านของเขา ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนบนของแม่น้ำเทมส์ ใกล้กับเมืองมาร์โลว์ บูซานยินดีที่จะเล่าให้เราฟังถึงเรื่องราวของไมเคิล แจ๊คสันกับบทบาทคุณพ่อ บูซานถือว่าไมเคิล เป็นเพื่อนที่ดีของเขามาโดยตลอด ก่อนหน้านี้เขาจึงเงียบและไม่เปิดเผยอะไรตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา

งานเขียนของบูซาน เรื่องการพัฒนาการทางสมองผ่านวิธีการที่เขาเรียกว่า “mind mapping” นั้น ทำให้เขาเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ นอกจากนี้ยังมีผลงานการเขียนเรื่อง “Thinker in residence” ณ มหาวิทยาลัย เวลลิงตัน โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในเมืองเบิร์กเชียร์ ระหว่างที่เขาทำการสอนอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ในปี 2006 เขาได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนของเขา Sheikh Abdulla bin Hamad al-Khalifa เจ้าชายแห่งประเทศบาห์เรน

“Hamad บอกกับเขาว่า ‘มีแฟนผลงานของคุณคนหนึ่งอยากจะพูดกับคุณ’ แล้วก็มีเสียงที่ไม่คุ้นเคยมาในสาย พูดว่า ‘สวัสดีครับ ผมไมเคิล’ เขาพูดด้วยเสียงที่เป็นธรรมชาติ ไม่ใช่เสียงสูงแบบแผ่วเบาที่เขาพูดต่อหน้าสาธารณะ” เป็นเวลานานกว่า 45 นาที ที่ไมเคิลกล่าวคำชมเชยกับบูซาน ถึงหนังสือเล่มหนึ่งของเขา ไมเคิลบอกบูซานว่าเขาต้องการให้บูซานช่วยอธิบายถึงแนวคิดให้กับลูก ๆ ของเขา และ “สอนวิธีคิดให้กับลูกของเขา”

“บูซานบินไปที่ประเทศบาห์เรนทันที เขาพักในโรงแรมระดับห้าดาว และใช้เวลา 1 สัปดาห์ไปมาหาสู่กับครอบครัวของไมเคิลที่เช่าพระราชวังอยู่กลางทะเลทราย เขาพบกับไมเคิลและคนรับใช้ที่หน้าประตูรั้ว คนรับใช้คนนี้ไมเคิลแนะนำว่าเขาเป็นผู้ทำหน้าที่ดูแลงานบ้านทั่วไป บูซานก็เริ่มสงสัยทันที ว่าเด็ก ๆ จะติดพ่อของพวกเขาแจขนาดไหนกันนะ

“ผมเห็นเด็ก ๆ ไปและกลับจากโรงเรียนนานาชาติทุกวัน พวกเขาออกจากบ้านอย่างมีความสุข และกลับมาพร้อมกับรอยยิ้ม ตอนขากลับจากโรงเรียนพวกเด็ก ๆ จะวิ่งแข่งกับรถและกอดพ่อของพวกเขา”

ตัวบ้านถูกปรับเปลี่ยนให้คล้ายกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของครอบครัวแจ๊คสัน “มันให้ความรู้สึกราวกับ Sistine Chapel (ชาเปลซิสติน (ภาษาอังกฤษ: Sistine Chapel; ภาษาอิตาลี: Cappella Sistina) เป็นชาเปลภายในวังพระสันตะปาปา (Apostolic Palace) ซึ่งเป็นที่ประทับอย่างเป็นทางการของพระสันตะปาปาตั้งอยู่ในนครรัฐวาติกัน ref: Wikipedia) ที่เต็มไปด้วยศิลปะสมัย เรเนสซอง มีภาพเขียนขนาดใหญ่มากมายที่คล้ายกับผลงานของ ราฟาเอล แขวนอยู่รอบห้อง “เป็นเรื่องแปลก เมื่อสิ่งแรกที่ไมเคิลถามบูซานทันทีที่เดินทางมาถึง คือเรื่องของลีโอนาโด ดา วินชี” “เขาหลงใหลในความคิดของบรรดาอัจฉริยะบุคคล ตั้งแต่ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ มหาราช ไปจนถึง ชาร์ลี แชปพลิน และมูฮัมหมัด อาลี แต่ไมเคิลเองไม่เคยคิดว่าตัวเองก็เป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง เขาอ่อนน้อมถ่อมตนมาก เขามองตัวเขาเองว่าเป็นเพียงนักเรียนคนหนึ่ง”

บูซานต้องแปลกใจเมื่อพบว่าไมเคิลเป็นคุณพ่อที่ตามใจลูกมาก “เขาไม่ใช่คุณพ่อประเภทที่บังคับลูก ๆ ให้เล่นหมากรุก เรียนเต้น หรือเรียนดนตรีตลอดเวลา” ในตอนเย็น พวกเขาจะใช้เวลาหยอกล้อกันบนโซฟา ดูดีวีดีด้วยกัน ติดกันกับภาพวาดของศิลปินผู้มีชื่อเสียงในช่วงศตวรรษที่ 13 -17 ของยุโรป (The old masters) เป็นรูปถ่ายของลูก ๆ ของเขา ขนาดมหึมา “ไมเคิลมีเครื่องพิมพ์ภาพถ่ายขนาดใหญ่ยักษ์”

พี่ ๆ ทั้งสองคน ได้รับความสนใจจากบูซานมากเป็นพิเศษ “พวกเขาเรียนรู้ได้เร็วเหมือนพ่อของพวกเขา พ่อของเขาเป็นนักเรียนที่เก่งที่สุดของผม” บูซานสังเกตว่าเด็ก ๆ ไม่เคยโมโหใส่กัน ไม่ส่งเสียงหวีดร้อง “พวกเด็ก ๆ ดูจะมีความสุขกันดี แตกต่างกับกลุ่มเด็ก 3 คนทั่วไป ที่มักจะทะเลาะเบาะแว้งกัน”

.............

