Group Blog
 
 
ตุลาคม 2555
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
20 ตุลาคม 2555
 
All Blogs
 

ปักกิ่งในมุมของฉัน

นับรวมระยะเวลาตั้งแต่วันแรกที่หอบกระเป๋าเดินทางจากเมืองไทย มาเมืองปักกิ่งประเทศจีน ก็ตั้งแต่วันที่ 18 เดือนมีนาคม 2552 จนถึงวันนี้ก็เป็นระยะเวลา 3 ปีกับอีก 7 เดือนกว่าแล้วนะ นานดีแท้

วันแรกที่มาถึงยังจำได้เลย ว่าบรรยากาศมันช่างอึมครึม มัว ๆ ซัว ๆ มองไปทางไหนมันก็น่าหดหู่ทั้งนั้น มองต้นไม้ ใบไม้สักใบมันยังไม่มีเล๊ย ใจฟ่ออยากกลับบ้านที่สุดอะ แค่วันแรกก็ถอดใจว่ากรูมาทำอะไรที่นี่เนี่ย ชีวิตเมืองใหญ่มันไม่เหมาะกับเด็กบ้านนอกอย่างกรูจริง ๆ

ภาษาจีนก็พูดได้แค่นิดหน่อย ดีว่าเป็นคนกินไม่เลือก เลยหมดปัญหาเรื่องกินไปหนึ่งเปราะ



มาครั้งแรกด้วยวีซ่านักท่องเที่ยวแบบ 3 เดือน พอครบกำหนด 3 เดือนก็ต้องกลับเมืองไทย แต่ก่อนกลับก็ได้สำรวจที่ทางในการเรียนภาษาจีนไว้แล้วว่าจะเรียนที่ไหน และถ้าเรียนหนังสือ ปัญหาเรื่องวีซ่าก็จะหมดไป กลับไทยไปเดือนกว่า ๆ แล้วก็กลับมาสมัครเรียนที่ 北京语言大学 หรือ Beijing language and culture university

ชีวิตประจำวันในตอนนั้น เฮ่ออออ ตื่นแต่ 6 โมงครึ่ง เข้าเรียนตอน 8 โมงครึ่ง ที่ต้องตื่นเช้าขนาดนั้น ก็เพราะว่าที่พักอยู่ไกลจากมหาลัยมากกกก ใช้เวลาเดินทางไป 1 ชั่วโมง กลับอีก 1 ชั่วโมง ไปเรียนก็เริ่มมีเพื่อนมากขึ้น โดยเฉพาะคนไทย ก็มีทั้งดี ทั้งแปลก คบกันอยู่ 2-3 รุ่น แล้วทุกคนก็ครบกำหนดกลับไทยกันหมด เหงาอีกตามเคย ไม่มีเพื่อนคนไทยแล้ว เพื่อนคนจีนก็ไม่มี เพราะเป็นมหาวิทยาลัยสำหรับชาวต่างชาติที่มาเรียนภาษาจีน เพื่อนในชั้นเลยมีแต่คนต่างชาติ



เรียนภาษาจีนอยู่ 2 ปีครึ่งก็ไม่ไหวละ โบกมือบาย ๆ ดีกว่า ยากเกิน ยังนึกขำตัวเองวันที่ไปเขียนใบลาออกได้เลยว่า เค้ามีช่องให้กรอกว่า ลาออกด้วยเหตุผลอะไร ความซื่อของฉันเลยกรอกลงไปว่า 中文太难 ภาษาจีนมันยากเกิน (สติปัญญาอันน้อยนิดของฉัน )ห่าจิกจริง ๆ เขียนไปแค่ว่าย้ายไปเรียนโรงเรียนอื่นก็น่าจะพอแล้ว

