|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ตอนที่ 1 จากกรุงเทพถึงนาริตะ : ร้านหนังสือที่โตเกียว
:: เกริ่นนำ ::
เป็นเพราะไปเห็นสเตตัสหนึ่งใน facebook ของพี่เอ๋...พี่สาวที่รู้จักกัน จึงยกหูโทรศัพท์ไปถามว่า "จะไปญี่ปุ่นหรือพี่" และได้รับคำตอบว่า "ยังไม่แน่ใจ" จากนั้นก็เงียบกันไประยะหนึ่ง จนกระทั่ง... ไปมั้ย...พอดีมีน้องอีกคน ทำงานอยู่ที่นู้นพอดี แล้วก็กำลังจะกลับไทย ไปเที่ยวด้วยกัน พี่อยากไปพิพิธภัณฑ์" นั่นคือเสียงตามสายในช่วงหัวค่ำของวันที่งานกำลังยุ่งเหยิงพอตัว อยากไปนะพี่...แต่แหม... ในหัวตอนนั้นความคิดกำลังตีกันโครมคราม เพราะความตั้งใจเดิมของเราคือไปช่วงปลายปี ซึ่งเป็นฤดูใบไม้เปลี่ยนสีของญี่ปุ่น สึนามิ ที่เพิ่งผ่านมาลืมคิดไปเสียสนิท อีกทั้งเราก็อยากไปกับพี่เค้า เที่ยวแนวพิพิธภัณฑ์ เจาะแนวนี้ คิดว่าหาคนไปด้วยยากและมันก็เป็นอีกความต้องการของเราด้วย เอ้า พี่! ไปก็ไป! (เก็บเงินมาได้พอดีเที่ยว ไม่ได้รวยเงินถุงเงินถังนะคะ)
แต่ทว่า... ไปเมื่อไหร่อะพี่" วันที่ 25 พฤษภา กลับ 5 มิถุนา" ห๊ะ!!!!!! พี่ทำวีซ่าแล้วเหรอ นี่มันอีก 2 อาทิตย์เองนะ! แหม ทำเหมือนไปเที่ยวใกล้ๆ (ยื่นขอวีซ่า รอเวลาอีก 7 วัน แถมตั๋วเครื่องบินก็ยังไม่มี) เท่านั้นเอง ปฏิบัติการขอใบรับรองการทำงานจึงเกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน เราเป็นฟรีแลนซ์ไม่ใช่พนักงานประจำ แถมยังเร่งขอใบรับรองเค้าอีก
รู้ผลวีซ่าวันที่ 20 พฤษภา โชคดีที่ยังมีตั๋วเครื่องบินราคาไม่เกินงบเหลืออยู่ของ TG ในราคา 19000 บาท
ได้วีซ่าแล้ว ได้ตั๋วแล้ว แต่สิ่งที่ได้มาก่อนเลยก็คือ "ตั๋ว Ghibil museum ซึ่งต้องซื้อจากตู้อัตโนมัติของร้าน Lawson ที่ญี่ปุ่น คนที่ซื้อให้คือน้องคนที่จะไปเจอนั้นเอง เธอรีบปั่นจักรยานไปซื้อให้อย่างรวดเร็วทันใจ ทั้งๆที่ตอนนั้นยังไม่มีแม้กระทั่งวีซ่า จะผ่านหรือไม่ผ่านก็ยังไม่รู้ แต่ตั๋วเข้า Ghibil museum มาก่อนแล้ว แถมพี่เอ๋ยังจะมากระตุ้นความอยากให้ไปด้วยการอภินันทนาการตั๋วนี้ให้เราฟรี! เราก็ดันเห็นแก่ของฟรีซะด้วย (พี่เอ๋---"เห็นแก่ตั๋ว 1000 เยน ยอมเสียค่าเครื่องบินมาเลย ฮะๆ")
ต่อมาคือเรื่องที่พัก ที่จองไปก่อนผลวีซ่าจะออก เราตกลงไปพักที่ sakura hostel asakusa ที่เดิมที่เคยไป เห็นราคาที่พักลดลงมาตั้งครึ่ง คืนละ 1500 เยนเท่านั้น
ทุกอย่างดูเร่งรีบไปหมด แต่มันก็เป็นความเร่งรีบที่เรารู้สึกสนุกกับมันเข้าแล้ว!