Part 3 – 4 : BloveMJ (Phim_phim)

ลูก ๆ ของไมเคิลนั้นมีบุคลิกแตกต่างกันมาก ปริ๊นซ์ จะมีบุคลิกสดใสแต่บางครั้งก็จริงจัง เช่น ในห้องเรียนปริ๊นซ์สามารถเป็นได้ทั้งเด็กน้อยและเด็กช่างสังเกตุ ปริ๊นซ์จะมีความมั่นใจในตัวเองสูงและมีความฉลาดในการพูด ส่วนปารีสนั้นตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง ปารีสจะเงียบขรึมกว่า เหมือนเจ้าหญิงที่เรียบร้อย สุขุม ชอบอิสระ คิดเยอะ ไม่ค่อยที่จะปรึกษาใคร ชอบคิดด้วยตัวเอง แต่ชอบที่จะแบ่งปันผู้อื่นและยังสามารถตั้งสติต่อเหตุการณ์ต่างๆ ได้ไวและเป็นเสาหลักให้กับ สองหนุ่มน้อยได้เป็นอย่างดี ส่วนแบล๊งเคท ค่อนข้างอารมณ์ร้อนเหมือน ระเบิดไดมาไมค์ลูกน้อย ๆ เลยทีเดียว เขาไม่ชอบอยู่นิ่ง ๆ แต่จะกลิ้งไปกลิ้งมา โหนไปโหนมา เหมือนเล่นกายกรรม แบล๊งเคทถือตุ๊กตา มินิ ไมเคิล ตลอดเวลา และ สามารถเต้นได้ในแบบต่าง ๆ ของ ไมเคิล บูซานคิดว่าแบล๊งเคท นี่แหละคือลูกแท้ ๆ ของไมเคิลอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขามีดวงตาคู่สวยเหมือนกัน และ มีสีผิวที่เข้มกว่าพี่น้องทั้งสองคน ทำให้ดูเหมือนเมดิเตอเรเนียน

ในมื้ออาหารแต่ละวันอาจจะมี ผัก อาหารทะเล สด น้ำผลไม้ Hummus แต่ไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เด็ก ๆ มีมารยาทบนโต๊ะอาหารที่ดีมาก และมีความสัมพันธ์บนโต๊ะอาหารที่ดีเช่นกัน บางครั้งเด็ก ๆ ก็รู้สึกเบื่อเพราะไมเคิลจะพูดเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของเขาและเรื่องอาชีพ

"ไมเคิลเล่าถึงเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับ กิจกรรมต่างๆ และกระบวนการที่ทำให้มีชื่อเสียง และเกี่ยวกับ คนที่ชอบว่าเขาในอดีต ที่มีการกล่าวว่า คุณไม่สามารถทำสิ่งนี้ก่อนที่เขาจะลงมือทำ ไมเคิล รักการท้าทาย อย่างเช่น อัลบั้ม thriller มีหลายคนพูดว่าเขาไม่สามารถประสบความสำเร็จไปได้มากกว่านี้อีกแล้วแต่เขาก็สามารถพิสูจน์ตัวเองได้จาก อัลบั้มต่อมา."

ไมเคิลได้พูดอย่างเปิดอกกับบูซานเกี่ยวกับตัวของเขาเองในเรื่องต่าง ๆ แต่เขาไม่เคยพูดเกี่ยวกับการที่ถูกพ่อทำร้ายที่ได้รับการยืนยันโดนมาลอน เขาจะเล่าถึงแต่เรื่องราวที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์อันดีกับ อลิซาเบธ เทย์เลอร์ ผู้เป็นเหมือนป้าที่สนิทคนหนึ่ง รวมถึงเรื่องของ เฟร๊ด แอสแทร์ ผู้แนะนำวิธีการเต้นให้กับเค้า สุดท้ายเขาได้เล่าถึงการร้องเพลงและการเต้นรวมถึงการเดินทางท่องเที่ยวที่เค้ารักในสมัย อยู่ในวง Jackson 5"

บูซาน สังเกตเห็นว่า เด็ก ๆ ไม่ได้พูดถึงปู่ ย่า ป้า น้า อา หรือญาติคนอื่น ๆ — ไม่มีรูปถ่ายครอบครัวของตระกูลแจ๊คสัน พวกเขาไม่เคยพูดถึงเรื่องศาสนา "ไมเคิลจะคุยถึงอดีตยุคที่รุ่งเรืองแต่ผมไม่เคยได้ยินเขากล่าวถึงพระเยซู"

เด็ก ๆ และพ่อของพวกเขาจะซ่อนอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดจากโลกภายนอกซึ่งอาจจะเป็นผลกระทบมาจากปัญหาคดีความการล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งทำให้พวกเขาเลือกที่จะเก็บซ่อนตัวเองไว้

เพียงครั้งเดียวที่ ไมเคิล ได้พูดถึงในเรื่องที่ทำให้เขาเสียชื่อเสียง ในขณะที่อยู่ในบริษัทของบูซานว่า. เขาเป็นคนที่ฉลาดมีความคิดแต่โดนประณามว่าเป็นพ่อที่ใช้ไม่ได้และบ้าคลั่ง "หลังจากที่เขาอุ้มแบล๊งเคทวัย 9 เดือนออกจากหน้าต่างห้องในโรงแรมเบอร์ลินในปี 2002” ไมเคิลโกรธมากและบอก บูซาน เขากล่าวว่า “ผมเป็นนักเต้นที่แข็งแรง ร่างกายของผมสมบูรณ์ดี ผมสามารถอุ้มผู้ใหญ่คนหนึ่งขึ้นได้โดยไม่รู้สึกลำบากอะไรเลย”

