Group Blog
 
<<
มกราคม 2549
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
25 มกราคม 2549
 
All Blogs
 

จอมจักรพรรดิ์ ฮั่นอู่ตี้ ภาค 1 - ตอนที่ 11


สารบัญ | 2 ตอนที่แล้ว | ตอนถัดไป
ตอนที่ 11 ไม่ยอมรับ



ณ ที่พักของคณะเดินทางของไท่จื่อ

หลี่หลิง ก้วนฟู และกัวเส่อเหริน กำลังดื่มเหล้ากินกับแกล้มคุยกันอย่างสนุกสนาน โดยที่
ต่างไม่มีใครล่วงรู้เลยว่า ณ เวลานี้ไท่จื่อกับจางทังได้ถูกจับตัวไปแล้ว
กัวเส่อเหรินได้เอ่ยถามขึ้นว่า “พวกเจ้ามาทายกันเล่นๆดีกว่า ว่าจิ่วเกอตอนนี้กำลังทำอะไร
อยู่ ข้อที่หนึ่ง เดินก้าวเท้าย่างรุกบุกเข้าไปถึงในห้องนอน(登堂入室)ของเนี่ยนหนูเจียว
แล้ว หรือว่า ข้อสอง ซ้ายอิงแอบแนบชิด ขวาโอบกอดคลอเคลีย(倚红偎翠)อยู่อย่าง
เพลิดเพลินกับเหล่าบรรดาสาวๆของสำนักไห่ถังชุนอยู่น่ะ?”

[登堂入室 (เติงถังลู่ซื่อ) มีด้วยกันสองความหมาย ในความหมายแรก หากแปลตรงๆก็จะหมายถึง หลังจากที่เหยียบเท้าผ่านเข้า
ไปยังห้องรับแขกแล้ว หากเดินต่อไปอีกนิดก็จะถึงห้องนอน(登上厅堂, 又进入内室) ส่วนความหมายที่สอง จะหมายถึงผู้ที่มี
ความรู้ความชำนาญระดับปรมาจารย์ คือรู้ลึก รู้ดี รู้หมดทุกอย่างตั้งแต่เรื่องระดับตื้นๆไปจนถึงระดับลึก]

“แล้วเจ้าว่าไงล่ะ” ก้วนฟูเอ่ยถามกลับ
“ข้าเหรอ ข้าว่า ป่านนี้เนี่ยนหนูเจียวคงปัดกวาดเตียงนอนรอคอยจิ่วเกออยู่นะสิ”

ทันใดนั้นเองก็มีเหล่าทหารบุกเข้ามาพร้อมกับเสียงตะโกนบอกให้จับตัวคนร้าย



**********

ไท่จื่อและชาวคณะถูกกักขังตัวอยู่ที่ห้องแห่งหนึ่งภายในจวนของเจ้าเมืองเยี่ยนชื่อ



ก้วนฟูกับกัวเส่อเหรินกำลังถกเถึยงกัน
ก้วนฟู : กัวเส่อเหริน หากไม่เป็นเพราะว่าข้าต้องเข้าไปช่วยเจ้าไว้แล้วล่ะก็ ป่านนี้เจ้า
พวกนั้นคงได้ถูกข้าฆ่าตายไปแล้ว”

กัวเส่อเหริน : ก้วนฟู เจ้าฆ่าคนพวกนั้นแล้วมีประโยชน์อะไร ใช่ว่าจะช่วยจิ่วเกอได้ซะ
เมื่อไร ยังไงจิ่วเกอก็ยังคงถูกจับตัวอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ”

ก้วนฟู : “เจ้าคิดดูสิว่า ข้าจะฆ่าพวกนั้นทำไม ถ้าไม่ใช่เพื่อช่วยจิ่วเกอ”
กัวเส่อเหริน : “ก็ข้า...”
จางทังเข้ามาขวางพูดขัดขึ้น “เจ้าทั้งสองคนเลิกเถียงกันได้แล้ว เวลานี้เป็นเวลาอะไร และ
ที่นี่เป็นที่ไหน ตอนนี้สิ่งที่ควรคิดจะทำกันก็คือ คุ้มครองและพาจิ่วเกอหนีออกไปจากที่นี่”

