ตุลาคม 2558

 
 
 
 
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
All Blog
นั่งรถไฟลุยเดี่ยวจาก Bristol ไปเที่ยว Bath แบบไปเช้า-เย็นกลับ

สถานที่ท่องเที่ยว : Bath, United Kingdom
พิกัด GPS : 51° 21' 38.13" N -3° 38' 36.74" E




อิชั้นและครอบครัวเพิ่งไปเที่ยวหลายเมืองในยุโรป (อัมสเตอร์ดัม ลอนดอน บริสตอล ปารีส) มา 3 สัปดาห์ในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมที่ผ่านมาซึ่งเป็นช่วงปิดเทอมของเจ้าลูกชาย เราไม่ได้ไปอังกฤษกันบ่อยนักถึงแม้ว่าคุณสามีจะเป็นหนุ่มอังกฤษก็ตาม เนื่องจากพ่อแม่เธอเสียชีวิตหมดแล้ว ญาติที่เหลือมีเพียงพี่สาวคนเดียวซึ่งเธอก็มีครอบครัวแล้ว และครอบครัวนี้ก็ชอบมาเที่ยวเมืองไทยกันจังเลย หลัง ๆ นี่มาเกือบทุกปี จะมาทีไรก็ต้อง Skype มาอ้อล้อให้คุณสามีบินไปเจอกับครอบครัวเธอที่เมืองไทยด้วยทุกครั้ง


สะใภ้อสูรอย่างอิชั้นนั้นไม่ชอบใจนักหรอกค่ะ เพราะอิชั้นอยู่ฮ่องกง ทำงานมาทั้งปี มีโอกาสไปเที่ยวต่างประเทศปีละ 1-2 ครั้งเท่านั้นเพราะงบน้อย กลับเสียโอกาสที่จะได้ไปเที่ยวสถานที่ที่ตัวเองชอบ ต้องมาเสียเงินไปเที่ยวสถานที่ที่คนอื่นชอบแทน เหมือนซื้อวันหยุดให้คนอื่นเขายังไงก็ไม่รู้นะ "Why do I have to pay for a holiday I don't even want??" อันนี้เป็นคำถามที่ถามกับตัวเองและใส่อารมณ์กับคุณสามีอยู่บ่อย ๆ


มาปีนี้พอคุณสามี Skype ไปบอกพี่สาวว่าจะไปอังกฤษช่วงซัมเมอร์ พี่สาวชิงสวนกลับมาทันทีว่าเธอก็จะไปเมืองไทยในช่วงนั้นเหมือนกัน กำลังหาตั๋วอยู่ คุณสามีรีบบอกว่าเธอซื้อตั๋วเรียบร้อยแล้ว จองโรงแรมไปแล้วบางส่วน พร้อมบอกวันที่เธอจะเดินทางไปถึงบริสตอล (บ้านพี่สาวอยู่เมืองนี้) ไว้ พร้อมทิ้งท้ายไว้ว่า ถ้าได้เจอกันก็ดี ถ้าไม่ได้เจอก็ไม่เป็นไร ว่าแล้วก็ล็อกออฟ


พี่สาวเธอก็คงฉุนนะ กรูไปเมืองไทยทุกปีมา 4 ปีรวดแล้ว น้องชายบินจากฮ่องกงไปพาพี่สาวเที่ยวแถมจ่ายค่าโรงแรมให้ตลอด ทำม้าย ปีนี้มันถึงได้อยากมาอังกฤษ?? เธอหายศีรษะไม่ยอมล็อกอิน Skype อีเมลไปก็ไม่ตอบกลับ จนหลายเดือนผ่านไป ใกล้เวลาเดินทางของเราแล้วนั่นแหละเธอถึงได้ยอม Skype มาคุยกับคุณสามีในที่สุด


อิชั้นนั้นไม่ได้มีจิตพิศวาสครอบครัวพี่สาวของคุณสามีเท่าใดนักค่ะ (อ่านที่อิชั้นพล่ามมาตั้งนาน คงพอจะเดาออกกันใช่มั้ย ฮ่าฮ่า) ดังนั้นเมื่อเราจะไปบริสตอลกัน 4 คืน อิชั้นก็วางแผนแยกไปเที่ยวคนเดียว 3 วัน ซึ่งคุณสามีก็เห็นดีเห็นงามด้วย โดยอิชั้นตั้งใจจะนั่งรถไฟจากสถานี Bristol Temple Meads ไปเที่ยวเมืองบาธ (Bath) 1 วัน ไปคาร์ดิฟ (Cardiff) ประเทศเวลส์ (Wales) อีก 1 วัน และวันสุดท้ายตั้งใจเดินเที่ยวเก็บตกที่บริสตอลนั่นแหละ




