|
กาละ ตอนที่ 22 (ตอนจบแล้วนะครับ)
บางครั้งฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนเราเกิดมามันถึงได้มีกฎเกณฑ์ มากมายเช่นนี้ ถ้าฉันเรียนจบ ได้รับปริญญา ทำงาน มีครอบครัว มีลูก มีทรัพย์สินทุกอย่างเหมือนกับคนทั่วไป
ฉันก็จะได้ชื่อว่าเป็นคนปกติเหมือนคนทั่วไปอย่างนั้นหรือ แต่ถ้าฉันไม่เรียน ไม่มีปริญญา ไม่ได้ทำงาน ไม่มีครอบครัว หรือแม้นกระทั่งไม่มีลูก ไม่มีทรัพย์ หรือสมบัติ
ฉันก็จะกลายเป็นคนที่ไม่ปกติงั้นหรือ แล้วชีวิตคนเราเกิดมามันมีเวลาไหนรึเปล่าที่เป็นเวลาของตัวเอง เวลาที่เรารู้สึกได้ว่านี่แหละคือความสุขที่ฉันต้องการ ไม่ใช่เวลาที่คอยแต่จะแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น
ไม่ใช่เวลาที่ต้องใส่หน้ากากกับคนอื่นๆ ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งอวดอ้างว่าฉันมีโน่นฉันมีนี่ ฉันเก่งอย่างโน้นเก่งอย่างนี้ หรืออะไรอีกมากมายที่พวกเขาเหล่านั้นทำกัน
ฉันขอแค่ได้อยู่กับคนที่ฉันรักมากที่สุดเท่านี้เองมันไม่ใช่สิ่งที่ต้องไปเสียเวลาเรียนรู้ หรือค้นคว้าหาคำตอบอะไรให้มันวุ่นวายหรือเสียเวลา
เพราะมันมีอยู่แล้ว และไม่ต้องใช้ประกาศนียบัตรใดๆ มาแสดงว่าคุณมีสิทธิ์ได้รับ หรือไม่ได้รับ มีเพียงแค่ฉันกับคนที่ฉันรักเท่านั้นที่จะตัดสินใจเอง...
แต่ฉันก็ไม่สามารถต้านกระแสของสังคม กระแสของผู้ที่ให้กำเนิดฉันมาได้เลย
ฉันกลับไปที่ประเทศอังกฤษแค่เพียงร่างกาย ส่วนใจของฉันยังคงพักอาศัยอยู่ที่ คุณนนท์ ฉันใช้ชีวิตที่นี่แบบสูตรสำเร็จรูป คือ
ตอนเช้าไปเรียนและก็เรียน ตอนเย็นฉันก็ไปหางานพิเศษทำเพราะที่นี่ทุกคนจะต้องทำงาน มันเหมือนเป็นกฎตายตัวว่าคุณต้องมีเงิน เพื่อจะได้เอาเจ้าตัวที่เรียกว่า เงินนี้ไปแลกกับปัจจัย 4 แต่ที่แท้จริงแล้วยุคสมัยนี้มันไม่ใช่แค่ปัจจัย 4
แต่มันคือปัจจัยที่ไม่มีที่สิ้นสุดตาม กิเลสของเราๆทุกคนนั่นเอง...
