เบื้องบนยังมีแสงดาว: วินทร์ เลียววาริณ

วินทร์ เลียววาริณ
ราคา 185 บาท

อ้างอิงจากเวบของคุณวินทร์ค่ะ

หากชีวิตแรกเกิดเป็นผืนผ้าใบว่างเปล่า เราแต่ละคนต่างก็ได้รับพู่กันกับสี บางคนโชคดีได้รับหลอดสีสดใส บางคนได้รับหลอดสีดำหม่น แต่ไม่ว่าจะเป็นสีสดหรือสีดำ เราต่างสามารถระบายภาพที่ต้องการให้สวยงามได้


คนสองคนมองภาพชีวิตเดียวกันไม่เหมือนกัน จะเลือกก้มหน้ามองโคลนดิน หรือจะเงยหน้ามองฟ้าก็แล้วแต่แต่ละคน ข้อแตกต่างคือ การมองขึ้นบนมีโอกาสเห็นดาราพร่างพราย แม้บนม่านฟ้าที่มืดมิด หรือห้วงชีวิตที่เต็มไปด้วยอุปสรรค


บางครั้งในความมืดมนที่สุดของชีวิต ทัศนคติที่ดีอาจช่วยให้แว่นขยายให้เราเห็นภาพต่าง ๆ ช้ดขึ้นว่า ในความมืดยังมีจุดสว่าง เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าย่อมดีกว่าคอตกก้มหน้าดูดินโคลน เพราะเบื้องบนยังมีแสงดาว ....

---

ครั้งแรกที่รู้ว่าคุณวินทร์มีหนังสือเสริมกำลังใจ ชุด 3 ออกมาในปลายปีนี้ ก็คิดเลยว่า เราต้องไปสอยมาให้ได้ แถมวันที่ไปซื้อได้เจอคุณวินทร์ด้วย เลยขอลายเซ็นอีกต่างหาก แหะๆๆ ^^

หนังสือซีรี่ย์นี้ของคุณวินทร์ เป็นซีรี่ย์ที่ไกลนั้นชอบมากๆ นับตั้งแต่รอยเท้าเล็กๆของเราเอง ต่อด้วยความฝันโง่ๆ และเล่มล่าสุดคือ เบื้องบนยังมีแสงดาว ค่ะ

เช่นเคย มันคือหนังสือเล่มแรกของหลายๆเล่มที่ซื้อมาและไกลนั้นอ่านก่อนเล่มอื่นๆ อ่านรวดเดียวจนจบ หยุดไม่อยู่จริงๆ ถึงจะรู้ว่าอีกสี่วันเราจะสอบโปรเจควิชาสุดท้าย แต่ก็อย่างว่า ขอซะหน่อยเหอะนะ 555

เล่มนี้เป็นเล่มที่มีมุมมองได้ลึกกว่าสองเล่มก่อนค่ะ ในความคิดเห็นของไกลนั้นกับพี่สาว แม้บางเรื่องจะเคยรู้มาจากในอินเตอร์เนต( Fw เมล์) แต่พอได้อ่านสำนวนการเขียน ความกินใจในนั้นมีมากเป็นทวีคูณ เรียกง่ายๆว่า อ่านจบรู้สึกตัวเองอยากจะทำสิ่งดีๆให้กับสังคมนี้ แบบที่หลายๆคนในหนังสือได้กระทำ

ขอคัดเรื่องที่อ่านแล้วชอบนะคะ

"รอยเท้าข้างเดียวของลีนา"
นาทีแรกที่ ลีนา มาเรีย คลิงวัลล์ ลืมตาดูโลก เธอไม่รู้ว่าเธอไม่เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ทารกน้อยเกิดมาไม่มีแขน มีขาสมบูรณ์เพียงข้างเดียว แต่บิดาของเธอเอ่ยขึ้นมาเมื่อแรกเห็นเธอว่า "มีแขนหรือไม่มีแขน เธอก็ต้องการบ้านนั่นแหละ" เธอเรียนว่ายน้ำเมื่ออายุสามขวบ เรียนเย็บปักถักร้อยเมื่ออายุสี่ขวบ และใช้ขาข้างเดียวของเธอทำทุกอย่างเช่นคนทั่วไป

เมื่ออายุสิบห้า เธอติดว่ายน้ำทีมชาติของสวีเดน และสามปีต่อมา ก็คว้าสี่เหรียญทองในการแข่งขัน เวิร์ล คัพ เธอยังฝึกขับรถ และได้รับใบขับขี่เมื่ออายุสิบเก้า

(ส่วนท้ายๆของเรื่องนี้กล่าวว่า)
โลกเราเต็มไปด้วยขอทานมือไม้สมบูรณ์ หลายคนใช้ความพยายามทำให้ตัวเองดูน่าสงสาร ตั้งแต่การใช้ผ้าพันแผล พลาสเตอร์ปิดแผล แกล้งตาบอด ไปจนถึงการใช้ทารกน้อยมาประกอบฉาก

ความพิการของมนุษย์เกิดขึ้นต่อเมื่อใจของคนผู้นั้นพิการตามร่างกายไปด้วย

ความเป็นมนุษย์มิได้วัดกันที่หน้าตา แต่ที่ขนาดของหัวใจ คนที่ร่างกายไม่ครบสามสิบสอง แต่จิตใจเต็มร้อย ก็เดินไปถึงจุดหมายได้แม้ด้วยขาข้างเดียว...
......................................


