คุณเป็นบุคคลที่ลูกน้องเข้าถึงได้ยากหรือไม่
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ….. เคยหรือไม่ ที่คุณทราบข่าวต่างๆ รอบด้านของคุณช้ากว่าคนอื่นเสมอ
….. เคยหรือไม่ ที่คุณขอความคิดเห็นหรือข้อมูลต่างๆ จากลูกน้องหรือคนอื่น มักจะไม่ได้รับคำตอบ
….. เคยหรือไม่ ที่คุณต้องเป็นฝ่ายพูดตลอดเวลา โดยคู่สนทนาของคุณ นิ่งเฉย
….. เคยหรือไม่ ที่เดินไปทักทายใครต่อใคร เค้ามักจะหลบหน้าหรือซุบซิบกัน เมื่อคุณเดินคล้อยหลังไป
….. เคยหรือไม่ ที่ไม่มีลูกน้องหรือเพื่อนพนักงาน กล้ามาขอให้คุณช่วยทำกิจกรรมร่วมกัน
….. เคยหรือไม่ เวลามีลูกน้องหรือเพื่อนพนักงานเข้ามาพูดคุยด้วยกับคุณ จะดูเหมือนรีรอ เพราะไม่แน่ใจในอารมณ์ของคุณ ณ ขณะนั้น
….. เคยหรือไม่ ที่พอเริ่มต้นจะปรึกษาหารือ หรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นใดๆ กับคุณ คุณรีบชิงพูดก่อนหรือตัดบทว่าคุณรู้เรื่องแล้ว ทำให้คู่สนทนาล้มเลิกความตั้งใจ
….. เคยหรือไม่ ที่คุณรู้เรื่องรายละเอียดของลูกน้องในแผนก/ ฝ่ายของคุณจากคนอื่น
จากตัวอย่างข้างต้นนี้ หลายคนอาจจะเคยประสบกับตัวเองมาก่อน หรือไม่ก็ได้ฟังจากคนรอบข้างเม๊าท์กันเล่นๆ ในหมู่เพื่อนฝูงเวลาสังสรรค์กัน หรือเมื่อต้องการปรึกษาปัญหาหัวใจ มักจะมีหัวข้อเหล่านี้ร่วมอยู่ในขบวนการแทบทุกครั้ง แล้วตัวคุณเองได้มองเห็นความสำคัญ ของการที่จะทำตัวของคุณเองให้เข้าถึงจิตใจของพนักงานหรือไม่ คุณเองอาจจะคิดว่า ผม / ดิฉัน/ เรา พร้อมเสมอสำหรับพนักงาน โดยเฉพาะเมื่อพวกเขามีปัญหา มีความวิตกกังวล อยากจะปรึกษา อยากจะบอก หรือมีความคิดสร้างสรรค์ดีๆ ก็อยากจะเล่าให้ฟัง แต่หารู้ไม่ คุณมักเป็นคนสุดท้ายที่ลูกน้องนึกถึง นั่นส่อถึงแววอันตรายที่กำลังก่อตัวขึ้นภายในแผนก/ ฝ่ายของคุณแล้วล่ะ
การทำงานในโลกปัจจุบัน คุณไม่สามารถทำงานเพียงคนเดียวหรือหน่วยงานเดียวได้ คุณต้องพบปะผู้คนรอบตัว ทั้งในองค์กรเองหรือนอกองค์กร เพื่อหาพันธมิตรในการทำงาน ทั้งยังช่วยให้คุณสามารถ update ข้อมูลรอบตัวคุณได้ตลอดเวลา การสร้างความสัมพันธ์ด้วยการพบปะพูดคุยกับคนรอบตัวคุณ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ไม่ควรมองข้ามไป ถึงแม้คุณจะมีงานล้นมือก็ตาม คุณควรจัดตารางการทำงานอย่างน้อยวันละครึ่งชั่วโมงพูดคุยกับลูกน้อง หรือเพื่อนร่วมงานของคุณ สารพัดเรื่องที่สามารถหยิบยกขึ้นมาเป็นหัวข้อสนทนา พร้อมทั้งสอดแทรกข้อคิดดีๆ คำแนะนำ หรือประสบการณ์ดีๆ มาเล่าสู่กันฟัง ขอเพียงให้ทำเป็นกิจวัตร กำแพงที่อยู่รอบตัวคุณจะเริ่มทลายลงไม่นานเกินรอ ลูกน้องหรือเพื่อนร่วมงานของคุณจะเริ่มมองหน้าคุณด้วยความชื่นชม ไว้ใจ มีความรู้สึกที่เป็นมิตร สิ่งที่ดีๆ เกี่ยวกับตัวคุณจะเริ่มขยับวงกว้างขึ้น ข้ามไปหน่วยงานอื่น และเขาจะไม่ลังเลอีกต่อไปที่จะเดินเข้าไปหาคุณ เพื่อขอคำปรึกษาจากคุณ เพราะเค้าเกิดความเชื่อมั่นในตัวคุณนั่นเอง เห็นไหมว่า ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไปเลย…….