จากเหตุการณ์บนระเบียงอันแสนอื้อฉาวทำให้มีผู้คนมากมาย ตัดสินว่าไมเคิล แจ๊คสัน ต้องพึ่งพายาเสพติด แต่บูซานกลับไม่เคยเห็นร่องรอยของการใช้ยาเสพติดในขณะที่เขาอยู่ที่บาห์เรน แต่เขามักจะสังเกตเห็นไมเคิล มีอาการไวต่อแสงมากกว่าปกติ(hypersensitivity) ในขณะที่เขากับ ไมเคิลเดินทางโดยรถยนต์ เมื่อมีแดดส่องลอดเข้ามาทางด้านที่นั่งของไมเคิลอย่างจัง ไมเคิลจะร้องออกมาอันแสดงถึงอาการเจ็บปวดทางผิวหนังขั้นรุนแรง และเขาจะพยายามหลบก้มหัวลงเพื่อไม่ให้โดนแสง โดยอาการไวต่อแสงมากกว่าปกติ ดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันดี ว่าเป็นผลข้างเคียงของการใช้ตัวยาที่ประกอบด้วยฝิ่นเพื่อลดความเจ็บปวด โดยม่านตาดำจะหดตัวลงทำให้ตาสู้แสงแดดไม่ได้ ครอบครัวเพื่อนและนักธุรกิจของเขาในบาห์เรนแนะนำให้เราระวังการใช้ยาเหล่านี้ในระหว่างที่พักในบาร์เรน มีเหตุการณ์ที่ทำให้ Sheikh Abdulla เจ้าของบ้านที่ดูแลไมเคิลต้องขายหน้าอย่างรุนแรง ในขณะที่เขาถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่สนามบิน Manamaเนื่องจากดำเนินการส่งมอบยาที่มีสารเสพติดสังเคราะห์ มาในถังออกซิเจน และยาต้านมะเร็งแบบที่นิยมใช้เรียกเป็น "เฮโรอีนแบบฉุกเฉิน"

ผู้เป็นเสาหลักของเด็ก ๆ จากพวกเขาไป หลังกลางวันวันที่ 25 มิถุนายนเมื่อ ดร. คอนราด เมอร์เร่ย์ ซึ่งได้ให้การรักษาตามความต้องการของไมเคิล โดยเขาให้ยาไมเคิลโดยวิธีการฉีดยาสลบ Propofol ซึ่งออกฤทธิ์แรงเข้าสู่เส้นเลือดดำ เพื่อช่วยให้เขาเข้าสู่การนอนหลับลึกอย่างรวดเร็ว

เมื่อ เมอเรย์ พบว่าเขาไม่สามารถช่วยชีวิตไมเคิลได้แล้ว เมอร์เรย์จึงเรียกปริ้นซ์ลูกชายคนโตของไมเคิล ให้ขึ้นไปที่ชั้นสองของบ้านที่ “Bel Air” บ้านซึ่งไมเคิลได้เช่าไว้สำหรับอาศัยในขณะที่เขาเตรียมการแสดงของเขาที่จะมีขึ้นที่ O2 อารีน่า ในกรุงลอนดอน เพราะเหตุใด แพทย์ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการการแพทย์มา 12 ปี ได้มีของผิดพลาดร้ายแรงในกรณีฉุกเฉินเช่นนี้ จึงการเป็นผู้ต้องสงสัยในการฆาตกรรมครั้งนี้

เด็ก ๆ โตขึ้นมาพร้อมกับเห็นแพทย์มารักษาพ่อของพวกเขาเนื่องจากอาการนอนไม่หลับ โดยความช่วยเหลือทางการแพทย์นั้นเริ่มตั้งแต่ปี 1997 อายุรแพทย์ชาวอินเดีย Deepak Chopra กล่าวว่า "ไมเคิลมั่นใจว่าว่ายานั้นจะช่วยให้โรคนอนไม่หลับของเขาดีขึ้น จนยากลายเป็นเพื่อนที่ดีของเขา ไมเคิลจะพยายามอย่างที่สุดเพื่อจะให้ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ ถ้าหมอคนหนึ่งไม่สามารถทำตามความต้องการ เขาจะเปลี่ยนไปพาหมอคนอื่น มันเป็นจุดเริ่มต้นที่หมอนั้นจะสั่งจ่ายยาที่แรงจนทำให้คนไข้ซึ่งส่วนใหญ่มีชื่อเสียง อย่างไมเคิลนั้นติดการใช้ยาเหล่านี้เฉกเช่นเดียวกับคนที่มีชื่อเสียงคนอื่น ๆ ที่ติดยาอันตรายเหล่านี้

ปริ๊นซ์, ปารีส และ แบล๊งเคต รู้ดีว่าไมเคิลไม่ใช่พวกดาราขี้ยา เขาแค่ป่วยเป็นโรคนอนไม่หลับเท่านั้น “พ่อนอนไม่ค่อยหลับเมื่อคืนนี้” เป็นคำพูดติดปากของไมเคิล เขามักบอกลูก ๆ ว่าเขาชอบการชอปปิ้งออนไลน์ในอีเบย์มาก จนไม่ได้นอน และเขามักบอกกับเคนนี่ ออร์เทก้า ผู้กำกับคอนเสิร์ตว่า ระหว่างการประชุมที่ Bel Air House ว่าเขาใช้เวลาทั้งคืน “ในการทำงานเพลง นั่นคือสิ่งที่เขาบอกทุกคน”

เพื่อนของครอบครัวผู้ไม่ประสงค์จะเปิดเผยตัวกล่าวว่า “เด็ก ๆ จะสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่พวกเขาเผชิญอยู่ได้เสมอ ตราบใดที่พ่อแม่ของพวกเขายังอยู่กับพวกเขา และแม้ว่าไมเคิลมักจะตื่นสาย แต่เขาก็ใช้เวลากับลูก ๆ เสมอ” เขาเรียกยานอนหลับว่า “นม” เพื่อให้ลูก ๆ ลดความกังวล