เมื่อฉันทำงานเสร็จก็ถึงเวลากลับบ้านไปพักผ่อน เพื่อที่จะได้มีแรงไปต่อสู้กับเช้าวันใหม่ ที่ไม่ต่างไปจากเช้าวันก่อนเลยแม้นแต่น้อย
มันเป็นแบบแผนเช่นนี้ จนเวลาผ่านพ้นไป 4 ปีแล้ว มันเหมือนคุณต้องทำอะไรซ้ำๆซากๆอยู่ 4 ปีเต็ม เมื่อฉันจบจากหน้าที่การเรียน ที่ พ่อ แม่ ตั้งตารอวันนี้มานานท่านทั้ง 2 คนดีใจมาก
มันเหมือนกับว่าฉันได้ทำหน้าที่ลูกที่ดีสำเร็จแล้ว ท่านให้ฉันเกิดมาเพื่อที่จะให้ฉันพยายามไขว่คว้ากระดาษที่มีชื่อของฉัน และเป็นสิ่งที่คนอื่นๆเห็นแล้วรู้สึกยอมรับว่าฉันคือพวกเดียวกับเขาแล้ว
ฉันคือมนุษย์สำเร็จรูปแล้ว แต่มันยังไม่ใช่เวลาที่ฉันจะได้กลับไปหาคนที่ฉันรัก ฉันยังต้องทำงานในองค์กรที่ใครๆก็อยากทำ ไม่ใช่เพื่อเงินเดือนอย่างเดียว แต่เพื่อเป็นสิ่งเชิดหน้าชูตาของวงศ์ตระกูล เพื่อความภาคภูมิใจของผู้ให้กำเนิดฉัน
และเพื่อเป็นสิ่งแสดงว่าฉันคือคนที่ประสบความสำเร็จ เป็นคนที่มีความสุขในสายตาของเขาเหล่านั้น
แต่จริงๆแล้วฉันมีความสุขตั้งแต่ ฉันยังไม่ได้มาเรียนต่อที่อังกฤษเลยซะด้วยซ้ำไป แต่มันคือในสายตาของฉันคนเดียว ฉันจะอธิบายเขาเหล่านั้นอย่างไรหละว่าความสุขของฉันนั้นฉันหาเจอตั้งนานแล้ว
และมันก็คือความสุขที่เกิดขึ้นจากใจ มันคือความสุขที่แท้จริง แต่ถ้าพูดไปก็คงไม่มีใครเข้าใจเพราะ พวกเขาไม่เคยคิดแบบฉันพวกเขาคิดแต่จะ กอบโกยทุกอย่างให้เป็นของตน
คิดแต่จะทำยังไงให้ตัวเองมีอำนาจ คิดแต่เรื่องที่มันไม่ใช่สิ่งจำเป็นในชีวิตจริงๆเลย แต่มันคือส่วนเกินของชีวิตมากกว่า
ฉันไม่ได้ติดต่อกับคุณนนท์เลย ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง ยังจะรอคอยฉันอยู่รึเปล่า แต่ฉันก็มั่นใจว่าเขาจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง...
เวลาผ่านไป 5 ปี ฉันยังคงทำงานที่องค์กร แห่งนี้
จนถึงเวลาที่ฉันไม่อยากให้มันเกิด คุณพ่อกับคุณแม่ของฉันท่านจะให้ฉันแต่งงานกับ ลูกชายเพื่อนคุณพ่อเขาเป็นข้าราชการใหญ่โตที่ประเทศนี้ โดยอ้างเหตุผลว่ามันถึงเวลาที่จะมีครอบครัวเสียที
ท่านบอกว่าไม่เคยเห็นฉันสนใจใครเลยสักคน ใครมาจีบหรือมาสนใจฉันก็จะบ่ายเบี่ยงไปตลอด ก็ฉันไม่สามารถมีใจให้ใครได้อีกแล้วนี่
ฉันยืนกรานไม่ยอมแต่ง แต่ท่านให้เหตุผลว่า พี่เขาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จสูง และมีอำนาจเป็นใหญ่เป็นโต สามารถดูแลฉันได้ตลอดชีวิต ถ้าฉันแต่งงานไปกับเขา ชีวิตฉันก็จะสบายมีความสุขไปตลอดชีวิต
แล้วนั่นมันคือความสุขของใครกันแน่ ของฉันหรือของ พ่อแม่ฉัน หรือของเจ้าบ่าวที่ไม่ได้รับเชิญ แต่ที่แน่ๆมันไม่ใช่ความสุขของฉันแน่นอน ฉันต้องหาทางกลับไปอยู่กับคนที่ฉันเกิดมาเพื่อเขาซะที
ฉันทะเลาะกับ คุณพ่ออย่างรุนแรง จนท่านพูดออกมาว่า ถ้าฉันไม่แต่งงาน ก็จะตัดความเป็นพ่อเป็นลูกกัน นี่หรือความสุขของฉันที่ท่านหามาให้...
