Peru : Machu Picchu
Machu Picchu "เมืองสาบสูญแห่งอินคา" The lost city of the Incas อยู่ห่างจากเมือง Cusco ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 70 กิโลเมตร และอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 2,350 เมตร การเดินทางไปยัง Machu Picchu มีด้วยกันหลายวิธีนะคะ วิธีที่เค้าฮิตๆกันก็จะมีอยู่ 2 วิธี คือ ... 1.โดยรถไฟ จาก San Pedro Station ในเมือง Cusco ไปยังเมืองเล็กๆ ชื่อ Aguas Calientes (ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง) รถไฟแบ่งเป็น - Local เฉพาะชาวเปรูเท่านั้น ราคาไม่แพงเลย - BackPacker ราคาพอประมาณ รับได้ค่ะ - Vistadome แพงขึ้นมาอีกพอสมควร แต่หลังคารถไฟจะเป็นกระจก สามารถเห็นวิวรอบทุกทิศ เหมาะสำหรับคนที่ชอบดื่มด่ำกับบรรยากาศเป็นอย่างยิ่ง - The Hiram Bingham อันนี้แพงกว่าเกินเหตุค่ะ ...ignore ไปเลย พอไปถึง Aguas Calientes แล้วก็นั่งรถบัสต่อไปอีกนิดนึง หรือว่าจะ trekking ขึ้นไปก็ได้...จะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 2.โดย 2 เท้าของท่านเอง ตอนแรกที่คุยกับเพื่อนว่าไปกันมั้ย ตอนนั้นยอมรับว่าไม่รู้เรื่องอะไรเลย รู้แค่ว่า Machu Picchu คือ World Heritage เท่านั้น ไม่ได้ศึกษาข้อมูลมากเท่าที่ควร(สมน้ำหน้าตัวเองเป็นที่สุด) และเมื่อมารู้ถึงวิธีที่เพื่อนเลือกที่จะไป...ทำเอาอึ้งไปเป็นนาน เธอเลือกเดิน...เดินขึ้นไปค่ะ...เดินขึ้นไปข้างบนนู้น...เดินทั้งหมด 49 กิโลเมตร...เดินกัน 4 วัน 3 คืน พอทำใจได้(นานน่าดูล่ะ)ก็"ม้ำมึก"(แปลเป็นไทยว่า"ตัดอกตัดใจ"มั้งคะ) เอ้า!ตายเป็นตาย ไปก็ไปวะ มีการเตรียมตัวเป็นเรื่องเป็นราวมากกว่า trip ไหนๆที่ผ่านมา ทั้งกิน calcium บำรุง ทั้งเข้า fitness ทั้งออกกำลังกายสารพัด เราไป join group ของ SAS Travel ที่ Cusco ...ก่อนเดินทาง 1 วันมีการรวมกลุ่มประชุมว่าต้องทำอะไรยังไงบ้าง Group เรามีทั้งหมด 11 คน...10 คนเคย trekking แบบมืออาชีพมาทั้งนั้น แล้วทายซิคะว่าใครเอ่ยที่เป็นมือสมัครเล่น ตื่นตั้งแต่ก่อนตี 4 เพื่อไปขึ้นรถที่ office ของ SAS Travel ในเมือง Cusco นั่งรถ(คล้ายๆรถตู้บ้านเรา แต่ใหญ่กว่า แต่ไม่ใช่ mini-bus นะ)ไปจนฟ้าสาง แวะกินอาหารเช้าที่เค้าเตรียมแพ็คมาให้ กินกันตรงลานกว้างข้างถนนระหว่างทางนั่นแหละค่ะ ไปต่อจนถึง Ollantaytambo ซึ่งที่นี่เป็นที่สุดท้ายที่จะซื้อของ เช่น ครีมกันแดด หมวก ถุงมือ