ใครที่อยากมาเรียนภาษาจีนที่เมืองจีน แนะนำมหาวิทยาลัยนี้เลยนะ ดีจริง ๆ เรียนมา 2 ปีครึ่ง ถึงแม้ฉันจะไม่ได้พูดได้คล่องปรื๋อ แต่ก็พูดได้มากขึ้นกว่าปีแรกเยอะ แถมถูกใจสุด ๆ ก็เรื่องค่าเทอมนี่แหละ คือทุกปีตอนเริ่มการศึกษาใหม่ ฉันจะลงทะเบียนไปเลย 1 ปีเต็ม แล้วตอนที่ลาออกเนี่ย มันค้างไว้ 1 เทอม คือลาออกหลังจากเทอมแรกว่างั้นเถอะ ยังไม่จบเทอมแรกดีสะด้วยซ้ำ แต่ทางมหาวิทยาลัยใจดีมาก คืนค่าเล่าเรียนของเทอมหลังครบทุกหยวน ทุกเหมาเลยว่างั้่น ไม่มีการคิดค่าโน่นนี่นั่นให้เจ็บใจกันในภายหลัง อาจารย์ผู้สอนก็สอนดี ถึงแม้ว่าจะเจอบ้างอาจารย์ที่สอนไม่ค่อยดี (ตามทัศนคติส่วนตัวของฉันคนเดียวนะ) แต่อาจารย์ที่สอนดี ๆ สอนเก่ง ๆ ก็เยอะ ค่าเทอมก็ไม่ได้แพงเกินไป (มั้ง) สรุปคือถ้ามีใครผ่านมาอ่านทางนี้ มีลูกมีหลาน หรือคนรู้จักอยากมาเรียนที่มหาวิทยาลัยนี้ Beijing language and culture university ไม่ต้องลังเลเลย ของเค้าดีจริงอะไรจริงจร้า



ลาออกแล้วก็ต้องไปสมัครเรียนที่โรงเรียนเอกชน ไม่ไกลจากมหาลัยเก่ามากนักหรอก ค่าเล่าเรียนก็โอเค แถมถูกใจที่เค้าทำวีซ่าให้ด้วยนี่แหละ แต่เรียนไปได้ไม่ถึงเดือนเลย ก็ต้องหยุดเรียน แต่ไม่เลิกเรียนนะ หยุดเรียนภาษาจีน เพื่อไปเรียนภาษาฝรั่งเศส เตรียมความพร้อมก่อนที่จะต้องย้ายถิ่นฐานที่อยู่อาศัย ในเดือนมีนาคมปีหน้า

คราวนี้สบายขึ้นมาหน่อย โรงเรียนอยู่ใกล้บ้านมาก โดยสารรถไฟใต้ดินไปแค่ 2 สถานีก็ถึงแล้ว แต่การเรียนนี่สิ อาทิตย์แรกเจออาจารย์คนจีน สอนภาษาฝรั่งเศส เรียนไปส่ายหัวไป มันบ่แม่น ทำไมฉันต้องมาเรียนภาษาฝรั่งเศสกะอาจารย์จีนด้วยวะเนี่ย สำเนียงมันไม่ใช่อะ

แต่การเรียนคราวนี้ ทำให้ได้เพื่อนคนจีนมากขึ้นแหะ เพราะทั้งชั้นเรียนมีแต่คนจีนทั้งนั้นเลย จากตอนแรกที่คิดว่า มาเรียนฝรั่งเศส แล้วภาษาจีนละวะ จะลืมหรือเปล่า วางใจได้เลยว่าไม่มีทางลืม แถมจะดีขึ้นกว่าเก่าสะด้วยซ้ำ 555

ตอนนี้เรียนไปได้ 3-4 เดือนละ พูดได้นิดหน่อย นิ๊สสสสเดียวจริง ๆ นะ ยากเย็นแสนเข็ญแท้ ๆ ภาษาฝรั่งเศสเนี่ย แกรมม่งแกรมม่าแม่มนรกแตก การออกเสียงก็ยาก เดือนแรกที่เรียนจำได้เลยว่าเจ็บคอ ตอนแรกคิดว่าไม่สบายเป็นหวัดปะวะ แต่อาการอื่นมันก็ไม่มีนี่หว่า ไม่ปวดหัว ตัวไม่ร้อน น้ำมูกน้ำลายก็ไม่ไหล ที่ไหนได้ ฉันเจ็บคอเพราะต้องหัดพูดฝรั่งเศสนี่หว่า

พอนึกว่าจะต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นหลังจากอาศัยอยู่ในเมืองนี้มาร่วม 4 ปี ความรู้สึกแรกก็ดีนะ แบบโอยยยย ดีใจว้อย กรูจะได้ย้ายไปที่อื่นแล้ว แต่พอถามใจตัวเองว่าทำไมต้องดีใจขนาดนั้นวะ ทั้ง ๆ ที่เรื่องดี ๆ ของเมืองนี้ก็มีเยอะแยะ อาหารการกินก็หลากหลาย อยากกินอะไรละ จีน ไทย ฝรั่ง อินเดีย มีหมดอะ แถมค่าครองชีพก็ไม่ได้แพงเกินไป อยากซื้อหาอะไรก็มีครบครันไปสะหมดทุกอย่าง ราคาก็ไม่ได้แพงเวอร์ด้วยนะ