ฉันจึงกลับมาที่เมืองไทย เพื่อมาหาความสุขที่แท้จริงของฉันที่ห่างหายไปเป็นเวลานาน ฉันทิ้งหน้าที่การงานที่หลายๆคนไม่กล้าแม้นแต่จะคิดหนีจากมัน ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะสำหรับฉันมันก็แค่เป็นส่วนประกอบที่ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าใครกันแน่เป็นผู้กำหนดมันขึ้นมา
เมื่อฉันมาถึงสนามบินที่เมืองไทย
ฉันรีบต่อรถไปยัง รีสอทร์ทันที แต่เมื่อฉันไปถึง สิ่งที่ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ามันจะเป็นไปได้ ทุกอย่างที่นี่ช่างเงียบเหงา มันกลายเป็นสิ่งก่อสร้างที่รกร้างไร้ซึ่งผู้คน ฉันค่อยๆเดินไปถามคนละแวกนั้นว่า
ขอโทษนะค่ะ ไม่ทราบว่าคุณลุงที่อยู่รีสอทร์นี้ แกย้ายไปอยู่ที่ไหนค่ะ
หนูเพิ่งเคยมาเหรอ ที่รีสอทร์นี้ไม่มีคนอยู่มาเกือบจะ 30 ปีแล้วมั้ง
คุณยายพูดเล่นรึเปล่าค่ะ เมื่อประมาณ 8 ปีที่แล้วหนูยังมาอยู่ที่นี่ตั้งหลายวันนะค่ะ
สงสัยหนูจะโดนผีหลอกแล้วมั้ง ยายอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ยายยังสาวๆ และก็เคยเป็นลูกจ้างที่ รีสอทร์นี้มาก่อน ยายจะเล่าให้ฟังนะ
ฉันรู้สึกตกใจและ งงมากว่าเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อเวลามันเพิ่งผ่านไปแค่ 8 ปีเอง
ทำไมคุณยายคนนี้จึงบอกว่ามันร้างมากว่า 30 ปีแล้ว แต่ดูแล้วคุณยายแกจะโกหกฉันทำไม แล้วคุณยายก็เริ่มเล่าให้ฟังว่า
เมื่อสมัยตอนที่ยายทำงานคอยดูแลงานบ้าน และงานต่างๆ
ยายมีเจ้านาย 2 คนคือ คุณนนท์ และภรรยาคุณนนท์ คือ คุณกาละ ตอนนั้นคุณกาละ ป่วยมาก อาการแย่มาก
คุณยายเล่าว่าคุณนนท์ไม่เคยห่างออกจากกายภรรยาเลยแม้แต่น้อย คุณนนท์คอยเฝ้าอยู่ใกล้ๆ ไม่ยอมแม้แต่จะหาอะไรทาน และอาการของภรรยาคุณนนท์ ก็ค่อยๆรุนแรงขึ้น
จนในที่สุดเธอก็จากคุณนนท์ไปอย่างช้าๆ คุณนนท์เศร้าโศกเสียใจอย่างมากไม่ยอมออกห่างจากร่างกายอันไร้วิญญาณของภรรยาเขา ยายพยายามปลอบใจและ คอยหาอาหารให้ทาน
แต่คุณนนท์ ก็ไม่ยอมหยุดร้องให้และ ไม่ยอมลุกจากไปไหน ไม่ทานอะไรเลย ไม่ยอมพูดกับใคร และไล่ยายให้ไปอยู่ที่อื่น จนเวลาผ่านไปร่วมเดือน คุณนนท์ก็เป็นลมสลบอยู่ข้างๆ ร่างของภรรยา
ยายก็เข้ามาช่วยพาคุณนนท์ไป โรงพยาบาล พักรักษาตัวจน คุณนนท์หายดีแล้ว คุณนนท์ก็กลับมาที่ รีสอทร์ อีกครั้งเพื่อทำพิธีศพภรรยาของเขา และคุณนนท์ ก็ได้ขยายสร้างห้องพักขึ้นใหม่ 4-5 หลัง
ในใจของคุณนนท์ตอนนั้น เชื่อว่าผู้หญิงที่เขารักมากที่สุดจะต้องกลับมาหาเขาอย่างแน่นอน เขาจึงพยายามดูแลและรักษาให้ รีสอทร์ แห่งนี้ให้ดูดีตลอด