Walking Pole สำหรับช่วยปีนเขา(ชาวบ้านทำเอง แกะสลักสวยดี) ออกจาก Ollantaytambo ซักพักถนนก็เริ่มแคบ ด้านขวาเป็นภูเขา ด้านซ้ายเป็นลำธารลึก เวลารถสวนกันที..ลุ้นกันน่าดู ไปต่อเรื่อยๆจนถึงกิโลเมตรที่ 82 ที่ตรงนี้แหละค่ะที่จะเริ่ม trekking หลังจากเช็ค passport เช็ครายชื่อ...จำนวนคนแล้ว ก็ถ่ายรูปเป็นหลักฐานซะหน่อยว่าตอนเริ่มต้นอยู่ในสภาพสมบูรณ์ขนาดไหน มือสมัครเล่นเตรียมพร้อมค่ะ อุปกรณ์เสริมเพียบ จุดหมายคงอยู่ที่หลังเขาลูกใดลูกหนึ่งลิบๆตานู่นแหละค่ะ ยินดีต้อนรับสู่ INKA TRAIL ต่อจากนี้เราก็จะตั้งหน้าตั้งตาเดิน---เดิน---เดิน---เดิน---เดิน---เดิน---เดิน---เดิน--- เริ่มเดินได้ประมาณชั่วโมงกว่าๆ มองลงไปข้างล่างก็เห็นจุดตั้งต้นลิบๆ ตอนแรกที่เริ่มเดินก็ยังคุยกันจ้อ เป็นใคร...ที่ไหน...ยังไง พอผ่านไปซักพัก...ใครจะอยู่ที่ไหน...เป็นยังไง...ไม่สนแล้ว(โว้ย) การเดินขึ้นไปเรื่อยๆมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดไว้เลย สัมภาระบางส่วนต้องให้ลูกหาบช่วยขนขึ้นไปให้ เค้ามีกฎของเค้าเองว่าห้ามลูกหาบแบกน้ำหนักเกินคนละ 20 กิโลกรัม เพื่อสุขภาพของตัวลูกหาบเองด้วย แต่ละกรุ๊ปที่ trekking จะมีลูกหาบมากกว่าคน trekking เสมอ เพราะมีของเยอะมากที่จำเป็นต่อการค้างคืนระหว่างทาง เต้นท์ - เครื่องครัว - อาหารทุกมื้อ รวมทั้งยาหอมยาลมยาดมยาหม่อง...มีครบค่ะ ส่วนของส่วนตัวที่ต้องรับผิดชอบเอาไปเอง มีตามรายการนี้เลยค่ะ Original Passport - Backpack - Warm clothes - Wool socks - ยากันแมลง - กระดาษทิชชู Water purifying Tablets (เค้าจะต้มน้ำเดือดให้คนละ 1 ลิตร หลังอาหารมื้อเช้า เพราะฉะนั้นต้องมีขวดที่ใส่น้ำเดือดได้) ยาส่วนตัว - Sleeping bag - เสื้อกันฝน - ยากันแดด - หมวก - ไฟฉาย - Walking Pole วิวระหว่างทางค่ะ หันไปทางไหนก็สวยไปหมดค่ะ แรกๆก็ตื่นตาตื่นใจมาก...มัวแต่ถ่ายรูปจนเดินตามกลุ่มแทบไม่ทัน วิวแบบนี้มีให้เห็นตลอดทั้ง 3 วันที่ trekking นะคะ ข้อแตกต่างของการ trekking กับการนั่งรถไฟไป Machu Picchu ก็คือเราจะได้เห็นสิ่งที่ชาวอินคาได้หลงเหลือไว้เกือบครบทั้งหมด ความลับนะคะ... สำหรับมือสมัครเล่น...พอเหนื่อยแล้ว ไอ้วิวที่กิ้วก๊าวอยู่หยกๆก็ไม่สนใจละ...เหมือนๆกันหมดแหละ(สงสัยเหนื่อยจนตาลาย) พวกผู้ชายทิ้งเป้ไว้แถวนี้แล้วก็แว้บไปฉี่หลังกำแพงนี่ล่ะค่ะ ส่วนพวกผู้หญิงก็เชิญตามอัธยาศัย นี่คือสภาพของมื้อเที่ยงวันแรก...