ไค เชส (Kai Chase) เชฟประจำครอบครัวคุ้นเคยกับการเห็นคนส่งนมอย่างหมอเมอเรย์ มาถึงที่บ้านในตอนเช้า และใช้เวลาอยู่จนถึงดึก ในบางครั้ง เชสก็สังเกตว่า หมอเมอเรย์ ไม่ได้กลับบ้าน เช่นเดียวกันกับบูซาน เธอไม่เคยเห็นสัญญาณใด ๆ ที่สื่อว่าไมเคิลมีอาการติดยา หรือมีปัญหาทางสุขภาพ และเธอก็ไม่เคยสงสัยถึงการที่เมอเรย์หิ้วถังออกซิเจนสองถังลงมาทุกเช้าหลังการรักษา

เชสและเด็ก ๆ ไม่เอะใจเลย ว่าทำไมเมอเรย์ และไมเคิล ถึงยังไม่ลงมาในตอนสายของวันที่ 25 มิถุนายน ในขณะที่เชสกำลังเตรียมอาหารกลางวัน เชสกล่าวว่า “ฉันคิดว่าไมเคิลคงจะนอนตื่นสาย” จนกระทั่งไม่กี่นาทีต่อมา พวกเขาเห็นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์มากมายวิ่งขึ้นบันไดไป เชส เด็ก และพี่เลี้ยงเด็ก ยืนอยู่กลางบ้านพร้อมน้ำตาบนใบหน้า และพวกเขาทำได้เพียงสวดมนต์อ้อนวอน “ขอให้ไมเคิลปลอดภัย”

.............

Part 5: Narzizus
การแพร่กระจายอย่างกว้างขวางของรูปภาพในห้องที่ดูน่ากลัว ที่ที่ไมเคิล แจ๊คสันต้องทรมานจากการใช้ยาเกินขนาดจนเสียชีวิตจนกระทั่งทีคนเห็นเป็นภาพติดวิญญาณนั้น อย่างไรก็ตามมันสะดุดตาตรงที่ว่าการใช้ยาเล็กน้อยของดาราดังผู้นี้เหมือนว่าจะมีผลกระทบในชีวิตที่แตกต่างกันภายในบ้าน

จวบจนวาระสุดท้าย ไมเคิลก็ยังเป็นผู้ที่เก่งเรื่องการแบ่งแยกและการเก็บความลับ ชั้นล่างของแมนชั่นที่ตกแต่งสไตล์ Faux Chateau ในย่าน Bel Air เป็นห้องชุดที่โปร่งโล่งสบาย ซึ่งไมเคิลใช้ซ้อมท่าเต้นของเขาเพื่อขึ้นแสดงคอนเสิร์ต ที่ O2 ร่วมกับนักออกแบบท่าเต้น Travis Payne หรือออกกำลังกายในขณะที่เด็ก ๆ กำลังเล่นกัน ทานอาหาร หรือเรียนหนังสือกับครูที่มาทำการสอนที่บ้าน บนระเบียงมีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่อยู่

2-3 ครั้ง ที่ไมเคิล และลูก ๆ ของเขา ออกไปข้างนอก เขาก็เล่นบทบาทตามที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นคนเพี้ยน ๆ (Wacko) โดยในเดือนเมษายนเขาถูกพบที่ร้านเสื้อผ้าแห่งหนึ่งในลอสแองเจอลิสในชุดเสื้อแจ๊คเก็ตสีเขียวปรี๊ด ปิดหน้าด้วยหน้ากากผ่าตัดสีขาว สวมแว่นกันแดดและหมวกสีดำ ข้าง ๆ เขา ลูก ๆ ของเขาสวมหน้ากากสำหรับงาน Mardi Gras มีขนนกปิดหน้าปิดตา ขณะที่การพรางตัวดำเนินไป ก็เป็นความสิ้นหวังจนเกือบจะน่าขัน ด้วยความเชื่ออันยาวนานของไมเคิลที่ว่าการเป็นดาราดังจะต้องทำตัวให้ลึกลับในช่วงเวลาที่ไม่ได้อยู่บนเวที "คุณต้องให้พวกเขาเกิดความโกลาหล" เขากล่าวประโยคที่ยืมมาจากละครเพลงเรื่องChicago.

การกลัวการเป็นที่สนใจจากสื่อมวลชน ทำให้ไมเคิลไม่ค่อยปล่อยให้ลูก ๆ ของเขาไปไหนโดยลำพัง แม้ว่าในบางครั้งพวกเขาจะพากันเดินทางไปเพื่อเล่นกับลูก ๆ ของเพื่อนเก่าที่ฟลอริด้า บางครั้งลูกพี่ลูกน้องของเขาก็จะมาเยี่ยมเยียน อย่างเช่น เจเนท แจ๊คสัน น้องสาวของไมเคิล ที่เริ่มจะสนิทสนมกับปารีส ไม่เช่นนั้น ก็จะเป็นที่รู้กันว่า พวกเด็ก ๆจะเล่นกันเองหรือไม่ก็เล่นกับไมเคิลพ่อของพวกเขา

Lou Ferrigno เพื่อนเก่าและดาราในอดีตจากภาพยนตร์โทรทัศน์ที่มีชื่อว่า Incredible Hulk ทำหน้าที่เป็นครูฝึกส่วนตัว (ออกกำลังกาย) ของไมเคิลในเดือนสุดท้ายของเขา เขาหวนระลึกถึงการที่มีเด็ก ๆ มาทักทายรายล้อมวิ่งไปมาอย่างสนุกสนานทุกเช้า หลังจากการออกกำลังกายกับ Ferrigno ที่ห้องด้านหลัง บนลู่วิ่ง และลูกบอลที่ใช้ออกกำลังกายโดยไมเคิลจะใส่ชุดดำทั้งชุดและไปร่วมวงเล่นซ่อนหากับลูกๆ