แต่แล้วทุกสิ่งมันไม่เป็นไปตามนั้น คุณนนท์ เริ่มมีอาการเศร้าซึมขึ้นมาอีก เขาเศร้าหมองมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มไม่พูดคุยกับใคร เริ่มเพ้อ และพูดคนเดียวบ่อยๆ จนคนงานทุกคนที่รีสอทร์เริ่มกลัว และไม่มีใครอยากทำงานที่นี่
...ก็จะมีแต่ยายที่อยู่ช่วยดูแลคุณนนท์
คุณยายเล่าให้ฟังต่ออีกว่า
คุณนนท์เริ่มไม่หลับไม่นอน เขาพูดคนเดียวทั้งวัน ไม่ทานอะไร บางครั้งก็หัวเราะ บางครั้งก็ร้องให้ แต่คำพูดที่คุณนนท์พูดนั้นจะมีชื่อของคุณกาละเกือบตลอดเวลา จนมีอยู่คืนหนึ่ง ยายเห็นคุณนนท์ นั่งคุยกับคุณกาละ ที่โต๊ะทานอาหารบนระเบียงชั้นบนของรีสอทร์ คุณยายแกพยายามย้ำคำพูดว่า
ยายเห็นจริงๆนะ เห็นกับตาของยายนี่แหละว่า คุณนนท์ นั่งคุยกับคุณกาละจริงๆ
คุณยายเล่าว่าตอนนั้น
ยายรู้สึกตกใจและกลัวมากเลย วิ่งออกมาจากรีสอทร์และกลับไปอยู่บ้านสักพัก หลังจากนั้นประมาณ 2-3 วันยายก็รู้สึกเป็นห่วงคุณนนท์
จึงกลับไปที่รีสอทร์อีกครั้ง ยายตะโกนเรียกคุณนนท์ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับ ยายจึงเดินขึ้นไปบนระเบียงที่เห็น คุณนนท์นั่งคุยกับ คุณกาละ ก็เห็นคุณนนท์นอนสลบอยู่ จึงเดินเข้าไปหาแต่สิ่งที่ยายได้พบเห็นก็คือ
คุณนนท์ได้หมดลมหายใจไปแล้ว ยายเสียใจมาก แต่ยายก็ได้แต่นั่งร้องให้เสียใจ ยายยังโทษตัวเองเสมอว่าเป็นเพราะยายเองที่ไม่ยอมดูแล คุณนนท์ทำให้คุณนนท์ต้องตายไป
ทั้งๆที่ก่อนที่คุณกาละ จะสิ้นลมได้บอกกับยายว่า ให้ช่วยดูแลคุณนนท์แทนด้วย
หลังจากที่คุณนนท์ได้จากโลกนี้ไป รีสอทร์แห่งนี้ก็ไม่มีใครอาศัยอยู่ ทุกอย่างหยุดลง กลายเป็นสถานที่รกร้าง ไร้ชีวิต ไร้ความสดชื่น
แต่กลับสัมผัสได้ถึง ความรักอันอบอุ่นและ ความสุขที่แท้จริงของคน 2 คนที่รักกันจนวันสิ้นลม ในขณะที่คุณยายเล่าเรื่องให้ฉันฟังนั้น คุณยายก็พยายามจะไม่ร้องให้ แต่ก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตามันไว้ได้ ฉันเองก็อยากจะร้องให้แต่มันร้องไม่ออก
แต่มันกลับรู้สึกว่าทำไมเวลาที่ฉันได้สัมผัสกับคนที่ฉันรักนั้นมันถึงได้แสนสั้นนัก ฉันน่าจะมีเวลามากกว่านี้ ฉันน่าจะอยู่ที่นี่ให้นานกว่านี้ ฉันยังไม่เคยแม้นกระทั่งบอกกับ คุณนนท์ซะด้วยซ้ำไปว่า ฉันรักเขามากแค่ไหน
ฉันเดินจากคุณยายไป เพื่อที่จะเดินเข้าไปใน รีสอทร์ ฉันรู้สึกเหมือนว่า คุณนนท์อยู่รอบๆตัวฉัน ทุกอย่างมันดูเปลี่ยนไปมากจริงๆ อากาศค่อยๆเย็นขึ้นเรื่อย สถานที่รกร้าง เงียบเหงา มีแค่เสียงลมกับนก และแมลง