เรื่องที่น่าเบื่อ น่าเอือมของเมืองนี้ก็อาทิเช่น อากาศ คือมันเป็นอย่างนี้ ปักกิ่งเนี่ยมันมีปัญหาเรื่องมลภาวะในอากาศไม่สะอาด แต่มันก็ไม่ได้เป็นทุกวันนะ หลายวันเป็นทีอะไรประมาณงี้ แต่เป็นที บางทีก็หลายวัน บางทีก็วันสองวัน หรือวันเดียวแค่นั้นเอง

อีกเรื่อง ที่ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องชวนเอือมระอาเป็นอย่างมากก็คือผู้คน เพื่อนสาวชาวมาเลย์ นางอาศัยอยู่ในปักกิ่งมา 12 ปีเต็มละ นางว่าปักกิ่งพัฒนาเมืองไปเร็วมาก แต่ไม่พัฒนาคน เหมือนจับคนบ้านนอกมาอยู่ในเมืองใหญ่ กิริยามารยาทมันเลยไม่ได้เข้ากะบรรยากาศของตึกสูง ๆ ใหญ่ ๆ ในเมืองปักกิ่งเลย เรื่องขึ้นชื่อของคนจีนก็คือเรื่อง "ขาก" ซึ่่งขอบอกว่ามันจริงมากกกกกกก ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ทุกคนก็เถอะ แต่มันเยอะมากกกกก เดินไปตามถนนเนี่ยจะเห็นดอกดวงเต็มไปหมด นั่นแหละ รอยขากของแปะของซิ่มทั้งนั้น แล้วขากไม่เลือกด้วยนะว่ากรูอยู่ที่ไหน เวลาใด ถ้ากรูจะขากใครก็ห้ามกรูไม่ได้ ร้านอาหาร รถไฟใต้ดิน สถานีรถใต้ดิน ทั้งขากทั้งเสียงดัง นึกแล้วอี๊ ๆๆๆๆๆๆ

ห้องน้ำสาธารณะ เคยมีคนมาถามว่าห้องน้ำเมืองจีนมันเป็นเหมือนที่คนพูดกันไหม ที่ว่าไม่มีฝากั้น ไม่มีประตู คำตอบคือมี แต่มันไม่ได้มีอยู่ทุกที ตามห้างสรรพสินค้า ห้างร้านต่าง ๆ เค้าก็มีห้องน้ำที่มีฝากั้น มีประตูเหมือนบ้านเรานะแหละ แต่สิ่งที่เค้าไม่มีคือ มารยาทในการใช้ห้องน้ำ เยี่ยวเสร็จ ขี้เสร็จ กรูเช็ดตูด สะบัดจู๋ แล้วเดินออกจากห้องน้ำเลยว่างั้น ไม่สนใจว่าคนข้างหลังจะทำ หรือรู้สึกใด ๆ ทั้งสิ้น คือมันก็ไม่ได้เป็นไปสะหมดทุกคนหรอกนะ แต่ไม่รู้เป็นไง เวลาไปเข้าห้องน้ำสาธารณะทีไร มันจะต้องเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกินในการหาห้องน้ำที่มันไม่มีขี้ มีเยี่ยวที่ยังไม่ได้ราด ไม่ได้กดน้ำ นี่พูดถึงเฉพาะห้องน้ำชายนะ ห้องน้ำหญิงไม่รู้เป็นงี้เยอะหรือเปล่า