หลังจากเดินมาได้ประมาณ 4 ชั่วโมง ดีนะคะที่เค้ารับผิดชอบทำอาหารให้ทุกมื้อ ถ้าต้องมาเตรียมอาหารเองมีหวังกรณีก่องข้าวน้อยฆ่าแม่คงมีให้เห็นทุกครั้งที่หยุดพักแน่ๆ ที่พักของคืนแรกค่ะ พอมือสมัครเล่นลากสังขารมาถึงที่ ก็เห็นเต้นท์ทั้งหมดกางเรียบร้อยโดยพวกลูกหาบที่(วิ่ง)ล่วงหน้ามาก่อน ส่วนพวกมืออาชีพ...นู่นค่ะ...เตะลูกบอลเล่นกันอยู่ด้านบนนู่น...พลังงานช่างเหลือเฟือจริงจริ้ง(น้ำเสียงโทนอิจฉาปนหมั่นใส้) เต้นท์ใหญ่ที่เห็นคือเต้นท์กินข้าว เค้าเรียกกินข้าวก่อน 6 โมง...ก่อนฟ้ามืดค่ะ อาหารอร่อยทุกมื้อ...กินได้เยอะมากๆ มี main course มีซุป มีของหวานผลไม้ มีชากาแฟพร้อม อ้อ...เค้าแนะนำให้เอาใบโคคาบี้ๆผสมน้ำใส่กระติกไว้กินระหว่างวัน เพื่อเพิ่มพลังมั้งคะ แต่มือสมัครเล่นคงแพ้ต้นหมากรากไม้ จิบไปได้ไม่เท่าไหร่ก็เกิดอาการจะอ้วก...เหมือนเมาๆ...เลยเลิกดีกว่า ไม่ต้องเพิ่มพลังเราก็ไปแบบสบายๆอยู่แล้ว 555 ส่วนกาละมังสีแดงที่วางอยู่นั่น คือน้ำล้างมือค่ะ ล้างตามลำดับเลย น้ำหนึ่ง-น้ำสอง-น้ำสาม-น้ำสุดท้าย ไม่มีการเปลี่ยนถ่าย และถุงก้อบแก้บที่แขวนนั่นใช้ใส่เศษอาหารและขยะ เค้าจะแจกถุงก้อบแก้บให้คนละใบ เพื่อให้ใส่ขยะทุกอย่างลงไปในนั้น ห้ามทิ้งลงพื้นเด็ดขาด ถึงไม่มีใครเห้นพระเจ้าก็เห็น...น่าน...เอาพระเอาเจ้าเข้าขู่กันเลย ขยะทุกชิ้นจะรวบรวมไว้ให้ลูกหาบหอบกลับไปทิ้งในที่ทิ้งขยะในเมือง ขยะนี่หมายถึงของที่เราจะทิ้งทุกอย่างเลยค่ะ รวมทั้งกระดาษชำระที่ใช้แล้วด้วย ดีมากๆเลยนะคะ...สภาพป่าของเค้าคงอยู่เหมือนเดิมไปได้อีกนาน โดยไม่มีพลาสติก-กระป๋องอะไรให้เห็นรกตา ลานกางเต้นท์ของคืนแรก มีห้องน้ำให้ด้วย เย้ 2 ห้องส้วม 1 ห้องอาบน้ำ ไม่มีประตูเลยซักบาน ใครอยู่ในนั้นก็ต้องคอยส่งเสียงตลอดเวลาว่ามีคนอยู่ในนี้น้าาาาาาา เวลาเข้าส้วมก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบนึงนะคะ...เห็นไร่ข้าวโพด...ภูเขาสูง...วิวส้วยสวย... อ้อ...อย่าลืมเตรียมรองเท้าแตะไปด้วยคู่นึงนะคะ เผื่ออึดอัดจากรองเท้าปีนเขา ตื่นเช้า(ขอบอกว่าเช้ามากๆ ประมาณก่อนตี 5)ต้องเก็บถุงนอน-ข้าวของให้พร้อมก่อนกินอาหารเช้า ส่วนเต้นท์...เราขอขอบคุณลูกหาบที่รับภาระไปแทน ตอนที่ไปอากาศหนาวมากๆค่ะ นอนในถุงนอนปิดหูปิดหน้าก็ยังได้ยินเสียงลมพัดวิ้ว-วิ้วอยู่ข้างหู แถมคืนที่ 2 ฝนตกหนักอีก...น้ำไหลเป็นทางผ่านเต้นท์ที่นอนเหมือนได้นอน Boutique Hotel กลางสายน้ำเด๊ะๆ ส่วนคืนที่ 3 เป็นคืนสุดท้าย...