หลายคนคงสงสัยเหมือนพี่ปลาเหมือนกันค่ะว่าทำไมเมนูช่วงล้างกระเพาะและลำไส้ถึงค่อนข้างโหดมีเหตุผลอะไรทำไมต้องกินโยเกิร์ตช่วงเช้า กลางวันต้องกินสลัดแล้วที่สำคัญตอนเย็นกินแค่น้ำซุปเอง จะไหวเหรอ อันนีี้ต้องทำความเข้าใจด้วยนะคะ ว่าเราไม่ได้อยู่ช่วงปกตินี่เป็นช่่วงการปรับสภาพของร่างกายค่ะ เรามาดูเนื้อหาอธิบายเพิ่มเติมกันนะคะ
มีกฎที่เราต้องรักษา 5 ข้อ เพื่อทำความสะอาดกระเพาะอาหารและลำไส้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ
ข้อที่ 1 ตอนเช้าปลุกท้องให้ตื่นด้วยโยเกิร์ตรสธรรมชาติ
มื้อเช้าให้กินโยเกิร์ตรสธรรมชาติ ปริมาณ 1 ถ้วยกาแฟ โยเกิร์ตเป็นอาหารที่แนะนำ ทั้งนี้โยเกิร์ตมีประโยชน์มากมาย เช่น สามารถลำเลียงผ่านกระเพาะอาหารและลำไส้ในช่วงที่ท้องว่างในตอนเช้าได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ยังมีแล็กโตบาซิลลัส ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่มีประโยชน์และช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้
ยิ่่่่งไปกว่านั้น ปริมาณโยเกิร์ตเพียง 1 ถ้วยกาแฟยังอยู่ท้องและช่วยให้หายหิวได้ ควรเลือกรสธรรมชาติที่ไม่ใส่น้ำตาล หลีกเลี่ยงโยเกิร์ตรสหวานหรือรสผลไม้
ข้อที่ 2 กลางวันให้กินผักในเป็นหลัก
อาหารกลางวันให้กินแต่สลัดผัก ที่แนะนำเป็นพิเศษคือ ผักใบชนิดต่าง ๆ เช่น
ผักกาดแก้วฉีกเป็นชิ้นเล็ก ๆ
ผักกระหล่ำปลีซอยเป็นเส้น ๆ เป็นต้น
เลือกผักใบที่ให้รสสัมผัสกรุบกรอบเป็นหลัก แล้วจึงค่อยเพิ่มผักต้มหรือผักสด เช่น แตงกวา ตามใจชอบ
จะราดน้ำสลัดหรือไม่ก็ได้ แต่หากเป็นน้ำสลัดชนิดที่มีรสชาติเข้มข้นก็จะยิ่งกระตุ้นความอยากอาหาร ดังนั้นจึงควรใส่น้ำสลัดเพียงเล็กน้อย หรือกินแบบไม่ใส่น้ำสลัดจะดีกว่า
เหตุผลที่ขั้นตอนนี้ต้องกินแต่ผักก็เพราะ ร่างกายของคนเราไม่สามารถเก็บรักษาวิตามินไว้ได้ ผักเป็นอาหารที่ย่อยง่าย ทั้งยังอุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุ จึงเป็นส่วนประกอบที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการกินเพื่อปรับสภาพร่างกาย
นอกจากนี้ผักยังมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และแร่ธาตุต่าง ๆ ด้วย จึงช่วยเสริมสารอาหารให้ร่างกายได้อย่างเพียงพอ
การกินผักจะช่วยเพิ่มแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ ส่งผลให้ภูิมคุ้มกันภายในช่องท้องแข็งแกร่งขึ้น
แน่นอนว่านีี่เป็นเมนูพิเศษสำหรับช่วงปรับสภาพร่างกายเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าให้ลดน้ำหนักด้วยการกินผัก เพราะฉะนั้นสบายใจได้
ข้อที่ 3 มื้อเย็นทำน้ำซุปที่ไม่มีเนื้อหอยเป็นส่วนประกอบ
มื้อเย็นให้ดื่มแต่น้ำซุปที่ไม่มีเนื้อเป็นส่วนประกอบ (คือต้มซุปที่มีเนื้อแต่เราดื่มแต่น้ำค่ะ) และอย่ากินอาหารแข็ง