25 พฤษภาคม 2554
เราไปถึงสนามบินนาริตะประมาณ 8 โมงเช้า นั่ง keisei line เข้ามาที่โตเกียว ซื้อตั๋วราคา 1060 เยน โดยต่อรถไปที่สถานี Otto นั่งยาวมาถึงสถานี Asakusa ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมเรียบร้อย เรื่องอะไรที่จะปล่อยให้เวลาเสียเปล่า ออกมาตะลอนๆ ทัวร์มั่วดีกว่า
เที่ยวญี่ปุ่นครั้งนี้เป็นการเที่ยวโตเกียวเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีการซื้อ JR PASS เราอาศัยการเดินทางโดยใช้รถไฟใต้ดิน ที่ซื้อแค่ตั๋ววัน 710 เยน ก็เพียงพอแล้ว บางวันก็ไม่ได้ซื้อเพราะไปแค่ไม่กี่ที่ เน้นประหยัดสุดๆ เพราะเอาเงินไปเข้าพิพิธภัณฑ์ บางคนอาจจะยี้ บอกว่าไปดูอะไร พิพิธภัณฑ์น่าเบื่อจะตาย แต่เราว่าการไปเที่ยวต่างถิ่น การเที่ยวพิพิธภัณฑ์นี้แหละ ทำให้รู้ความเป็นมาเป็นไปของเรื่องราวหลายๆ เรื่อง และจะทำให้การเที่ยวสนุกขึ้น
:: อาหารเช้าบนเครื่อง ::
ความสุข ความสนุกของคนเราไม่เหมือนกัน เราเป็นคนไม่ช้อปปิ้งเสื้อผ้า เครื่องสำอางค์ แต่จะไร้สติมากเมื่อช้อปปิ้งหนังสือที่ชอบและเข้าพิพิธภัณฑ์ที่ถูกใจ
ย่านที่ไปแห่งแรกคือย่านหนังสือมือสอง Jimbusho ข้างทางเต็มไปด้วยร้านหนังสือมือสองยาวเหยียด เราอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก ถ้าเราอ่่านออกคงจะจมอยู่ที่นี่ทั้งวัน ทำให้เรานึกถึงร้านหนังสือในสวนจตุจักร เอากองหนังสือมาขยายเป็นร้านใหญ่ๆ คงจะให้บรรยากาศเหมือนกันไม่มีผิด ผิดกันตรงที่สวนจตุจักรเปิดแค่เสาร์-อาทิตย์
ตอนนี้เรามาเที่ยวสวนจตุจักรกันอยู่ใช่มั้ยพี่? ฮะๆๆๆ นั้นสินะ"
:: ที่กั้นขอบทาง ยังเป็นรูปหนังสือ ::
ไหนๆ ก็มาดูหนังสือ สูดกลิ่นตัวอักษรมาพอประมาณ น้องที่ไปเจอที่ญี่ปุ่น (น้องปลาย) นำเสนอร้านหนังสือJunkudoย่าน Ikebukuro อีก เคลื่อนขบวนตัวตุ่นลงรถไฟใต้ดิน ไปโผล่ที่ Ikebukuro ในบัดดล ในความคิดของเราคิดว่าคงจะเป็นร้านหนังสือเป็นร้านๆ คล้ายๆ กับที่ Jimbusho แต่พอไปถึงแล้ว ก็รู้ว่าตัวเองคิดผิด!
ร้านหนังสือJunkudo เป็นร้าน...หรือจะเรียกว่าห้างดีล่ะ เพราะมันใหญ่โตมาก เต็มไปด้วยหนังสือทั้ง 9 ชั้น เราจมอยู่กับกองทัพหนังสือเป็นชั่วโมง ใจเต้นตึกตัก เพราะความอลังการของร้านและจำนวนหนังสือที่มีให้เลือก บางคนถามเราว่า "อ่านภาษาญีีปุ่่นออกเหรอ" เราอ่านไม่ออก แต่เราชอบดู หนังสืองานฝีมือมีวิธีการทำเป็นภาพชัดเจน ทำตามไม่ยาก และหนังสือเกี่ยวกับกราฟิก ที่เรามักจะนำมาใช้ประโยชน์ในงานของเราเสมอ เราชอบดูการจัดหน้าหนังสือ ชอบดูภาพประกอบ มันเป็นแรงบันดาลใจให้เราหลายๆ เรื่อง
จ่ายค่าหนังสือไป 4,290 เยน (ประมาณ 1600 บาท) เพราะเป็นวันแรก จึงไม่อยากใจแตกกับหนังสือมากนัก เดี๋ยวจะไม่มีเงินเหลือติดตัว เพราะซื้อหนังสือ! เอาไว้วันท้ายๆ ก่อนกลับค่อยมาเก็บใหม่ ตั้งใจไว้ว่าอย่างนั้น
ความเร่งรีบ...หรือความเคยชินกันแน่นะ ที่ความเร็วในการเดินของคนญี่ปุ่นเร็วมาก เหมือนเวลาทุกนาทีมีค่า ทำให้เราเร่งจังหวะการเดินตามพวกเขา แต่ก็ยังโดนเดินชนแรงๆ จนเซ ไม่มีคำว่าขอโทษ คนที่เดินชนคนนั้นก็กลืนไปกับกระแสคนอื่นๆ ที่ดูจะมีจังหวะเดียวกันหมด หรือว่านี่จะเป็นเรื่องปกติกันนะ
Create Date : 16 มิถุนายน 2554 |
|
11 comments |
Last Update : 27 กรกฎาคม 2554 15:13:34 น. |
Counter : 3609 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: เมต (SingleMate ) 16 มิถุนายน 2554 18:31:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: rat29 16 มิถุนายน 2554 19:04:41 น. |
|
|
|
| |
โดย: Paulo 17 มิถุนายน 2554 18:20:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: พี่วาส (faisai ) 18 มิถุนายน 2554 8:16:41 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 20 มิถุนายน 2554 6:14:16 น. |
|
|
|
| |
โดย: นน (nontanjp ) 21 มิถุนายน 2554 9:05:56 น. |
|
|
|
| |
โดย: Paulo 24 มิถุนายน 2554 9:19:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: กะว่าก๋า 23 กรกฎาคม 2554 6:19:32 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]
|
ขอสงวนลิขสิทธิ์ภาพและงานเขียนที่ปรากฏในเวบไซด์แห่งนี้ เป็นลิขสิทธิ์แต่ผู้เดียวของ oanotai ห้ามมิให้กระทำการดัดแปลง แก้ไข และลอกเลียนแบบ หรือนำไปแอบอ้างเป็นผลงานของตน ตลอดจนนำออกเผยแพร่ ตีพิมพ์ หรือ นำไปใช้เพื่อประโยชน์อื่นใด โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าของ
|
|
|
|
|
|
|