เทรนด์ที่ไม่มีเอาท์ของปี 2009
ปี 2009 กำลังจะผ่านไป เกิดเหตุการณ์แฟชั่นสำคัญมากมาย หลายเหตุการณ์สะท้อนเทรนด์แฟชั่นใหม่ๆ ที่จะฮิตต่อเนื่องไปถึงปีหน้า "แฟชั่น" เปรียบดั่งกาลเวลา เพราะทั้งกาลเวลาและแฟชั่น เมื่อผ่านมาแล้วก็จะผ่านไป แต่แฟชั่นยังได้เปรียบกาลเวลาอยู่หน่อยตรงที่ เมื่อกระแสแฟชั่นใดแฟชั่นหนึ่งผ่านพ้นไปแล้ว แต่ในอนาคต แฟชั่นเก่าที่ผ่านไป ก็ยังมีสิทธิที่จะกลับมาอยู่ในกระแสความนิยมได้อีกครั้ง และปี 2009 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป ได้เกิดเหตุการณ์แฟชั่นสำคัญๆ มากมาย ซึ่งหลายเหตุการณ์สามารถสะท้อนถึงเทรนด์แฟชั่นใหม่ๆ ที่จะฮิตต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า 2010 ได้ด้วย --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1. เรียบหรูสง่างามแบบ "มิเชล โอบามา" วงการแฟชั่นนิวยอร์ก เต็มไปด้วยความแตกต่าง หลากหลายทางเชื้อชาติของเหล่าดีไซเนอร์ทั่วโลก ที่เดินทางไปขุดทองในสหรัฐ ซึ่งความแตกต่างทางด้านที่มาของดีไซเนอร์ ก็ส่งผลดีทำให้วงการแฟชั่นนิวยอร์ก มีความแตกต่างหลากหลายของผลงาน ที่ผลิตออกมาวางขายด้วย
แต่สุภาพสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐฯ มิเชล โอบามา (Michelle Obama) เป็นคนแรกที่ออกมาตอกย้ำให้โลกได้เห็น ถึงความแตกต่างหลากหลายทางเชื้อชาติของผู้ออกแบบ และผลงานแฟชั่นที่มีความหลากหลายสูงของสหรัฐฯ ด้วยการที่มิเชลเลือกสวมใส่เฉพาะเสื้อผ้าของดีไซเนอร์ ที่เป็นคนดำละตินและเอเชียล้วนๆ การแต่งกายสไตล์เลดี้ไลค์ (Lady Like) เรียบหรูของมิเชลที่ดูเผินๆ ก็เหมือนไม่มีอะไร ก็กลับได้รับความสนใจขึ้นมาทันที เพราะทำให้คนทั่วโลกอยากรู้ว่าเมื่อไหร่สุภาพสตรีหมายเลข 1 จะเลือกสวมใส่เสื้อผ้าของดีไซเนอร์ ที่มีเชื้อชาติเดียวกับตัวเองบ้าง ซึ่งเมื่อมองลงไปให้ลึก การแต่งกายของสุภาพสตรีหมายเลข 1 ผิวดำคนแรกนั้น มีการเมืองซุกซ่อนอยู่ เพราะเธอกำลังสนับสนุนนโยบาย "Change" หรือ "เปลี่ยน" ของสามีประธานาธิบดีบารัก โอบามา ที่ต้องการส่งเสียงผ่านเสื้อผ้าของภรรยาไปถึงอเมริกันผิวสีต่างๆ ทุกคนว่า ต่อแต่นี้ไปไม่ว่าคุณจะเกิดที่ไหน เชื้อชาติอะไร นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่าทุกคนคือคนอเมริกัน ที่มีศักดิ์และสิทธิเทียบเท่าคนผิวขาวผู้มาครอบครองแผ่นดินสหรัฐฯ ก่อนหน้า