ไท่จื่อเอ่ยขึ้น “เอาล่ะๆ พวกเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก แค่เจ้าเมืองเยี่ยนชื่อเล็กๆ จะ
ทำอะไรข้าได้ ไม่แน่ยังไม่ทันฟ้าสาง(五鼓天明) พวกเราก็อาจจะได้ออกไปจากที่นี่ก็ได้”

จากนั้นก็ถอนหายใจเอ่ยขึ้นอีกว่า “เฮ้อ เนี่ยนหนูเจียวต้องรอข้าเก้อซะแล้วคืนนี้ ปล่อยให้
สาวงามที่เปี่ยมไปด้วยความรักต้องผิดหวังเช่นนี้ ข้านี่ช่างแย่จริงๆ”
พูดจบก็หันไปบอกจางทัง
“หากออกไปได้เมื่อไหร่ เจ้าจงช่วยอธิบายเรื่องราวให้นางเข้าใจแทนข้าด้วย”
จางทัง : “ไม่แน่นางอาจจะเป็นพวกเดียวกันกับเจ้าเมืองเยี่ยนชื่อก็ได้ ตั้งใจมาล่อท่านให้
เข้ามาติดเบ็ด”

ไท่จื่อ : “ที่แท้ในสายตาของเจ้า ทุกคนดูเป็นคนไม่ดีไปหมด อย่างนี้คงจะไม่เหลือคนดี
สักคนแล้วล่ะมั๊ง”

จางทัง : “ในเมื่อข้ายังไม่รู้จักนิสัยใจคอของนาง แน่นอนนางต้องเป็นคนดี แต่หากข้าได้
พูดคุยซักถามนางแล้วล่ะก็ นางต้องเป็นคนไม่ดีแน่ๆ”

ทันใดนั้นก็มีทหารนายหนึ่งเดินเข้ามาบอกว่า “ท่านเจ้าเมืองต้องการพบคนที่พวกเจ้าเรียกว่า
จิ่วเกอ


**********



ไท่จื่อตามทหารนายนั้นไปยังห้องรับรองของจวนเพื่อพบกับเจ้าเมืองเยี่ยนชื่อ แต่ทว่ากลับ
ไม่พบใครสักคนอยู่ที่นั่น จึงร้องโวยวายขึ้น “นำตัวข้ามาเพื่อจะสอบสวน แล้วท่านเจ้าเมือง
ไปไหนซะล่ะ ท่านเจ้าเมืองอยู่ไหน วู้ พวกเจ้าจะทำอะไรก็รีบทำ ข้าง่วงนอนจะแย่แล้ว”

สักพักเจ้าเมืองเยี่ยนชื่อก็ออกมาให้การต้อนรับ “หม่อมฉันหลิวซิ่น เป็นผู้ว่าการของเมือง
เยี่ยนชื่อ ขอถวายบังคมไท่จื่อ(องค์รัชทายาท) ขอพระองค์ทรงพระเจริญ พันปี พันพันปี”

ไท่จื่อ : “นี่ก็เที่ยงคืนแล้ว(半夜三更) เป็นเวลาที่เจ้าให้การรับรองแขกอย่างนั้นหรือ”
[ขออธิบายเกี่ยวกับสำนวน “半夜三更(ปั้นเย่ซันเกิง)” บันทึกไว้เป็นความรู้สักเล็กน้อย
“半夜三更” มาจาก “半夜(ปั้นเย่)” กับ “三更(ซันเกิง)” ซึ่งต่างมีความหมายเดียวกัน หมายถึง ช่วงเวลาเที่ยงคืน

ในปัจจุบันเราได้แบ่งช่วงเวลาออกเป็น 24 ชั่วโมง สำหรับจีนโบราณในหนึ่งวันเค้าทำการแบ่งช่วงเวลาออกเป็น 12 时辰(สือเฉิน)

1 时辰(สือเฉิน) ถ้านำมาเทียบเคียงจำนวนช่วงเวลาของยุคปัจจุบันก็จะมีค่าเท่ากับ 2 ชั่วโมง