มนุษย์มีความรู้สึกนึกคิด และก็แปรเปลี่ยนได้ง่ายขึ้นอยู่กับอารมณ์ ส่วนพื้นฐานด้านจิตใจของมนุษย์นั้น ชอบที่จะได้รับการเอาใจใส่ ชอบที่จะได้รับความสนใจ มีคนเห็นความสำคัญ ได้รับการยอมรับ
ถึงแม้คุณจะมีความตั้งใจดีเพียงใด แต่ถ้าคุณไม่ได้แสดงออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ยากนักที่คุณจะเข้าไปนั่งในใจของลูกน้องหรือเพื่อนพนักงานได้ คุณต้องพร้อมที่จะเปิดประตูตัวเองให้กว้างออกไป เพื่อผ่อนคลายบรรยากาศแห่งการขวางกั้นในการทำงาน ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ซึ่งอาจจะมาจากผู้ช่วยของคุณเอง ทีมงานของคุณ หรือจากเพื่อนพนักงานด้วยกัน ว่าแต่ว่า ตอนนี้ …. คุณต้องเริ่มพาตัวเองเดินออกไปพบเพื่อนพนักงานมากขึ้นแล้วล่ะ…
จากประสบการณ์ในการทำงานที่ผ่านมา ผู้เขียนเองต้องทำงานพบปะผู้คนรอบตัว การจะให้ผู้อื่นชมชอบเรา เราต้องชมชอบผู้อื่นก่อน ต้องเป็นผู้ให้ และต้องทำให้เค้ารู้สึกได้ว่า เราพร้อมที่จะเป็นพันธมิตรที่ดีเสมอ และเมื่อใดก็ตามที่มีการทำงานร่วมกัน ผลที่ออกมามักจะเป็น win win แทบทุกครั้ง ผู้เขียนจะปฏิบัติต่อลูกน้องเฉกเช่นที่กล่าวมานี้อย่างสม่ำเสมอ เพราะ “ลูกน้อง” เปรียบเสมือนลูกที่เรารัก และต้องดูแลเอาใจใส่ใกล้ชิดเป็นพิเศษ เป็นน้องที่สามารถว่ากล่าวตักเตือนเมื่อทำผิด พร้อมชมเชยให้รางวัลเมื่อทำดี ช่วยแก้ไขปัญหา แนะนำสิ่งที่ควรปฏิบัติ ในเมื่อเค้าตัดสินใจทำงานกับเรา อยู่ภายใต้ความดูแลรับผิดชอบของเรา เราต้องให้เค้าทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอย่างมีความสุขเต็มหัวใจ
ผู้เขียนเองใช้แนวทางนี้กับลูกน้องและเพื่อนพนักงาน โดยใช้เวลาก่อนเริ่มงานเดินทักทายไปหลายๆ ฝ่าย สลับหมุนเวียนกันไป บางครั้งจะเริ่มสนทนาด้วยกาแฟยามเช้า ประมาณ 5-10 นาที เพื่อสร้างบรรยากาศในการทำงาน และซึมซับปัญหาในช่วงเวลาแรกของการปฏิบัติงาน บางครั้งจะมีขนมเล็กๆ น้อยๆ ติดมือไปฝาก ซึ่งก็จะได้รับขนมชนิดอื่นๆ กลับคืนมาเป็นระยะๆ ตอนใกล้เลิกงานก็จะทำเช่นกันเพื่อเป็นการให้กำลังใจ และเพื่อตรวจสอบว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงวันได้รับการแก้ไขไปแล้วหรือยัง และด้วยวิธีใด เป็นต้น ถ้าเราทำให้เป็นกิจวัตร คุณจะพบว่าการทำงานเพื่อสร้างความเข้าใจอันดี ให้เค้าทำงานด้วยความเต็มใจ ทำอย่างมีความสุขมีแต่รอยยิ้ม ก็จะก่อเกิดขึ้นได้ไม่ยากเลย
ตอนนี้คุณลองตรวจสอบตัวคุณเองดูสักนิดไหมว่า คุณเคยทำพฤติกรรมเหล่านี้กับลูกน้องคุณหรือไม่ ถ้าคุณพบว่ามีเกินกว่าครึ่ง คุณต้องรีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้แล้วล่ะ...