ตู้เสื้อผ้าของมิเชลจึงเป็นเสมือนสะพานเชื่อมใจ ชาวอเมริกันชาติพันธุ์ต่างๆ เพราะการปรากฏตัวของสุภาพสตรีหมายเลข 1 ต่อสาธารณะด้วยเสื้อผ้าและเครื่องประดับ ที่ผ่านการสร้างสรรค์จากสมองของดีไซเนอร์อเมริกันผิวสีต่างๆ ก็ได้สร้างให้ชาวอเมริกันเชื้อชาติต่างๆ เกิดความภาคภูมิใจในความเป็นอเมริกัน
2. หัวเห็ดหน้าม้ากะลาครอบ การตัดสินใจเปลี่ยนทรงผมของนางแบบญี่ปุ่น ทาโอะ โอกาโมโตะ (Tao Okamoto) จากผมยาวสลวยมาเป็นทรงหัวเห็ดหน้าม้ากะลาครอบ ทำให้ทรงผมยอดฮิตจากยุค 60 กลับมาฮิตอีกครั้งตลอดปี 2009 และน่าจะฮิตต่อเนื่องไปถึงปีหน้า 2010 เพราะตอนนี้สาวๆ (รวมทั้งหนุ่มๆ) ยังคงแห่กันไปตัดผมทรงนี้
ผมทรงหัวเห็ดหน้าม้าหรือกะลาครอบหน้าม้า ทำให้เราย้อนนึกไปถึง เพ็กกี้ ม็อฟฟิต (Peggy Moffitt) นางแบบและนักแสดงยุค 60 ที่เธอเป็นผู้นำ ทำให้ผมทรงนี้กลายเป็นทรงผมยอดฮิตเมื่อเกือบ 50 ปีก่อน
แต่พอเวลาล่วงผ่านมาถึงยุค 2000 ใครที่คิดจะตัดผมทรงคลาสสิกทรงนี้คงต้องคิดแล้วคิดอีก เพราะต้องอาศัยความกล้าและมั่นใจพอสมควร แต่ในที่สุดผู้คนก็สามารถรวบรวมความกล้า หันมาตัดผมทรงยอดฮิตในอดีตกันอีกครั้ง และทำให้ผมหัวเห็ดหน้าม้ากะลาครอบสามารถกลับมาฮิตได้ในปี 2009 นี่เอง ซึ่งนางแบบญี่ปุ่น ทาโอะ โอกาโมโตะ นี่เองที่เป็นคนแรกที่จุดกระแสความนิยมครั้งใหม่ให้กับผมทรงนี้ นางแบบอันดับ 21 ของโลกจากการจัดอันดับของ Models.com รายนี้ตัดสินใจเปลี่ยนทรงผม เมื่อช่วงปลายปี 2008 ด้วยฝีมือของช่างผมชาวญี่ปุ่นในโตเกียว แต่เธอไม่เคยคาดหวังว่า ทรงผมใหม่ของตัวเองจะต้องไปสร้างผลกระทบทางด้านแฟชั่นใดๆ ให้กับผู้คนทั่วโลก เพราะเธอเพียงแค่รู้สึกเบื่อที่มองไปทางไหน ก็เห็นแต่ผู้หญิงไว้ผมยาวสลวยเหมือนกันหมด
จากนั้นเธอก็เดินทางกลับไปที่นิวยอร์ก เพื่อคัดเลือกตัวขึ้นเดินแฟชั่นใน นิวยอร์กแฟชั่นวีค เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2009 ที่ผ่านมา และพลังของทรงผมหัวเห็ดหน้าม้าที่อยู่บนศีรษะนางแบบทาโอะ ก็แผลงฤทธิ์ทันที เพราะมันไปโดนใจดีไซเนอร์อเมริกันเชื้อสายจีนนาม ฟิลิป ลิม เข้าอย่างจัง จนเขาต้องเลือกทาโอะให้ขึ้นเดินทั้งเปิดและปิดโชว์ 3.1 Phillip Lim ของเขา
ทรงผมหัวเห็ดหน้าม้ายังสร้างแรงบันดาลใจสำคัญให้ดีไซเนอร์ฟิลิป ลิม อีกหนึ่งอย่าง เพราะเขายังจัดการแปลงโฉมนางแบบทุกคนในโชว์ ให้สวมวิกผมสั้นหัวเห็ดหน้าม้า เพื่อให้นางแบบทุกคนมีผมทรงเดียวกันกับนางแบบทาโอะอีกด้วย และตั้งแต่นั้นมาจนถึงตอนนี้ ทรงผมหัวเห็ดหน้าม้ากะลาครอบ ก็แพร่เชื้อความฮิตออกไปทั่วโลก