เรื่องการต่อคิวขึ้นรถรถไฟใต้ดิน คนจีนไม่เคยมีระเบียบ ไม่เคยนึกถึงว่าเวลารถไฟจอด ควรจะหยุดรอให้คนในรถออกมาสะก่อน แล้วจึงค่อยเข้ารถได้ ประตูเปิดปุบ แม่มยืนกันกลางประตู แล้วเดินสวนเข้าไปในรถ ขณะที่คนในรถกำลังออกมาสะงั้น บางคนขณะที่ทุกคนยืนต่อแถวเพื่อรอขึ้นรถ พอรถมาถึงประตูเปิดปุบ คุณชายคุณหนูทั้งหลายเดินผ่ากลางเข้ารถเฉ๊ยยยย อีห่ากวาด บางคนเห็นก็เห็นว่าคนต่อแถวกันขึ้นรถ กรูก็ไม่สน เดินไปเบียดคนคิวแรกหน้าตาเฉย เกิดมาไม่คิดว่าจะต้องมาพอมาเจอคนเชี่ยอะไรพันธุ์นี้จริง ๆ

ยัง ยังไม่หมดแค่นั้น ทางเดินขึ้นลงในสถานีรถไฟใต้ดิน เค้าให้คนยืนชิดทางด้านขวา เพื่อเปิดทางสำหรับคนเดินทางด้านซ้าย แต่ทำไมอะ กรูเป็นแฟนกัน กรูจะเม้าท์กะเพื่อน กรูหอบถุงปุ๋ยมาจากต่างจังหวัด กรูจะยืนขวางมันทั้งซ้ายทั้งขวา ใครจะทำไมกรู ป้ายเค้าก็มีบอกว่าให้ยืนชิดทางด้านขวา เสียงประกาศบอกก็มี แต่กรูไม่สน ใครจะทำไมกรู

ขับรถในปักกิ่ง ตามทัศนคติฉันเนี่ย ไม่ต้องไปอาศัยทักษะในการขับรถมากนักหรอก อาศัยแค่หน้าด้านหน้ามึนเป็นพอ กรูจะเลี้ยวขวา กรูก็จะมองแค่ทางขวา รถซ้ายจะมาหรอ กรูไม่สน ขับปาดซ้ายปาดขวาใครจะทำไป ไฟเลี้ยวมันมีไว้แค่ประดับรถ ขับรถไป คุยโทรศัพท์ไปก็ไม่มีใครว่า คุย ๆ ไปอะ ๆ ขับไม่ถนัด ขอจอดรถกลางถนนคุยสะหน่อย พี่แกก็ทำกันได้ มีอยู่ครั้งสีแยกใกล้ซานหลี่ถุน อยู่ ๆ รถเก๋งเก่า ๆ คันนึงจอดเกือบกลาง ๆ สี่แยก แล้วก็มีเด็กวัยรุ่นคนนึงลงจากรถ ฉันก็นึกว่าแม่ หรือพ่อมันคงจอดให้ลูกลงไปขึ้นรถไฟใต้ดิน แต่ที่ไหนได้ ไอ้ลุกออกมายืนส่องซ้าย ขวา มองหาใครสักคน พอมันส่องเจอเพื่อนมัน มันเรียกกันมาขึ้นรถที่จอดรออยู่แทบจะกลางสี่แยกหน้าตาเฉย ไม่เห็นกะตาจะไม่เชื่อเลยนะเนี่ย

เรื่องที่จะเสียดายมาก ๆ หากต้องจากเมืองปักกิ่งไปจริง ๆ คือเรื่องการจับจ่ายใช้สอย คือมันไม่ได้แพงเวอร์เกินไปอะ เสื้อผ้าหาถูก ๆ ก็มีอยู่เยอะนะ อาหารการกินก็ไม่ได้แพงจนเวอร์ แต่ก็ไม่ได้ถูกสักเท่าไรนะ แต่ของถูกมันก็ต้องทำใจนะ คุณภาพมันก็สมราคาแหละ

เอ๊า นับถอยหลังอีกประมาณแค่ 5 เดือนเอง ฉันก็ต้องจากเมืองนี้ไปแล้ว จะดีใจเหมือนใจคิด หรือจะแอบใจหายก็ยังไม่รู้ เพราะถึงวันนี้ ฉันก็รู้สึกว่าปักกิ่งคือบ้านที่ 2 ของฉันนะ ตั้งแต่เกิดมาเกือบจะสี่สิบปี อยู่เมืองไทยจังหวัดพิษณุโลกมาสามสิบปีกว่า ไม่เคยจากบ้านไปไหนไกล ๆ นาน ๆ สักที มีปักกิ่งที่แรกนี่แหละ รู้จักเมืองนี้ในระดับนึง ถนนหนทางจากไหนไปไหนก็พอรู้บ้าง เรียกว่ารู้จักดีเป็นที่สองรองจากเมืองพิษณุโลก บ้านเกิดเมืองนอนก็ว่าได้

ปักกิ่งเอ๊ย แล้วฉันจะคิดถึงเธอไหมเนี่ย?