เริ่มสนิทกันแล้ว ดึกดื่นเที่ยงคืนไม่ยักหลับไม่ยักนอนแฮะ คุยกันข้ามเต้นท์จนเกือบเช้า ห้องน้ำนี้เป็นห้องน้ำระหว่างทางที่ลงจากเขา (ลูกไหนก็ไม่รู้...จำไม่ได้แล้ว...มีหลายลูกเกินค่ะ) แต่ก็ไม่เห็นมีใครแวะใช้บริการเลย ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาจ้ำเอาจ้ำเอา...เหมือนกลัวทางข้างหน้าจะหายไป เคยได้ยินมั้ยคะ... จะรู้ว่าโลกนี้...มันกว้างใหญ่ ก็ต่อเมื่อ...เราได้ออกเดินทาง เดินทาง - - - ตามหา - - - ไขว่คว้าวันเวลาดีดี...ที่หายไป ไกลแสนไกล ในหมอกม่านกาลเวลา ฝนตกค่ะ บางคนเห็นเป็นเรื่องลำบาก บางคนเห็นเป็นเรื่องสนุก บางคนเห็นเป็นเรื่องท้าทาย แล้วคุณล่ะคะ...คิดยังไง? คืนสุดท้ายได้นอนนิดนึง...ลุกขึ้นมาเก็บของแต่เช้า(คราวนี้ก่อนตี 4 ด้วยซ้ำ) ก่อนที่จะเริ่มเดิน...ต้องมีการกำชับแล้วกำชับอีกว่า "ห้ามวิ่ง" ฟ้ายังมืดตื๋ออยู่เลย ไฟฉายก็ช่วยได้นิดหน่อยเท่านั้น ไกด์เล่าให้ฟังว่ามีอยู่ trip นึง ผู้ชายคนนั้นคงอยากไปถึง Machu Picchu ก่อนใครๆ พอเค้าเริ่มออกเดินทาง ชายหนุ่มก็วิ่งหน้าเริ่ดไปก่อน...วิ่งๆๆๆๆ...สุดท้ายวิ่งไปตกเขาตายค่ะ อ้าว...เรื่องจริงนะคะ ไม่ได้โม้นะ เราใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึงก็ถึงที่ที่สามารถเห็น Machu Picchu จากด้านบน...พร้อมๆกับที่พระอาทิตย์กำลังขึ้น ประทับใจมากค่ะ ทุกคนในกรุ๊ปยิ้มแฉ่งกันเป็นแถว นั่งดื่มด่ำอยู่ตรงนั้นตั้งนาน และแล้วก็ได้รู้ด้วยตัวเองว่าที่ตั้งหน้าตั้งตาเดินจนขาแทบหลุด ผลที่ได้รับมันคุ้มค่าที่สุดเลยค่ะ "We did it!" จบ trip นี้โดยได้ certificate มาใบนึง เค้าเขียนไว้ว่า... We have survived "Dead Woman's Pass" 13,776 feet above sea level... and successfully completed the 49 KM. in 4 day Inca trail trek to Machu Picchu in one piece!
Create Date : 21 ตุลาคม 2551 |
Last Update : 28 พฤษภาคม 2552 11:54:30 น. |
|
14 comments
|
Counter : 1976 Pageviews. |
|
|
เก่งจังเลยนะคะ สามารถพิชิตมาชูพิชูได้ พี่เคยไปเหมือนกันค่ะ แต่ว่าเมื่อประมาณ 10 กว่าปีมาแล้ว ไม่มีปัญญาเดินขึ้นเขาหรอก แม้แต่จะคิดก็ไม่เคยค่ะ แต่ว่านั่งรถไฟแบบชาวบ้าน ๆ ไปน่ะค่ะ จำได้ว่าอากาศในรถไฟหนาวเย็นมาก ๆ เลย
พอขึ้นไปถึงยอดเขาต้องทานยาที่ซื้อเอาที่นั่นน่ะค่ะ แค่เคี้ยวใบโคคาเอาไม่อยู่
อ่านแล้วทำให้นึกถึงความหลัง ขอบคุณมาก ๆ ที่เอามาแบ่งปัน เล่าละเอียดดีจัง รูปก็แจ่มค่ะ