ห้องพักของเราตลอด 4 คืนในบริสตอลเป็น B&B ที่มีชื่อว่า Clifton House



ปรากฎว่าในวันที่พวกเราเดินทางมาถึงบริสตอลนั้น ทางบริษัทรถไฟ First Great Western เขานัดหยุดงานประท้วงครั้งใหญ่ มีข่าวอัปเดตกันแทบจะทุกชั่วโมงว่างดให้บริการรถไฟบางสาย บางสายก็ลดจำนวนเที่ยวลง ในข่าวมีสัมภาษณ์คนที่อยู่นอกเมืองแล้วต้องเดินทางด้วยรถไฟเข้าไปทำงานในลอนดอนทุกวัน หลายรายต้องหาที่พักค้างคืนในลอนดอนในช่วงดังกล่าวเนื่องจากหาตั๋วกลับบ้านไม่ได้เลย อิชั้นเลยต้องปรับเปลี่ยนแผนเที่ยวของตัวเองกระทันหัน


โดยวันแรกอิชั้นเลือกไปเดินเที่ยวตัวเมืองบริสตอลก่อน พอตกเย็นก่อนกลับโรงแรมอิชั้นก็แวะเข้าไปที่ศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวเพื่อสอบถามเกี่ยวกับการเดินทางไปเมืองบาธและคาร์ดิฟด้วยรถบัสและรถโค้ช ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ให้คำแนะนำอย่างดี ว่าหากนั่งรถบัสไปบาธจะใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่า (ขณะที่รถไฟใช้เวลาประมาณ 15 นาทีเท่านั้น) ส่วนรถโค้ชไปคาร์ดิฟจะใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง (1 ชั่วโมงหากเดินทางด้วยรถไฟ)


โอย .. เศร้าแป๊บ คาร์ดิฟนี่ตัดไปได้เลยเสียเวลาเดินทางนานเกิน แถมอิชั้นเคยไปมาแล้วครั้งนึงด้วย แต่เมืองบาธนี่ตัดไม่ได้เด็ดขาด เพราะเป็นเมืองโปรดที่สุด มาอังกฤษทีไรต้องไปทุกครั้ง ตกดึกพอคุณสามีซึ่งออกไปเที่ยว Wells Cathedral กับครอบครัวของพี่สาวกลับมาถึงโรงแรม ด้วยความเวทนาเธอบอกว่าเธอจะขับรถ (ที่เราเช่ามา) ไปส่งที่เมืองบาธในตอนเช้า ส่วนขากลับอิชั้นต้องนั่งรถบัสกลับมาเอง ก็ตกลงตามนั้นค่ะ


รุ่งเช้าคุณสามีและลูกชายขับรถจากบริสตอลมาส่งอิชั้นที่เมืองบาธแถว ๆ Royal Crescent ก่อนที่ทั้งสองหนุ่มจะไปสมทบกับครอบครัวพี่สาวเพื่อไปเที่ยว Weston Super Mare กันต่อไป




ที่แรกที่แวะถ่ายรูปคือ Royal Crescent ซึ่งพอได้เห็นอาคารอันมโหฬารแล้ว อิชั้นก็ต้องร้องว้า ... ที่ส่วนกลางของอาคารเขามีการซ่อมแซมด้านนอกบริเวณตรงกลางพอดิบพอดี (ดูรูปล่างนะคะ)






หลังจากถ่ายรูปไปสี่ซ้าห้าช็อต อิชั้นก็ตั้งใจว่าจะเดินจากจุดนี้ไปที่สถานีรถบัสก่อน เพื่อจอง/ซื้อตั๋วกลับบริสตอลในตอนเย็น จะได้รู้ว่ามีเวลาเดินเที่ยวเท่าไหร่ และต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการเดินจากตัวเมืองไปยังสถานีรถบัส งานนี้เดินอย่างเดียวนะคะ ซึ่งสบายมากเพราะเมืองเขาเล็กนิดเดียว


ทุกครั้งที่ไปเที่ยวเมืองบาธ อิชั้นจะนั่งรถไฟจากสถานี Bristol Temple Meads หรือสถานี Keynsham ไปค่ะ จำเส้นทางไปกลับระหว่างตัวเมือง Bath และสถานีรถไฟ Bath ได้เป็นอย่างดีเพราะใกล้กันนิดเดียว แต่อิชั้นไม่คุ้นกับสถานีขนส่งเพราะไม่เคยนั่งรถบัสไปเลยสักครั้ง คุณสามีบอกว่าสถานีรถไฟกับสถานีขนส่งก็ตั้งอยู่ติดกันนั่นแหละ อิชั้นเลยเดินคลำทางไปสถานีรถไฟก่อนเลย โดยดูแผนที่ขนาดเท่าจิ๋มมดในแผ่นพับข้อมูลท่องเที่ยวเมืองบาธที่ได้มาจากโรงแรมที่พัก