แม้จะเป็นน้ำซุป แต่ก็ไม่ใช่น้ำซุปใสง่าย ๆ เพียงแค่ต้มในน้ำร้อน หากเป็นไปได้ควรกรองเอาเฉพาะน้ำเท่านั้น
แม้จะห้ามใส่เนื้อหอย แต่ก็สามารถอร่อยกับการปรุงรสชาติน้ำซุปให้หลากหลายได้ เช่น
สูตร 1 น้ำซุปผัก สาหร่ายทะเล + ผักกาดขาด กรองเอาเฉพาะน้ำ
สูตร 2 น้ำซุปเนื้อวัวเคี่ยวรสเข้มข้น
สูตร 3 น้ำซุปโครงไก่รสอ่อน
สูตร 4 น้ำซุปแบบญี่ปุ่นที่เคี่ยวด้วยหัวและก้างปลา
ข้อที่ 4 ทำต่อเนื่อง 2 สัปดาห์ เพื่อปรับสภาพภายในช่องท้อง
กระเพาะอาหารและลำไส้ต้องใช้เวลาในการปรับสภาพประมาณ 2 สัปดาห์ ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐาน เพราะโดยปกติแล้ว อาหารที่กินไปในช่วง 3 วัน ต้องใช้เวลา 2 สัปดาห์จึงจะขจัดออกไปได้ การกำจัดไขมันในร่างกายที่สะสมอยู่เป็นเวลา 2 เดือนจึงต้องใช้เวลา 2ปี จะเห็นว่าอาหารที่กินเข้าไปกว่าจะถูกขจัดออกจากร่างกายได้หมดต้องใช้เวลานานมากกว่าที่คิด
ดังนั้นสิ่งที่ควรทำในขั้นตอนแรกคือ การทำความสะอาดท้องครั้งใหญ่เพื่อขจัดสิ่งที่กินเข้าไป ก่อนทีี่จะเริ่มปรับสภาพร่างกายให้ดีขึ้น เมื่อกินอาหารตามเมนูทำความสะอาดกระเพาะอาหารและลำไส้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2 สัปดาห์ อาหารที่ค้างอยู่ในกระเพาะและอุจจาระที่อุดตันอยู่ในลำไส้ก็จะค่อย ๆ ถูกขับออกมา ไม่นานก็จะเริ่มรู้สึกโล่ง สบายท้อง และร่างกายเบาขึ้น
ข้อสำคัญคือ ต้องทำต่อเนื่องจนครบ 2 สัปดาห์ให้ได้
ผลที่ได้อาจจะแตกต่างไปบ้างตามแต่ละบุคคล แต่เมื่อชั่งน้ำหนักตัวหลังจากผ่านไป 2 สัปดาห์แล้วจะพบว่าน้ำหนักลดลงไปประมาณ 3-5 กก
ข้อที่ 5 เลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนักและหักโหม
สิ่งที่ต้องระวังนอกจากเรื่องการกินอาหารก็คือ ผู้ที่เล่นกีฬาเป็นประจำ ควรงดออกกำลังกายหนัก ๆ ในช่วงนี้ (คือพี่ปลาเลยค่ะ ช่วงนี้หงุดหงิดมากไม่ได้ยกของหนัก แต่เอาเถอะพักฟื้นฟูก่อนเดี๋ยวค่อยกลับไปออกก็ได้ ว่าแต่เห็นด้วยค่ะให้งดเพราะว่ากินน้อยมาก ไม่มีแรงหรอก)
ในขั้นที่ 1 เป็นช่วงที่ต้องควบคุมปริมาณการกินเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายใช้พลังงานส่วนเกิน ดังนั้น หากออกกำลังกายหักโหมก็จะเพิ่มภาระให้ร่างกายต้องใช้พลังงานมากเกินไป ในสภาพที่ระดับน้ำตาลในเลือดไม่เพียงพอ
ส่วนงานบ้านและการทำงาน สามารถทำได้ตามปกติ แต่หากรู้สึกล้า ห้ามหักโหมเด็ดขาด หลี่กเลี่ยงการทำงานนอกเวลา และงานที่ต้องใช้แรงมาก
ควรบริหารร่างกายง่าย ๆ
ู ทั้งหมดที่นำมาเล่าคือ เหตุผลที่เค้าบอกไว้ค่ะ ซึ่งก็กำลังรอการพิสูจน์จากพี่ปลาคนนี้ค่ะ ว่าจะเป็นอย่างที่เค้าว่าไหม เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