3. ขาวดำไม่มีวันจางหาย แบรนด์ระดับแถวหน้าของไทยอย่างห้องเสื้อเธียเตอร์ครบรอบ 25 ปีในปีนี้ ได้จัดแฟชั่นโชว์ยิ่งใหญ่ ปิดชั้น 3 สยามเซ็นเตอร์ใช้พื้นที่ทั้งชั้นเดินแฟชั่น เพื่อโชว์ผลงานตั้งแต่ยุคเริ่มต้น ที่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับผลงานยุคปัจจุบันรวม 50 ชุด งานนี้มีการนำนางแบบนายแบบ และนักแสดงชื่อดังทั้งเก่าและใหม่มาร่วมเดินแฟชั่น ซึ่งผมได้ไปชมโชว์และพูดคุยกับคุณศิริชัย ทหรานนท์ ดีไซเนอร์ประจำแบรนด์ เลยถือโอกาสถามดีไซเนอร์มากฝีมือรายนี้ ถึงมุมมองของเขาในเรื่องเทรนด์แฟชั่น ยอดฮิตในปี 2009 ที่น่าจะฮิตยาวไปถึงปีหน้า 2010
คุณศิริชัยตอบกลับมาทันทีโดยไม่ต้องคิด เขาบอกว่า เสื้อผ้าโทนสี "ขาวดำ" คือเทรนด์แฟชั่นยอดนิยมแห่งปีและปีหน้า ผู้คนก็ยังจะนิยมโทนสีขาวดำ และผู้คนก็ยังจะนิยมโทนสีขาวดำต่อเนื่องไปตลอดกาลไม่มีที่สิ้นสุด แม้ว่าผลงานส่วนใหญ่ของดีไซเนอร์รุ่นใหญ่รายนี้ จะเต็มไปด้วยสีสันสดใสทุก เฉดสี แต่เขาก็ยังหลงเสน่ห์ของสีขาวดำ ที่คนรักแฟชั่นทั่วโลกยอมรับตรงกันว่า นี่คือสองเฉดสีที่คลาสสิกที่สุดในโลก
และสิ่งที่พิสูจน์ได้ทันทีว่า คำยืนยันของดีไซเนอร์แบรนด์เธียเตอร์เป็นความจริง ก็ดูได้จากการแต่งกายของแขกรับเชิญที่มาร่วมงานฉลองครบรอบ 25 ปีของห้องเสื้อเธียเตอร์ในค่ำคืนนั้น ที่แขกรับเชิญซึ่งเป็นคนดังจากหลายแวดวง ต่างพร้อมใจกันแต่งตัวมาร่วมงานด้วยเสื้อผ้าสีขาวดำแทบทุกคน
ผมได้คุยกับคุณศิริชัยผ่านไปเพียงคืนเดียว ผมก็ต่อด้วยการไปฟังเพลงเพราะๆ ในคอนเสิร์ต "แบ็งคอก ดีเซมเบอรี่" ที่สนามเสือป่า ซึ่งจุดมุ่งหมายของผมคือการแสดงสดของ "สวิงเอ้า ซิสเตอร์" วงป๊อปแจ๊สชื่อดังจากอังกฤษ ที่คนไทยรอชมการแสดงสดในไทยของพวกเขามานาน มากกว่า 20 ปี
และคืนนั้น นักร้องนำของวง คลอรีน ดริวเวอรี่ ที่ขึ้นชื่อทั้งเรื่องเสียงร้องนุ่มดุจกำมะหยี่ และสไตล์การแต่งตัวสุดอินเทรนด์ ก็ปรากฏตัวบนเวทีด้วยเสื้อผ้าเรียบหรูสง่างาม เป็นชุดเดรสยาวเกาะอกสีขาวดำ พร้อมเอกลักษณ์ผมบ๊อบหน้าม้าที่เธอไม่เคยเปลี่ยนมากว่า 20 ปี ไม่น่าเชื่อจริงๆ เพราะสไตล์ทั้งหมดที่อยู่บนตัวของนักร้องนำวงสวิง เอ้า ซิสเตอร์ คือ "สามลุคคลาสสิคแห่งปี" ที่ผมนำเสนอในคราวนี้นั่นเอง
โดย : คมน์ นพรัตน์
ที่มาข้อมูล : //www.bangkokbiznews.com //www.oknation.net //www.womansday.com //www.adversus.com //stylejenny.blogbus.com //www.teenvogue.com //www.hairbrained.me //kateorwell.tumblr.com
สารบัญแฟชั่น
Create Date : 31 ธันวาคม 2552 |
Last Update : 16 มิถุนายน 2555 16:24:17 น. |
|
0 comments
|
Counter : 3706 Pageviews. |
|
|
|
|
|