ไมเคิลจะส่งเสียงร้องหวูด (แบบนกเค้าแมว - Narzizus) Ferrigno เล่าว่า "เมื่อหลายปีก่อนไมเคิลบอกกับผมว่าเขารู้สึกเดียวดายมากเหลือเกิน แต่เมื่อผมมาอยู่กับเขา นั่นทำให้เขาดูถูกเติมเต็มและมีความสุข เขาเป็นเหมือนกับ Mr Mom (คนที่เป็นทั้งพ่อและแม่ในคนเดียวกัน - Narzizus) ไมเคิลยังเป็นคนขี้เล่น “บางครั้งเขาก็จะโทรมาหาผม และดัดเสียงเป็นเวลา 10 นาที" Ferrigno กล่าวว่า "ผมคิดว่าเจอพวกโรคจิตซะแล้ว แล้วเขาจะบอกว่าเขาชื่อ Omar และเขาตามหาผมอยู่" ชื่อนี้เป็นชื่อเดียวกับที่เขามักใช้เพื่อสั่งยา

ในตอนเย็นหลังจากการเลิกฝึกซ้อม ไมเคิลจะถูกบังคับให้รับประทานอาหาร เคนนี่ ออร์เทก้า ตำแหน่งผู้กำกับคอนเสิร์ตจะคอยบอกให้เขาจิ้มอาหารเข้าปาก เช่น เนื้อไก่ หรือบร๊อคโคลี่ เหมือนที่ทำกับเด็ก ๆ ซึ่งมันก็ได้ผล "เขาจะพุ่งความสนใจไปจุดเดียวจนลืมนึกถึงเรื่องของอาหาร" แต่ถ้าไมเคิลอยู่บ้าน ก็จะมีเวลามานั่งทานอาหารที่มีประโยชน์กับลูกๆเช่นเดียวกับตอนอยู่ที่บาห์เรน

ทุก ๆ เช้าหมอ คอนราด เมอร์เรย์เป็นผู้เดียวที่ได้รับอนุญาตให้นำอาหารเช้าส่วนตัวที่ประกอบด้วยน้ำผลไม้ที่เตรียมมาเป็นพิเศษและกราโนล่า (อาหารเช้าที่ประกอบด้วยน้ำนมใส่ผลไม้แห้ง,ผลไม้เปลือกแข็ง,ข้าว) มาส่งยังห้องนอนของไมเคิล สำหรับมื้อกลางวัน ไมเคิลจะรับประทานกับลูก ๆ เมนูที่เขาสั่งบ่อย ๆ คือ สลัดผักขมและไก่ โดยบางครั้งหมอ Murray ก็จะมาร่วมทานอาหารค่ำมื้อที่มี seared tuna

เชส (Chase) เชฟประจำของครอบครัว เล่าว่า บ่อยครั้งที่หมอเมอร์เรย์มาพูดคุยกับเธอเรื่องอาหารของไมเคิล โดยไมเคิลบอกเธอว่า "คุณจะต้องดูแลผมนะ ผมเป็นนักเต้น" เธอระลึกได้ว่า"เขาต้องการอาหารที่ไม่ทำให้เค้าเป็นตะคริวขึ้นมาขณะเต้น"

เมื่อ เชฟ เชส เสนอว่าครอบครัวน่าจะได้รื่นเริงกับ "อาหารสบาย ๆ สไตล์วันเสาร์" ที่มีบาบิคิวไก่ ไส้กรอกเยอรมัน ทาโก้สไตล์แม๊กซิกัน ไว้เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ซึ่งเป็นความคิดที่ไมเคิลเห็นด้วยในตอนแรกแต่ยกเลิกในภายหลัง ขณะที่วันเปิดคอนเสิร์ตใกล้จะมาถึง ทุกคนในครอบครัว รวมถึงเชฟเชส เตรียมการเพื่อจะเดินทางไปยังลอนดอน "เขายิ่งติดการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์"

เมื่อปริ๊นซ์ ปารีส และแบล๊งเคท สูญเสียพ่อของพวกเขาไป บางทีนี่อาจจะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ซับซ้อนของพวกเค้า ที่ได้ค้นพบว่าอะไรคือความหมายของการเป็นสมาชิกขี้วีนตัวน้อย ๆ ของครอบครัวใหญ่อย่างครอบครัวแจ๊คสัน ทันทีที่ไมเคิลจากไป พี่สาวของเขา ลา โทย่า แจ๊คสัน ก็มาที่บ้านพวกเขา รื้อ ค้นทรัพย์สมบัติของไมเคิล เพื่อค้นหาเงื่อนงำการเสียชีวิตของเขา หลายวันต่อมา แคทเธอรีน ย่าของเด็ก ๆ เข้าใจผิดว่าไมเคิลจากไปโดยยังไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ จึงเดินทางไปศาลเพื่อยื่นขอดูแลจัดการ มรดกทรัพย์สินของไมเคิล รวมถึงสิทธิในการเลี้ยงดูหลานทั้ง 3 คน.

..........