ผ่านพิพิธภัณฑ์ Jane Austen นักเขียนชื่อดังของอังกฤษที่เขียนเรื่อง Sense and Sensibility และ Pride and Prejudice อันโด่งดัง





เริ่มคลำทางไปเรื่อย ๆ จนถึงตัวเมือง ผ่านแผงขายผักผลไม้ ก็ขอสักแชะ










อาคารบ้านเรือนในเมืองนี้จะเป็นอาคารเก่ายุควิกตอเรียแบบนี้แทบทั้งหมด เรียกว่าเหมือนเดินอยู่ในเมืองโบราณในฝัน



ใช้เวลาเดินตามแผนที่ไป ถ่ายรูปไป ประมาณครึ่งชั่วโมงอิชั้นก็มาถึงสถานีรถไฟ ยังไม่ทันมองหาสถานีขนส่ง อิชั้นนึกยังไงก็ไม่รู้นะ ลองเดินเข้าไปถามพนักงานที่เคาน์เตอร์ว่ารถไฟไปบริสตอล เทมเพิล มีดส์ตอนเย็นยังมีอยู่หรือเปล่า เฮ้ย .. เขาตอบว่ามีค่ะ แถมมีหลายรอบด้วย อิชั้นเลยซื้อตั๋วรถไฟกลับบริสตอลตอนเย็นเสียเลย จากนั้นก็ลองถามเล่น ๆ อีกว่าแล้วรถไฟจากบริสตอลไปคาร์ดิฟล่ะมีมั้ย พนักงานบอกว่าก็ยังมีวิ่งอยู่ แต่รถอาจจะแน่นกว่าปรกติเท่านั้นเอง (คืออาจต้องยืนรถไฟแทนการนั่งรถไฟ) เพราะเขาลดจำนวนเที่ยวลง ตกลงอิชั้นได้ทั้งตั๋วกลับบริสตอล และตั๋วไป-กลับคาร์ดิฟในวันรุ่งขึ้น เดินยิ้มออกมาจากสถานีรถไฟเลยทีเดียว ตอนนั้นน่าจะประมาณเที่ยงกว่า ๆ ได้แล้วค่ะ เลยตั้งใจว่าไปเดินหาร้านอาหารไทยกินก่อนดีกว่าชักหิวแล้ว


ก่อนไปทริปนี้เนี่ยอิชั้นตั้งใจอยากจะไปจิบ Afternoon Tea กับเขาสักครั้งเหมือนกันนะ มาอังกฤษทั้งที อุตส่าห์กูเกิลหาข้อมูลไว้แล้ว แต่ด้วยความที่รอนแรมมาหลายเมือง ตั้งแต่อัมสเตอร์ดัม ลอนดอน มาจนถึงบริสตอล ก็เกือบ 2 สัปดาห์แล้ว อยากกินอาหารไทยเป็นบ้า เลยเปลี่ยนแผนเสียอย่างนั้น








เดินกลับเข้ามาตัวเมืองกันก่อนค่ะ จุดหมายต่อไปอยู่ที่ Pulteney Bridge ซึ่งเป็นสะพานเก่าแก่ด้านหน้าฝายหรือเขื่อน (หรืออะไรก็ไม่รู้แหละ แต่ฝรั่งเรียกว่า Weir)








ระหว่างที่เดินไปยังสะพานหน้าเขื่อนดังกล่าว อิชั้นก็เห็นเด็กสาวกลุ่มหนึ่งซึ่งเดาได้ว่าเป็นคนไทยแน่ ๆ กำลังถ่ายรูปกันอยู่แถวนั้น สาวน้อยนางหนึ่งเธอเหลือบมาเห็นอิชั้นปุ๊บ ก็พูดภาษาไทยใส่อิชั้นหมับเลยว่า "กล้องใหญ่จัง" เฮ้ย !! เธอไม่คิดว่าอิชั้นเป็นคนไทย แถมนินทาใส่หน้าอิชั้นเลยทีเดียว อิชั้นก็ทำเฉย ๆ นะ ไม่ได้ตอบโต้ไปว่า "เรื่องของกรู" หรืออะไรแต่อย่างใด อิอิ