คุณทิ้งเวลาเนิ่นนานเกินไปที่จะให้คำตอบแก่ลูกน้องของคุณ เมื่อเค้ามาขอพบคุณเพื่อขอคำปรึกษาหรือคำแนะนำ แต่คุณได้ทอดเวลาออกไปนานเป็นวัน เป็นสัปดาห์ เป็นเดือน เหมือนคุณไม่ได้ใส่ใจ ลืมเลือนไป สัญญาณที่ออกมาคือคุณไม่ต้องการให้ผู้ใดมารบกวน ลูกน้องของคุณจึงถูกบังคับให้ต้องตัดสินใจด้วยตัวของเขาเอง
มีลูกน้องน้อยคนมากที่กล้านำเรื่องมาปรึกษาหารือกับคุณ นั่นหมายถึง เค้าทำงานไปตามความเข้าใจของตนเอง โดยอาจจะไม่เป็นไปตามความประสงค์ของคุณ เพราะขนาดเข้าไปปรึกษาขอคำแนะนำจากคุณแล้ว คุณยังปล่อยเวลาเนิ่นนานขนาดนี้ สู้ทำให้เสร็จๆ ไปก่อน แล้วเมื่อมีความผิดพลาดเกิดขึ้น คุณก็เรียกมาแก้ไขเอง ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้บ่อยครั้ง และสะสมไปเรื่อยๆ จะทำให้คุณทำงานยากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการวางแผน ควบคุม แก้ไข ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง หรือขอความร่วมมือจากทีมงาน เพื่อผลักดันให้งานบรรลุไปตามเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
คุณมักจะเป็นคนสุดท้ายที่รู้ความเป็นไปของลูกน้องคุณ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องชีวิตส่วนตัว ซึ่งจะสร้างความรู้สึกเสียใจลึกๆ ให้เกิดขึ้นอยู่เสมอ เพราะเค้าไม่อยากรบกวนคุณ ไม่กล้าเข้าหาคุณ จากปัญหาเล็กๆ อาจจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้ ถ้าไม่ได้รับความสนใจหรือแก้ไขได้ทันท่วงที แต่ถ้าคุณใส่ใจ จับประเด็นปัญหาได้อย่างแม่นยำชัดเจน และอย่างรวดเร็ว ปัญหาเหล่านั้นก็จะได้รับการคลี่คลายไปในที่สุด
คุณเริ่มจะตระหนักว่า มิได้มีการปรึกษาหารือระหว่างตัวคุณ กับลูกน้องคนสำคัญของคุณมาเป็นเวลานาน ทำให้เกิดช่องว่างในการทำงานขึ้น ดังนั้นคุณควรวางแผนในการประชุมเพื่อหาเวลาพบปะพูดคุยอย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้คุณเองจะมีภารกิจมากมายก็ตาม คุณต้องลดช่องว่างที่กว้างให้แคบลงให้ได้ เพื่อให้นาวาที่คุณเป็นผู้ถือหางเสือได้แล่นไปอย่างราบรื่น ถึงแม้จะมีอุปสรรค คุณก็สามารถพิชิตได้
ลูกน้องมักจะให้เหตุผลว่า “ ผม/ ดิฉัน ไม่อยากเอาเรื่องนี้ มาเป็นเรื่องรบกวนคุณ” ด้วยคำพูดนี้ คุณกำลังปล่อยให้ลูกน้องของคุณต้องทำงานไปตามความเข้าใจของเค้าเอง ผิดหรือถูกค่อยว่ากันทีหลัง อย่าทำตัวห่างเหินโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายตาลูกน้องของคุณเอง เค้าจะมองคุณเหมือนเป็นคนแปลกหน้าเท่านั้นเอง
ถ้าคุณอยากจะเป็นบุคคลที่เข้าไปนั่งในใจของลูกน้อง หรือเพื่อนร่วมงาน แม้กระทั่งเจ้านายคุณเอง คุณควรพร้อมที่จะเปิดประตูต้อนรับ ทั้งความสุขความทุกข์ที่เกิดขึ้น ของแต่ละบุคคลที่หมุนเวียนเข้ามาในวงจรชีวิตการทำงาน หรือชีวิตส่วนตัวของคุณ และถ้าคุณเป็นผู้หนึ่งที่รับฟังพร้อมที่จะช่วยเหลือ แนะนำและแก้ไขปัญหาให้เค้าเหล่านั้นได้ คุณจะพบว่าสารแห่งความสุขแอนโดรฟิน จะพวยพุ่งอยู่ในตัวคุณ และกลายเป็นมิตรที่ดีของคุณตลอดไป
(แอนโดรฟิน เป็นสารประกอบที่ทำให้คนเรามีความสุข โดยปกติจะถูกหลั่งออกมาจากสมอง ถ้าคนเรามีโอกาสหลั่งสารแอนโดรฟินเป็นประจำ จะทำให้เรามีแต่ความสุข ผู้รู้หลายท่านจึงแนะนำให้ยิ้มอยู่เสมอ มองโลกในแง่ดี ทำจิตใจให้ผ่องใส เบิกบาน มองทุกปัญหาเป็นขนมหวาน ปัจจุบันสารประกอบนี้สามารถผลิตออกมาได้ด้วยฝีมือมนุษย์แล้ว)
บทความโดย : ณมินท์ อีเมล : naamint@yahoo.co.th ที่มา : //www.hrcenter.co.th
Create Date : 04 มกราคม 2555 |
|
3 comments |
Last Update : 4 มกราคม 2555 18:04:34 น. |
Counter : 10076 Pageviews. |
|
|
|