Part 6 – 7: Pretty Small Thing

ในพิธีรำลึกการจากไป พี่ชายวัย 25 ปีที่ห่างหายกันไปนานคือโอเมอร์ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นผลิตผลจากความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนที่ไมเคิลมีกับเพีย บาตติ แฟนเพลงชาวนอร์เวย์ ในปี 1984 ก็ดูเหมือนจะได้รับการต้อนรับเข้าสู่ครอบครัวในภายหลัง โอเมอร์ถูกจัดให้นั่งในแถวหน้าร่วมกับบรรดาลุงและป้าทั้งหลาย

ในเวลานี้ เด็ก ๆ อาศัยอยู่กับแคทเธอรีน แม่ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวของตระกูลแจ๊คสัน ที่บ้านบนถนน Hayvenhurst ใน Encino เมืองซึ่งเป็นถิ่นของชนผิวขาวฐานะปานกลาง และเป็นที่อยู่อาศัยของบรรดาดาราฮอลลีวูด อยู่ห่างขึ้นไปทางเหนือของลอส แองเจลิสประมาณ 2 ชั่วโมง โดยบุคคลที่เคยพักอาศัยอยู่ที่นั่น ได้รวมถึง John Wayne และ David Hasselhoff ด้วย ที่บ้านหลังนี้เองที่ไมเคิล แจ๊คสันได้เคยใช้ชีวิตวัยเด็กส่วนใหญ่ของเขา และในคราวนี้ มันจะกลายเป็นสถานที่ที่ลูก ๆ ของเขาจะได้ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ของพวกเขาด้วยเช่นกัน

คฤหาสน์สไตล์ ทิวดอร์ ขนาด 8 ห้องนอน พื้นที่ 11,000 ตารางฟุตนั้น ถูกล้อมรอบไปด้วยบ้านหลังนอก สระน้ำ และกำแพงสูง 12 ฟุตเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวให้มากที่สุด ทางเข้าสู่ตัวบ้านนั้นถูกจัดให้อยู่ในทิศตั้งฉาก 90 องศากับถนนเพื่อหลบจากสายตาสอดรู้สอดเห็นทั้งหลาย บ้านหลังนี้ยังติดหนี้จำนองอยู่เป็นจำนวนเงิน 4 ล้านดอลล่าร์ (หรือคิดเป็นเงินปอนด์ เท่ากับ 2.4 ล้านปอนด์) หลังจากที่ไมเคิลซื้อบ้านหลังนี้ต่อจากโจ พ่อของเขา ในปี 1981 และติดหนี้ค่าภาษีอสังหาริมทรัพย์อยู่อีก 16,000 ดอลล่าร์

หลายสิ่งหลายอย่างที่ไมเคิลนำไปรวมเอาไว้ในบ้านแห่งเทพนิยายเนเวอร์แลนด์ ในภายหลังนั้น ได้ปรากฏขึ้นครั้งแรกที่นี่ โดยเฉพาะพวกสัตว์แปลก ๆ รวมถึง บับเบิ้ล เจ้าลิงชิมแพนซีด้วย เด็ก ๆ มักจะถูกเตือนให้ระลึกถึงพ่อของพวกเขาทุกครั้งที่พวกเขาก้าวออกมาทางประตูด้านหน้าและเดินย่ำไปบนรูปจำลองของดวงดาวของเขาแบบเดียวกับที่อยู่ในทางเดินเกียรติยศฮอลลีวูด (Hollywood Walk of Fame) ซึ่งถูกฝังไว้บนทางเดินของสวน ลุงติโต้ แจ๊คสัน ซึ่งได้มาเยี่ยมพวกเขากล่าวว่า “พวกเด็ก ๆ ธรรมดามาก ๆ พวกเขาเล่นสนุกกัน พวกเขาเอาปืนฉีดน้ำพ่นน้ำใส่น้องหมา และพวกเขาเล่นของเล่นและเล่นบอลกับพวกลูกพี่ลูกน้องของพวกเขา”

ในบรรดาเด็กทั้งสามคน ปารีสดูเหมือนจะปรับตัวเพื่ออยู่กับชีวิตที่ปราศจากพ่อของเธอได้ดีที่สุด แหล่งข่าวจากครอบครัวรายงานว่า เธอรักบ้าน Hayvenhurst นี้ เธอชอบที่ที่เธอเรียกมันว่า “ร้านขายขนม” มากเป็นพิเศษ มันเป็นห้องที่อยู่ติดกับโรงภาพยนตร์ซึ่งถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำบางส่วนของวิดีโอเพลง Thriller “ปารีสชอบอ่านหนังสือและวาดรูประบายสีน้ำและถักเปียผมกับลูกพี่ลูกน้องของเธอ ซึ่งจะมาเยี่ยมที่บ้านทุกวัน และเธอคุยโทรศัพท์กับเพื่อนจำนวนไม่กี่คนทางโทรศัพท์มือถือของเธอเป็นประจำ” สมาชิกครอบครัวคนหนึ่งกล่าวกับเรา เธอได้แสดงความต้องการที่จะหยุดเรียนหนังสือที่บ้านและไปเข้าเรียนในโรงเรียนราษฎร์แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า Campbell Hall ใน North Hollywood ซึ่งเป็นโรงเรียนที่นักแสดงขวัญใจของเธอ คือ Dakota Fanning ศึกษาอยู่

แบล๊งเคทดูเหมือนจะปรับตัวได้ยากกว่า “เขามักจะร้องไห้คนเดียวจนหลับไปและคอยถามอยู่เสมอว่าพ่อของเขาไปไหน” แหล่งข่าวจากครอบครัวที่ใกล้ชิดกล่าว “ในช่วงคืนแรก ๆ ป้าของเขาคือ เร็บบี้ จะมานอนบนเตียงเปลข้าง ๆ เขาเพราะเขากลัวที่จะต้องนอนคนเดียว” สำหรับตอนนี้ แบล๊งเคทมีพี่เลี้ยงแบบเต็มเวลามาคอยดูแลปลอบโยนเขาในเวลากลางคืน และ “เล่นอย่างบ้าคลั่ง” กับเขาในช่วงกลางวัน

ในขณะเดียวกัน พี่ชายคนโต ปริ๊นซ์ ได้แยกตัวเองออกไปอยู่ในโลกส่วนตัว เล่นวิดีโอเกมส์บนเครื่องเล่น PSP ของเขาเป็นเวลาหลาย ๆ ชั่วโมงติดต่อกัน เขาไม่ได้รับอนุญาตให้เล่น internet นาน ๆ แคทเธอรีน คุณย่าของเด็ก ๆ และเป็นผู้ปกครองของเด็ก ๆ ในเวลานี้ด้วย ไม่อนุญาตให้พวกเขาเล่นห้องแชทออนไลน์ “เธอจะต้องแน่ใจว่าการต่อ internet ภายในบ้านทุกครั้งได้รับการควบคุมดูแลและจำกัดเวลา” แหล่งข่าวกล่าว