ฉันนึกภาพออกเลยว่าตอนที่ คุณนนท์อยู่ที่นี่คนเดียว ก่อนที่จะสิ้นลมๆนั้น คงแสนจะทรมาน เพราะความคิดถึงคนที่รักที่ไม่สามารถได้พบเจอกันนั้นมันคงจะทรมานมาก
ฉันเดินขึ้นไปบนระเบียง ตรงที่คุณนนท์สิ้นใจ แล้วก็มองไปเห็นบนโต๊ะอาหารเหมือนมีร่องรอยอะไรสักอย่าง ฉันเดินเข้าไปดูใกล้ๆ มันเป็นรอยแกะสลักจากของมีคมบางอย่าง มีข้อความว่า เวลาของเรากำลังจะมาถึงแล้วนะ เราจะได้อยู่ด้วยกันเสียที กาละ สุดที่รักของผม
ฉันไม่รู้ว่าความหมายที่แท้จริงนั้นคืออะไรกันแน่ แต่ก็รู้สึกได้ว่า มันคงอีกไม่นานที่เรา 2 คนจะได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเสียที
หลังจากที่ เจ้ากาลเวลา ได้พลัดพรากเรา 2 คนมาหลายครั้งแล้ว
***จบแล้วนะครับ...อ่านจบแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง บอกกันบ้างนะครับ**
และขออวยพรวันปีใหม่ด้วยนะครับ....ขอให้สุขภาพแข็งแรง เงินทองมากมาย การงานมั่นคง เพื่อนร่วมงานมีน้ำใจ และ สุดท้าย
ขอให้ได้พบคู่รักที่ เป็นคู่บุญนะครับ....
ยังไงความรักก็ไม่ใช่จะหวังจากคนอื่นอย่างเดียวนะครับ แต่ตัวเราเองนั่นแหละ คือ คนที่ต้องรักตัวเราเองก่อน เพราะถ้าตัวเรายังไม่รักตัวเราเอง แล้วเราจะให้ความรักกับใครได้ จริงใหมครับ
ขอให้มนุษยน์ทุกคน มีความรักที่บริสุทธิ์ รักทุกคน เมตตากับทุกคน กรุณากับทุกคน แล้วโลกเราจะไม่ใช่ที่เป็นแบบทุกวันนี้......
Create Date : 29 ธันวาคม 2552 |
Last Update : 29 ธันวาคม 2552 13:10:12 น. |
|
11 comments
|
Counter : 395 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ผัสสะ วันที่: 29 ธันวาคม 2552 เวลา:14:30:51 น. |
|
|
|
โดย: OxyMan วันที่: 29 ธันวาคม 2552 เวลา:22:41:23 น. |
|
|
|
โดย: ปุ๋ย IP: 202.28.45.20 วันที่: 11 มกราคม 2553 เวลา:7:22:55 น. |
|
|
|
โดย: ผัสสะ วันที่: 11 มกราคม 2553 เวลา:23:05:38 น. |
|
|
|
โดย: ปุ๋ย IP: 202.28.45.20 วันที่: 15 มกราคม 2553 เวลา:10:48:47 น. |
|
|
|
|
|
|
|
อ่านตอนสุดท้ายจบ นั่งอึ้งไปเลย ไม่นึกว่าจบแบบนี้
เศร้าจัง....แต่ก็ซึ้งดีค่ะ
แสดงให้เห็นว่า รักแท้มีจริงใช่มั๊ยค่ะ
แต่สงสารจัง ทำไมไม่สมหวังน๊า
ขอบคุณนะค่ะสำหรับเรื่องสั้นที่นำมาให้อ่าน
อ่านสนุกมากค่ะ ถึงแม้ว่าจะไม่มากตอน
แต่ก็มีความสุขที่ได้อ่านค่ะ
ปีใหม่ขอให้มีความสุขมากๆนะค่ะ
คิดหวังสิ่งใด ขอให้สมหวังนะค่ะ