ในช่วงสมัยราชวงศ์ฮั่นมีการใช้สัญลักษณ์ของ 12 地支(ตี้จือ - พลังดิน) ได้แก่
子(จื่อ - ธาตุน้ำ พลังหยาง) 丑(โฉ่ว - ธาตุดิน พลังหยิน)
寅(หยิน - ธาตุไม้ พลังหยาง) 卯(เหม่า - ธาตุไม้ พลังหยิน)
辰(เฉิน - ธาตุดิน พลังหยาง) 巳(ซื่อ - ธาตุไฟ พลังหยิน)
午(อู่ - ธาตุไฟ พลังหยาง) 未(เว่ย - ธาตุดิน พลังหยิน)
申(เซิน - ธาตุโลหะ พลังหยาง) 酉(โหย่ว - ธาตุโลหะ พลังหยิน)
戌(ซีว์ - ธาตุดิน พลังหยาง) 亥(ไห้ - ธาตุน้ำ พลังหยิน)
มาเป็นตัวแทนของแต่ละสือเฉิน ดังนี้
子时辰(จื่อสือเฉิน) เทียบเคียงกับเวลาปัจจุบันคือ ช่วงเวลาตั้งแต่ 23 นาฬิกา ถึง 1 นาฬิกา
丑时辰(โฉ่วสือเฉิน) เทียบเคียงกับเวลาปัจจุบันคือ ช่วงเวลาตั้งแต่ 1 นาฬิกา ถึง 3 นาฬิกา
寅时辰(หยินสือเฉิน) เทียบเคียงกับเวลาปัจจุบันคือ ช่วงเวลาตั้งแต่ 3 นาฬิกา ถึง 5 นาฬิกา
卯时辰(เหม่าสือเฉิน) เทียบเคียงกับเวลาปัจจุบันคือ ช่วงเวลาตั้งแต่ 5 นาฬิกา ถึง 7 นาฬิกา
辰时辰(เฉินสือเฉิน) เทียบเคียงกับเวลาปัจจุบันคือ ช่วงเวลาตั้งแต่ 7 นาฬิกา ถึง 9 นาฬิกา
巳时辰(ซื่อสือเฉิน) เทียบเคียงกับเวลาปัจจุบันคือ ช่วงเวลาตั้งแต่ 9 นาฬิกา ถึง 11 นาฬิกา
午时辰(อู่สือเฉิน) เทียบเคียงกับเวลาปัจจุบันคือ ช่วงเวลาตั้งแต่ 11 นาฬิกา ถึง 13 นาฬิกา
未时辰(เว่ยสือเฉิน) เทียบเคียงกับเวลาปัจจุบันคือ ช่วงเวลาตั้งแต่ 13 นาฬิกา ถึง 15 นาฬิกา
申时辰(เซินสือเฉิน) เทียบเคียงกับเวลาปัจจุบันคือ ช่วงเวลาตั้งแต่ 15 นาฬิกา ถึง 17 นาฬิกา
酉时辰(โหย่วสือเฉิน) เทียบเคียงกับเวลาปัจจุบันคือ ช่วงเวลาตั้งแต่ 17 นาฬิกา ถึง 19 นาฬิกา
戌时辰(ซีว์สือเฉิน) เทียบเคียงกับเวลาปัจจุบันคือ ช่วงเวลาตั้งแต่ 19 นาฬิกา ถึง 21 นาฬิกา
亥时辰(ไห้สือเฉิน) เทียบเคียงกับเวลาปัจจุบันคือ ช่วงเวลาตั้งแต่ 21 นาฬิกา ถึง 23 นาฬิกา

ช่วงเวลาตั้งแต่ที่ท้องฟ้าเริ่มมืดจนเกือบสว่าง (19 นาฬิกา ถึง 5 นาฬิกา) “子时辰(จื่อสือเฉิน)”
ถือเป็นช่วงเวลากึ่งหนึ่งของช่วงเวลาที่ท้องฟ้ามืดมิด ซึ่งก็คือ “半夜(ปั้นเย่)”