 

Create Date : 20 ตุลาคม 2555
7 comments
Last Update : 21 ตุลาคม 2555 8:28:00 น.
Counter : 3295 Pageviews.

 

อ๊าย ได้เจิม

 

โดย: Bananarumba 21 ตุลาคม 2555 1:09:33 น.  

 

ลงไปกินข้าวก่อน เดี๋ยวมาอ่านะจ๊ะ

 

โดย: Bananarumba 21 ตุลาคม 2555 1:11:30 น.  

 

อ่านแล้วอ่ะ
โห อีกไม่นานก็จะไปจากปักกิ่งแล้วเหรอ ย้ายบ้านอีกแล้วดิพล เราเคยไปเซี่ยงไฮ้สองครั้ง เหมือนเมื่อนานมาแล้วเลย เห็นด้วยว่าคนที่นั่นค่อนข้างจะเอ่อม เหมือนที่เพื่อนพลบอกอ่ะนะ แต่เข้าใจอ่ะ ว่าคนมันเยอะ การเปลี่ยนแปลงมันเร็ว เปิดประเทศมาไม่กี่ปีมันพัฒนานิสัยคนได้ไม่เร็วขนาดนั้นหรอก เคยคุยกับน้องที่เคยอยู่โน่น เค้าก็เบื่อเรื่องมารยาทคนที่โน่นอ่ะ มันเซ็งลึกจนสุดบรรยาย คนที่ไม่ได้อยู่ด้วยคงจะไม่เข้าใจ เราแค่ไปเที่ยวยังนึกเล้ย ว่ากรูคอดโชคดีที่ไม่ต้องเจออย่างงี้ทุกวัน

เคยซื้อเสื้อหนาวขนเป็ดมาจากที่โน่นด้วยแหละ ตัวละห้าร้อยบาท มันก็อุ่นดีนะ ขนเป็นแท้ แต่ว่าใช้สองครั้งกระเป๋าฉีกเว้ย ขนเป็ดกระจุย ยังเสียดายเลย ผลิตทั้งทีไม่ใช้ของดีหน่อยว้า เสียดายขนเป็ดอ่ะ

แล้วพลจะย้ายมาสวิสเหรอ ใกล้กันอีกนิดนึงแล้วดิ ปุ่นยังไม่เคยไปเที่ยวสวิสเลยอ่ะ เคยแต่ไปต่อรถไฟ แว๊บ ๆ สองชั่วดมง สามีบอกว่า สวยเหมือนออสเตรียแหละ แต่แพงกว่าเยอะ อิอิ ไม่รู้วว่าจะมีปัญญาขนกันไปเที่ยวหรือเปล่านะ ช่วงนี้นางแก้มกลมก็เริ่มรู้เรื่องแล้ว พากันไปเที่ยวหน่อยก็ดี อยากไปโน่นนี่หลายที่มาก อ้าว คุยเรื่องจีน วกมาเรื่องตัวเองเฉยเลย อิอิ

 

โดย: Bananarumba 21 ตุลาคม 2555 2:55:59 น.  

 

สวัสดีจ้าพี่พล

แหมแอบมาเขียนบล๊อคไม่บอกน้องนุ่ง นี่นึกอยู่เลยว่าจะไปเขียนตอบพี่ที่หน้าเฟสบุ๊คแล้วอ่า

ไอ้เซ็นทรัลอ่ะเค้าไม่รู้ว่ามันมีคำว่าเวิล์ดมั๊ย เค้าติดมาจากเซ็นทรัลเวิล์ดที่ภูเก็ตอ่ะ เลยนึกว่ามันจะมีต่อเหมือนกันทุกที่ ฮ่าๆ เค้าบ้านนอกนะ(บ้านเดียวกะพี่พลคริคริ แต่อยู่ในป่าลึกมว๊าก อย่าถือสา)