ภาระในการปกครองดูแลพวกเขานั้นจะกลายเป็นความยุ่งยากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในวัย 79 ปี แคทเธอรีนนั้นอ่อนแอเกินไปที่จะจัดการทุกอย่างด้วยตัวของเธอเอง ด้วยภาวะโรคไขข้ออักเสบต่าง ๆ และอาการหลงลืมตามที่ร่ำลือกัน ดังนั้น เธอจึงต้องดึงตัวลูกสาวคนโต เร็บบี้ วัย 59 ปี มาช่วยดูแลธุระประจำวันต่าง ๆ ทั้งแคทเธอรีนและเร็บบี้ต่างก็เป็นผู้ศรัทธาในนิกายพยานแห่งพระยะโฮวาด้วยกันทั้งคู่ พวกเขาเข้าร่วมพิธีต่าง ๆ 4 ครั้งต่อสัปดาห์และมีความเป็นไปได้ว่าศาสนานี้จะเริ่มมีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่อชีวิตของพวกเด็ก ๆ

แหล่งข่าวจากครอบครัวกล่าวว่า แคทเธอรีนได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าพวกเด็ก ๆ จะถูกเลี้ยงดูอยู่ภายในกรอบของความศรัทธา และเมื่อพวกเขาโตพอแล้ว คาดว่าพวกเขาจะต้องไปเคาะตามประตูบ้านในเช้าวันอาทิตย์เพื่อแจกจ่ายนิตยสาร Watchtower ด้วย

เร็บบี้มีข้อได้เปรียบในแง่ของการเป็นที่จดจำได้น้อยที่สุดในบรรดาพี่น้องตระกูลแจ๊คสัน เป็นที่กล่าวกันว่าเมื่อภาพของปารีสที่เดินเคียงคู่อยู่กับป้าของเธอในลาส เวกัสถูกตีพิมพ์ออกไป ชื่อของเร็บบี้ไม่ได้ปรากฏอยู่บนหัวข้อข่าวใด ๆ คุณสมบัติที่ยิ่งใหญ่อีกประการหนึ่งของเธอก็คือ ความมั่นคงราวกับเหล็กกล้า ซึ่งไม่ใช่ลักษณะของพวกแจ๊คสันอย่างที่รู้จักกัน

จากการที่เธอแต่งงานมาเป็นเวลาเกือบ 41 ปีกับ เนท คู่รักตั้งแต่ในวัยเด็กของเธอ เร็บบี้เป็นเพียงคนเดียวในบรรดาพี่น้องตระกูลแจ๊คสันที่สามารถรอดพ้นจากงานในวงการเพลงป๊อบมาได้อย่างปลอดภัย แม้ว่าจะมีชื่อเสียงเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ในช่วงปี 1980 จากผลงานเพลงฮิตของเธอคือ Centipede แต่เร็บบี้ได้อุทิศชีวิตส่วนใหญ่ให้กับการเลี้ยงดูลูกทั้งสามคนของเธอ “เร็บบี้ออกไปจากตระกูลแจ๊คสันก่อนที่โจจะเริ่มเคี่ยวเข็ญพวกเขาให้กลายเป็นดารา เธอบอกว่าเธอนั้นโชคดี” สมาชิกครอบครัวที่ใกล้ชิดกล่าว

ก่อนหน้านี้ เร็บบี้เป็นเหมือนคนแปลกหน้าสำหรับลูก ๆ ของไมเคิล แจ๊คสัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะได้เจอเธอบ่อยครั้งกว่าที่ได้เจอกับเด็บบี้ โรว์ แม่ผู้ให้กำเนิดปริ๊นซ์และปารีส ผู้ซึ่งถูกกีดกันออกจากชีวิตของเด็ก ๆ โดยแจ๊คสัน แต่ในที่สุดก็ได้รับสิทธิ์ในการมาเยี่ยมลูก ๆ โดยศาลในลอส แองเจลิสเมื่อเดือนกรกฎาคม

ตามที่อดีตผู้ช่วยส่วนตัวของเธอบอก เด็บบี้หมดหวังจากการพบปะกับลูก ๆ ของเธอภายหลังจากที่แบล๊งเคทถือเกิดมา ด้วยเหตุผลที่ว่า การมาเยี่ยมของเธอนั้นอาจทำให้เกิดการแบ่งแยก (ภายในหมู่เด็ก ๆ) ได้ “เด็บบี้รู้สึกไม่พอใจอย่างมากที่ถูกเรียกว่าเป็นคนเย็นชา เป็นแม่ที่ไม่สนใจลูกของตัวเอง แต่เธอก็เชื่อมั่นอย่างแท้จริงว่าไมเคิลรักลูก ๆ ของเขา ถึงแม้ว่าบางครั้งอาจจะไม่ใช่ด้วยวิธีการที่ฉลาดนัก มันเจ็บปวด แต่เธอก็แยกตัวเองออกมา ตอนนี้เธอหวังว่าเธอจะได้ทำความรู้จักกับลูก ๆ ทั้งสองคนของเธอ”

ไม่ว่าความสัมพันธ์ (หากมี) ที่พวกเขามีต่อแม่ของพวกเขานั้นจะเป็นอย่างไร แต่พวกเขาก็ยังต้องต่อสู้กับเครือญาติในตระกูลแจ๊คสันคนอื่น ๆ ที่เหลือ แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องเขาไปพัวพันกับการทะเลาะเบาะแว้งด้วยเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ อันเป็นเครื่องหมายสัญลักษณ์ของตระกูลแจ๊คสันมาตลอด แม้แต่พิธีฝังร่างของไมเคิลยังต้องถูกเลื่อนออกไปเนื่องจากพี่น้องหลายคนต้องไปร่วมงานอื่นซึ่งอยู่ในช่วงเวลาทับซ้อนกัน แต่พวกเขาได้รับค่าตอบแทนจากการไปปรากฏตัวในงานเหล่านั้น