ในรั้วในวังในช่วงเวลากลางคืนก็มีการแบ่งภาระหน้าที่การทำงานกันเป็น “更(เกิง)” หรือ “กะ”
เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพจึงกำหนด ช่วงเวลาของแต่ละกะไว้ประมาณ 1 时辰(สือเฉิน)
เมื่อครบกำหนดเวลาก็ทำการ “换更(ห้วนเกิง)” หรือ “เปลี่ยนกะ”
ช่วงเวลาของแต่ละ “更” หรือแต่ละ“กะ” เริ่มนับตั้งแต่ช่วงที่ท้องฟ้าเริ่มมืดก็ประมาณ 19 นาฬิกา
ไปจึงถึง 21 นาฬิกา เป็น“กะที่หนึ่ง” หรือ “一更(อี้เกิง)” จาก 21 นาฬิกา ไปจึงถึง 23 นาฬิกา
เป็น“กะที่สอง” หรือ “二更(เอ้อเกิง)” จาก 23 นาฬิกา ไปจึงถึง 1 นาฬิกา เป็น“กะที่สาม”
หรือ “三更(ซันเกิง)” จาก 1 นาฬิกา ไปจึงถึง 3 นาฬิกา เป็น “กะที่สี่” หรือ “四更(ซื่อเกิง)”
จาก 3 นาฬิกา ไปจึงถึง 5 นาฬิกา เป็น “กะที่ห้า” หรือ “五更(อู่เกิง)”

“子时辰(จื่อสือเฉิน)” หรือ “半夜(ปั้นเย่)” กับ “三更(ซันเกิง)” ต่างเป็นช่วงเวลาที่ท้องฟ้ามืดมิดมาได้กึ่งหนึ่งแล้ว

ดังนั้น “半夜三更(ปั้นเย่ซันเกิง)” จึงถูกนำมาใช้ในความหมายที่หมายถึงเวลาเที่ยงคืน]


หลิวซิ่น : “หม่อมฉันไม่รู้กาละเทศะ ทำให้พระองค์ไม่ทรงพอพระทัย โปรดอภัยโทษให้
หม่อมฉันด้วย ท่านฉลองพระองค์ด้วยชุดธรรมดา และหม่อมฉันเองก็เพิ่งจะทราบว่าท่านคือ
ไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ”

ไท่จื่อ : “ใครบอกเจ้าล่ะ คนจากฉางอันมาตามหาข้าหรือ”
หลิวซิ่นระล่ำระลักตอบ “ไม่..ไม่มีใครบอกหม่อมฉันหรอกพ่ะย่ะค่ะ แต่เป็นเพราะลักษณะ
ท่าทางและการวางตัวของพระองค์ที่ดูผิดแผกแตกต่างจากคนทั่วไปพ่ะย่ะค่ะ”

ไท่จื่อพูดแหย่เจ้าเมืองเยี่ยนชื่อ “อ้อ เจ้าก็เลยให้การต้อนรับข้าด้วยการส่งทหารไปจับตัว
ข้ามา ไม่เว้นแม้แต่ผู้ติดตามของข้า จับมาขังไว้ในห้องที่ไม่มีอาหาร ไม่มีน้ำ ไม่มีเตียง
ไม่มีที่นอน อย่างนี้ เจ้าต้องการจะทรมานข้าให้ตายหรืออย่างไร”

หลิวซิ่น : “ขอพระองค์ได้ทรงโปรดไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วย หม่อมฉันจะรีบดำเนินการจัด
เรือนที่พักสำหรับรับรองแขกผู้มีเกียรติให้พระองค์เป็นการด่วนเลยพ่ะย่ะค่ะ”

ไท่จื่อ : “ที่พักซอมซ่อที่นี่ของเจ้านะเหรอ แค่ให้พักสิบห้านาทีข้ายังไม่อยากจะอยู่เลย
ข้าไม่พักหรอก ข้าจะกลับไปยังที่พักของข้า”