ไอ้ที่พี่บอกว่าเรียนภาษาฝรั่งเศสแล้วเจ็บคอนี่ฮานะ เค้าเข้าใจเลยอ่า บางคำมันออกเสียงมาจากคอจริงๆ คิดแล้วกลุ้มบ้านเราไม่มีคำพวกนี้เนอะ ต้องถามอาจารย์ว่ามันออกมาจากส่วนไหน(ฟระ) แล้วเรียนเสียงเอา ที่บริษัทเค้ามีสอนเรียนภาษาฟรี ตอนนี้เค้าลงเรียนโปรตุเกสอยู่(ความจริงอยากเรียนสเปนแต่ว่าเต็ม) โคตรจะงงเลย เรื่องเฟมินิน มันคาลีน เนี่ย อยากจะเอาเท้าก่ายหน้าผาก ไปไม่หวายจริ
ๆแกรมม่าเนี่ย

แต่ถ้าพี่ย้ายมาสวิสแล้วเค้าว่าโอกาสจะได้เจอกันสูงกว่าเราจะไปเจอกันที่ไทยมั๊ย เดี่ยวเค้าได้พาสปอร์ตแล้วคงจะได้ดูลาสมินิทไปสวิสกะเค้าบ้าง (เอ่อ เค้ายังไม่ได้ชวน ฮ่าๆ)

ถ้าพี่ได้กลับพิดโลกบอกเค้านะ เค้าจะให้แม่ส่งหน่อไม้ดองไปให้ ทำเป็นสินค้าโอท๊อบ(แม่เค้าขี้โม้) ขายเป็นล่ำเป็นสัน หน่อไม้ปลูกเองที่สวน ทำหน่อไม้ดองกันเอง ไม่มีสารเคมี ไม่ใส่สารอะไรทั้งนั้น แถมขาวและอร่อยไม่เปรี้ยวเกินไปด้วย

เค้าไปแล้ว เฟี้ยววววววว

 

โดย: มารน้อยไร้สังกัด 21 ตุลาคม 2555 4:34:45 น.  

 

ก๋วยเตี๋ยวขาหมู คงจะอร่อยอยู่นะพี่พล แต่เค้าไปทีไรมันหมดก่อนทุกที เลยไม่เคยได้ลอง 555

พ่อเค่าตะก่อนโหดมากเพราะลูกสาวสวย แต่มารุ่นอ๋อยไม่สวยแล้วไง เลยเลิกโหด ตั้งแต่มีหลานมานี้พ่ออารมณ์ดีมาก เด็กๆมันซื่ออ่ะนะพี่ ตลกด้วย พ่อเลยหลงรักหลานหมดใจ นี่ขนาดพี่ชายเค้าเป็นลูกติดแม่มานะยังขนาดนี้ พ่อถามทุกวันอ่ะ ว่าเมื่อไหร่จะมีหลานให้แกๆ บอกว่าแก่แล้ว รีบมีได้แล้ว 555

 

โดย: มารน้อยไร้สังกัด 23 ตุลาคม 2555 19:24:18 น.  

 

วู้.....น้องพลคืนสังเวียนแล้ววววว
น้องมีพรสวรรค์นะ อย่าได้ทิ้งเรื่องการเขียนเป็นเด็ดขาด อย่างน้อยป้าคนนึงละ จะตามอ่าน
เห็นปะตัวเองก็เล่นเล่าซะป้าหมดอารมณ์ ไม่มีกะใจจะไปปักกิ่ง เป็นอันขาดในชาตินี้
เกลียดขากกกกก
ไม่ชอบคนไม่มีน้ำใจ ไร้มารยาท
ที่สำคัญ บรรพบุรุษอุตสาหะหนีข้ามน้ำ ข้ามทะเลมาซะไกลโพ้น มันจะมีดีอะรั้ยเนอะ อย่ากระนี้กระนั้น เราไปเจอกันที่สวิส กันดีกว่า ป้าจดและจำคำเชิญไว้แล้วนะฮ้าาาา

 

โดย: Ms. ARALE (kim_tiger ) 23 พฤศจิกายน 2555 15:56:01 น.  

 


สวัสดีปีใหม่ค่ะ พล
จขบ.ไม่อยู่แต่ก็มาอวยพรค่ะ


โชคดีปีใหม่ มั่งคั่ง ร่ำรวย มีความสุข
สุขภาพแข็งแรง
และสมหวังตลอดไปนะคะ

 

โดย: ซองขาวเบอร์ 9 28 ธันวาคม 2555 16:40:42 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


aoigata
Location :
Biel Switzerland

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add aoigata's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.