อีกสิ่งหนึ่งที่สร้างความวุ่นวายคือการทะเลาะเบาะแว้งกันว่าด้วยเรื่องข้อเสนอของทัวร์อเมริกันที่เกี่ยวข้องกับการรวมตัวกันภายใต้ชื่อ “Jackson 8” ปัญหาที่เกิดขึ้นคือความไม่เท่าเทียมกันในการแบ่งสรรปันส่วนค่าตอบแทนจำนวนมากกว่า 12 ล้านดอลล่าร์ ซึ่งจะถูกจ่ายให้กับเจเน็ตเป็นจำนวนเงิน 4 ล้านดอลล่าร์ และเร็บบี้ได้ 250,000 ดอลล่าร์ แคธรีนยังคงคัดค้านต่อแนวความคิดด้านการตลาดและการทำสินค้าออกขายที่ถูกเสนอขึ้นโดยทนายความของลูก ๆ ของเธอ เพื่อที่จะหาประโยชน์จากมรดกทางดนตรีของน้องชายผู้จากไปของพวกเขา เพื่อเป็นการตอบกลับ บรรดาพี่น้องชายหญิงทั้งหลายจึงไม่มีใครใส่ใจในความพยายามที่จะนำแนวคิดเรื่องศาสนาอันเคร่งครัดมาปลูกฝังให้กับหลาน ๆ ของเธอ และไม่มีใครชอบความคิดที่เสนอขึ้นโดยคุณปู่โจที่ว่า เขาควรจะมาเยี่ยมเด็ก ๆ ที่บ้าน Hayvenhurst เป็นครั้งคราว และที่ชอบน้อยที่สุดก็คือเด็บบี้ ผู้ใช้การจากไปของเขาเป็นข้อตกลงที่ไม่สามารถต่อรองได้ในการเข้ามาเกี่ยวข้องกับกองสมบัติ

อาจมีปัญหาอื่น ๆ อีกด้วย นั่นคือ เด็บบี้ไม่เคยพบกับเร็บบี้ และแทบจะไม่รู้จักแคทเธอรีน และยังถูกทำให้งงงวยและรำคาญจากข้อกล่าวอ้างของแพทย์กระดูกชาวอังกฤษ ชื่อว่า Mark Lester ผู้ได้ร่วมแสดงในภาพยนตร์เมื่อปี 1968 เรื่อง Oliver! ว่าเขาเป็นพ่อทางสายเลือดของลูกสาวของเขา ปารีส “เด็บบี้รู้สึกว่ามันตลกมาก”

จากนั้นเพียงไม่นาน ข่าวลือถัดไปก็ตามมา ว่า Macaulay Culkin ดาราเด็กจากภาพยนตร์เรื่อง Home Alone เป็นพ่อของแบล๊งเคทร่วมกับมารดาที่ไม่ทราบชื่อ เป็นไปได้ว่าจะมีข่าวลือประเภทนี้และเรื่องราวของลูกหลานและคนรักที่ “จากหายไปนาน” ตามออกมาอีกมากมาย อย่างน้อยก็จนกว่ากองทรัพย์สินอลหม่านของไมเคิลจะได้รับการจัดการจนเสร็จสิ้น

แต่พวกเด็ก ๆ ก็สามารถปรับตัวได้ดีมาก และด้วยวัยเพียงไม่มากนักของหนูน้อยแจ๊คสันทั้งสาม แต่พวกเขาก็ต้องปรับตัวมากมายเหลือเกิน ชีวิตของพวกเขาในเวลานี้ดูเหมือนจะเรียบง่ายตรงไปตรงมา ซึ่งมันได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาพักผ่อนที่ลาส เวกัสเมื่อไม่นานมานี้ ปารีสถูกถ่ายภาพเอาไว้ในขณะที่เธอไปชอปปิ้งซื้อเครื่องสำอางค์ในห้างท้องถิ่น เธอดูเรียบง่ายและสวมแว่นตา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไมเคิลจะไม่มีทางยอมให้เธอทำ ตามคำบอกเล่าจากเพื่อนของครอบครัว และลูก ๆ ของไมเคิลยังเป็นที่สังเกตเห็นในขณะที่พวกเขาเล่นน้ำอยู่ในสระน้ำของโรงแรมเป็นเวลาสองชั่วโมงอย่างไม่มีการปิดบังใบหน้า แบล๊งเคทอยู่ในชุดถุงลมลอยน้ำสำหรับหัดว่ายน้ำของเขา ปริ๊นซ์นั่งอยู่ใต้เงาร่มกำลังเล่นเกมส์บนเครื่อง PSP ของเขา และปารีสซึ่งดูโตขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อกำลังดื่มค็อกเทลสตรอเบอรี่ผสมกล้วยแบบไม่มีแอลกอฮอล์

ภาพบรรยากาศสบาย ๆ ไร้กังวลดังกล่าว อันเป็นสิ่งที่จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลยหากไมเคิล แจ๊คสันได้อยู่ร่วมด้วย แสดงให้เห็นว่าอนาคตของปริ๊นซ์ ปารีส และแบลงเค็ทน่าจะเป็นชีวิตที่ปกติธรรมดามากขึ้น


Credit to MJ Club@pantip.com







Create Date : 21 ตุลาคม 2552
Last Update : 19 พฤศจิกายน 2554 17:23:24 น. 0 comments
Counter : 5714 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Ritsu31
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
 
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
21 ตุลาคม 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Ritsu31's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.