ร้านอาหารไทยที่กูเกิลก่อนไปตั้งใจจะกินให้หายอยากในวันนี้ ก็เป็นร้านที่อยู่แถวนี้นี่แหละค่ะ ชื่อร้านคือ Thai by the Weir












ดูเมนูที่ตั้งอยู่หน้าร้าน เขามีอาหารชุดมื้อกลางวันพอดี ราคาประมาณ 10 ปอนด์ เออ ... ไม่แพง มองเข้าไปในร้านก็โล่งเชียว เลยรี่เข้าไปทันทีค่ะ เจอพนักงานชายในร้าน (ซึ่งน่าจะเป็นคนไทย) อิชั้นถามว่ามีโต๊ะริมหน้าต่างไหม เธอว่ามี แล้วก็เดินนำอิชั้นไปด้านใน ซึ่งมีโต๊ะติดหน้าต่างเห็นวิวเขื่อนอยู่ 3 โต๊ะ มีหนุ่มฮ่องกงคู่นึงนั่งจองโต๊ะที่ดีที่สุด (ไม่ร้อน ไม่มีแดด) เหลือโต๊ะแดดเปรี้ยงให้อิชั้นเลือก ก็อ่ะ .. เลือกตัวห่างออกไปหน่อยละกัน









อาหารอร่อยค่ะ มาเสิร์ฟกันร้อน ๆ (ได้ยินเสียงแม่ครัวผัดอาหารกันช้งเช้งในครัว 555) มีปอเปี๊ยะทอดไส้ผักเป็นสตาร์ตเตอร์ จานหลักมีแกงเขียวหวาน แล้วก็อะไรอีกอย่างจำไม่ได้ แต่อิชั้นเลือกเป็นไก่ผัดเปรี้ยวหวานซึ่งรสชาติไม่ออกเป็นผัดเปรี้ยวหวานแบบไทยนะ จะออกแนวจีนกวางตุ้งทีเดียว แต่ใส่พริกและมีรสเผ็ดเล็กน้อย ชอบ ๆ


พนักงานชายท่านนั้นก็น่ารักค่ะ เดินเข้ามาถามไถ่เป็นภาษาอังกฤษว่าอาหารเป็นอย่างไรบ้าง (อิชั้นก็แอ๊บตอบกลับไปเป็นภาษาอังกฤษ ไม่ยอมทักทายพนักงานเป็นภาษาไทยเหมือนกัน 555) กินเสร็จนั่งชมวิวเขื่อนอีกแป๊บ ก็ทำธุระเข้าห้องน้ำห้องท่า (ที่สะอาดและสวยงาม) ของร้านด้วย ถูกใจมาก ใครผ่านไปเที่ยวเมืองนี้ แล้วอยากกินอาหารไทย แนะนำเลยนะคะ


ส่วนใครที่อยากจิบ Afternoon Tea ที่ร้านริมหน้าต่างเห็นเขื่อนแบบนี้ เชิญร้านติดกันเลยค่ะ ราคาถูกกว่านิดหน่อย แต่คนเยอะ คงต้องเสียเวลารอโต๊ะกันสักนิด


อิ่มอร่อยกับอาหารไทยจนหายอยากกันไปข้างหนึ่งแล้ว จุดหมายต่อไปของอิชั้นคือ Roman Baths ค่ะ อิชั้นเคยเข้าไปชมด้านในมาแล้วครั้งหนึ่ง (ตอนไปอังกฤษครั้งแรก) หลังจากนั้นก็ไม่เคยเข้าไปอีกเพราะคิดว่าค่าเข้าแพงเกิน แต่ไปเที่ยวครั้งนี้บอกตัวเองว่าจะไม่ขี้เหนียว ถึงแม้ว่าตัวเองจะเป็นคนที่ไม่ชอบเข้าพิพิธภัณฑ์หรืออะไรทำนองนี้ก็ตาม




ตอนแรกว่าจะนั่งรถ Hop-on Hop-Off แบบนี้เหมือนกัน แต่กลัวจะเสียเวลานาน เพราะตั้งใจไปดูไปถ่ายรูปเพียงบางที่เท่านั้น





ที่เห็นด้านบนเป็นสระว่ายน้ำและสปาของ Roman Baths ค่ะ ถ้าใครสนใจและมีเวลาสามารถเข้าไปดูในเว็บไซต์ของเขาได้ เขามีแพ็กเกจแบบเข้าไปดูพิพิธภัณฑ์พร้อมรับบริการสปา หรือดูพิพิธภัณฑ์พร้อม Afternoon Tea ในห้องอาหาร Roman Baths Pump Room ด้วย