"ผู้ไม่เคยยอมแพ้ต่อชะตากรรม"
อันนี้เป็นเรื่องราวของ ชาลล์ กูดเยียร์ ค่ะ เป็นคนที่ไกลนั้นอ่านชีวิตแล้วเศร้านะคะ เพราะตลอดชีวิตของเขา แทบจะเหมือนวินเซนต์ แวนโก๊ะ เขาคือคนที่ทดลองยางจนกระทั่งได้พบสูตรสำเร็จของการผลิตยางให้ได้มาตรฐาน แต่ด้านชีวิต เขาต้องเผชิญวิบากกรรมสุดๆ สุขภาพเสื่อมโทรมเพราะการทดลองผลิตยาง เคยติดคุกเพราะไม่มีเงินจ่ายหนี้ แต่เขากลับบอกภรรยาว่า "ไม่เป็นไร มันก็เหมือนไปพักในโรงแรมเท่านั้นน่ะ"

ครอบครัวของเขาต้องเดือดร้อนจากการดันทุรังทำงานของชาลล์ กูดเยียร์ บางทีไม่มีข้าวจะกิน ลูกก็เสียชีวิต ไม่มีแม้แต่เงินทำศพลูก อ่านแล้วเศร้ามากๆ

ถึงแม้เขาคือคนที่ล้มเหลวยามเมื่อมีชีวิต แต่งานของเขาเป็นอมตะ คงไม่มีใครปฏิเสธว่า หากเอ่ยชื่อกูดเยียร์ จะไม่มีใครไม่คิดถึงยางนะคะ

บทสรุปของเรื่องนี้ ดีมากๆเลยค่ะ

กูดเยียร์เขียนว่า "ชีวิตไม่ควรถูกคำนวนจากมาตรฐานของเงินตราอย่างเดียว ผมไม่ได้บ่นว่าผมได้เพาะหว่านแล้วคนอื่นเก็บเกี่ยวผลไป เราสมควรจะเสียใจก็ต่อเมื่อเราเพาะหว่านไปแล้ว ไม่มีอะไรงอกเงยขึ้นมา"
เพราะสำหรับคนบางคน ความยากลำบากไม่มีความหมายอะไรเลย ความสุขระหว่างการทำงานต่างหากคือรางวัล (จบไปด้วยความซึ้งหัวใจอีกเรื่องนึง)



ขอหยิบยกตัวอย่างเท่านี้ก่อนนะคะ ที่จริงมีอีกหลายเรื่องที่อ่านแล้วประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ธนาคารกรามีน ของมูฮัมมัด ยูนุส(เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพปี 49) หรือแม้แต่ "โลกที่ไร้สิ่งกีดขวาง" ซึ่งมีตัวเอกเป็น โอโตทาเกะ อิโรทาดะ เด็กชายที่ไม่มีแขน ไม่มีขา ซึ่งตอนแรกทางโรงพยาบาลและพ่อไม่กล้าให้แม่เห็นหน้าลูกตัวเอง กลัวทำใจไม่ได้ แต่พอแม่ได้เห็นลูกจริงๆ แม่กลับบอกว่า "น่ารักจัง" โอ้ว อ่านแล้วรู้สึกหัวใจสว่างขึ้นมาทันที เขามองโลกได้แง่ดีจริงๆ


หนังสือเล่มนี้ ราคา 185 บาท (ซึ่งไกลนั้นซื้อได้ถูกกว่าค่ะ เพราะซื้อในงานหนังสือ) แต่อะไรหลายอย่างที่ได้รับกลับมา ถึงราคาแพงกว่านี้อีกสองสามเท่าตัว ก็ไม่รู้สึกเสียดายตังค์เลยนะคะ เพราะบางเรื่องเป็นประวัติของคนที่เราไม่เคยรู้ และอ่านแล้วก็นึกทึ่งว่า ข้อมูลเหล่านี้ ผู้เขียนไปทราบมาจากไหนหนอ เป็นแรงบันดาลใจให้อยากเก่งภาษาขึ้นมาบ้าง เผื่อว่าจะได้มีปัญญาอ่านหนังสือได้หลากหลายขึ้น อย่างน้อยๆ ก็เสริมสมองอ่ะค่ะ


หากใครชอบหนังสือคุณวินทร์ เล่มนี้ก็คงไม่พลาดอ่ะค่ะ^^

Create Date : 27 ตุลาคม 2550 Last Update : 27 ตุลาคม 2550 22:37:06 น. Counter : 2502 Pageviews.		10 comments
Share Tweet