Bath Abbey






ช่วงซัมเมอร์นี้นักท่องเที่ยวเยอะมาก อิชั้นเลยพยายามถ่ายแต่มุมบนเพื่อเลี่ยงคน






ปรกติบัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์ด้านในจะราคา 14 ปอนด์ (สำหรับผู้ใหญ่) ค่ะ แต่อิชั้นไปช่วงซัมเมอร์ (กค-สค.) ซึ่งราคาจะเป็น 14.50 ปอนด์ รวมหูฟังพร้อมอุปกรณ์ไกด์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนตัวด้วย


































ใช้เวลาใน Roman Baths ไปชั่วโมงกว่า ๆ ได้นะ เหลือเวลาอีกประมาณ 2 ชั่วโมงก็เตรียมตัวเดินไปสถานีรถไฟกลับบริสตอลได้แล้ว อิชั้นเลยเดินเก็บภาพรอบ ๆ ตัวเมืองอีกครั้งก่อนจาก








Parade Gardens สถานที่พักตากอากาศของนักท่องเที่ยวเมืองนี้ อิชั้นเห็นสาวน้อยสาวใหญ่ใส่ชุดว่ายน้ำทั้งวันพีซ ทูพีซมานั่งเก้าอี้ผ้าใบอาบแดดกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน อิชั้นลั่นเลยค่ะ ก็นึกว่าฝรั่งจะชอบนุ่งบิกินีอาบแดดกันริมทะเลเท่านั้น 5555

สวนสาธารณะแห่งนี้เก็บค่าเข้าด้วยนะคะ ประมาณปอนด์นึงมั้งลืมไปแล้ว อิชั้นเสียตังค์ลงไปดูเหมือนกัน นึกว่าจะมีมุมเจ๋ง ๆ ให้ถ่ายภาพเขื่อนได้อีก ปรากฎว่าเสียเงินฟรี ไม่มีแล้วค่ะ ด้านบนวิวสวยกว่าเยอะ

























และขอลากันไปด้วยมุมโปรดของอิชั้นที่เมืองบาธ มาทุกครั้งก็ต้องเสียเวลาไปไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงในการถ่ายภาพตรงจุดนี้ มีเป็นร้อย ๆ ภาพเลย เหมือนเป็นโรคจิต ขอบคุณทุกท่านที่พลัดหลงเข้ามาอ่านกันนะคะ

หากคุณชอบเนื้อหาที่อ่านอยู่นี้และอยากให้กำลังใจเจ้าของบล็อก คุณสามารถคลิก Like หรือแชร์ข้อมูลของบล็อกนี้ผ่าน Social Media ที่คุณใช้งานอยู่ หรือคลิกที่แบนเนอร์ Like us on Facebook ซึ่งอยู่ทางขวามือเพื่อติดตามเพจ facebook ค่ะ ขอบคุณค่ะ



Create Date : 01 ตุลาคม 2558
Last Update : 1 ตุลาคม 2558 18:00:02 น.
Counter : 3646 Pageviews.

0 comments

ป้าเดซี่
Location :
堅尼地城  Hong Kong SAR

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [?]





เจ้าของบล็อกนี้มีชื่อไซเบอร์ว่า "ป้าเดซี่" ค่ะ ย้ายตามครอบครัวมาปักหลักและทำงานที่ฮ่องกงเป็นปีที่ 8

เป็นมนุษย์เงินเดือนไทยในต่างแดนมาก็หลายงาน ตั้งแต่เลขานุการผู้บริหาร พนักงานติดตามเร่งรัดหนี้สิน นักแปล ล่าม ฯลฯ

ปัจจุบันเป็นนักแปลอิสระสัญชาติไทยประจำบริษัทรับจองห้องพักออนไลน์สัญชาติดัตช์มากว่า 4 ปี เป็นผู้จัดการชุมชนออนไลน์สัญชาติไทยประจำบริษัทศึกษาวิจัยทางการตลาดสัญชาติฝรั่งเศสมากว่า 3 ปี และเป็นจิตอาสาทำงานแปลเอกสารให้กับมูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมฯ ประเทศไทยมากว่า 4 ปีค่ะ

บล็อกนี้ก็เป็นบล็อกเกี่ยวกับการใช้ชีวิต และอาการวิปริตทางความคิดและจิตใจของผู้หญิงไทยสายสามัญคนหนึ่ง ซึ่งมาใช้ชีวิตแบบสุขบ้าง ทุกข์บ้างในฮ่องกง

หวังว่าทุกท่านที่พลัดหลงเข้ามาในบล็อกนี้คงได้รับความไร้สาระกลับออกไปบ้างตามยถากรรมนะคะ