หลิวซิ่นรีบเอ่ยห้าม “ไม่..ไม่..ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ พระองค์จะกลับไปพักที่โรงเตี๊ยมแห่งนั้น
ไม่ได้อีกเป็นอันขาด พวกชาวบ้านต่างทราบเรื่องราวของพระองค์เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้พวกเค้า
ต่างรวมตัวกันร้องเรียนให้หม่อมฉันติดตามจับตัวเจ้าฆาตกรฆ่าคนมาลงโทษอยู่พ่ะย่ะค่ะ”

ไท่จื่อ : “เรื่องดูแลความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยของชาวบ้านถือเป็นหน้าที่ของเจ้าอยู่
แล้วนี่”

หลิวซิ่น : “ก็ใช่ พ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อ : “แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วยล่ะ ข้าไม่คุยด้วยแล้ว ข้าไปล่ะ”
หลิวซิ่นเข้าไปขวางไท่จื่อ “วันนี้พระองค์ทรงเข้าร่วมงานเทศกาลจับกระต่ายด้วยใช่หรือไม่”
ไท่จื่อ : “เทศกาลจับกระต่ายรึ ข้าก็วิ่งไล่จับกระต่ายเหมือนคนอื่นๆ ข้าทำไม่ถูกตรงไหน
เหรอ”

หลิวซิ่น : “เอ่อ..แล้วพระองค์จับอ๋องกระต่ายได้ใช่หรือไม่”
ไท่จื่อ : “แน่น่อน ข้านี่แหละที่จับอ๋องกระต่ายได้ แต่ว่าถูกลูกชายของเจ้าจับตัวไปแล้ว
นะสิ ดีเลย เจ้ารีบไปบอกลูกชายของเจ้าให้นำตัวอ๋องกระต่ายมาคืนข้าโดยเร็ว”

หลิวซิ่นตะล่อมถามต่อไปว่า “แล้วช่วงเวลาที่พระองค์กำลังจับกระต่ายอยู่นั้น ได้มีเรื่องทะเลาะ
โต้เถียงกับคนๆหนึ่งหรือไม่”

“ทะเลาะโต้เถียงกับคนๆหนึ่งหรือ” ไท่จื่อนิ่งครุ่นคิด
“ก็หนุ่มคนที่กำลังทำพิธีฝังศพให้พ่อของเค้า คนที่เข้าไปขวางไท่จื่อไว้ยังไงพ่ะย่ะค่ะ”
“อืมใช่ ข้านึกออกแล้ว มีหนุ่มลักษณะที่เจ้าพูดถึง แต่อารมณ์แปลกมากๆ อยู่ๆก็คว้าไม้จะเข้า
มาทำร้ายข้า”

“แล้วหนุ่มคนนั้น ได้ใช้ไม้ทำร้ายพระองค์ด้วยหรือไม่”
“เค้าเหรอ จะทำอะไรข้าได้ แต่ว่าเพียงแค่ชั่วเวลาพริบตาเดียว อยู่ๆเค้าก็ล้มลงไปต่อหน้าข้า”
พูดจบไท่จื่อก็หัวเราะอย่างมีความสุข หลิวซิ่นได้ยินไท่จื่อหัวเราะจึงเอ่ยขึ้นว่า
“หนุ่มคนนั้นน่ะ ตายแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่ได้ยินหลิวซิ่นบอกว่าหนุ่มคนนั้นเสียชีวิตแล้ว ไท่จื่อก็หยุดหัวเราะอย่างฉับพลันพร้อมกับ
เอ่ยขึ้นว่า “ตาย!ไม่น่าเป็นไปได้ เค้าตายยังไงหรือ”
“ผลการชันสูตรศพ พบว่าโดนตีทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต ส่วนพวกชาวบ้านต่างต้องการอยากให้นำ
เอาชีวิตของฆาตกรคนนั้นมาไถ่โทษ ดังนั้นหม่อมฉันจึงรีบส่งคนไปนำตัวไท่จื่อมายังที่นี่ เพื่อให้
การปกป้องคุ้มครองพระองค์ การกระทำเช่นนี้อาจทำให้พระองค์ทรงตกพระทัยไปบ้าง ขอพระองค์
โปรดพระราชทานอภัยโทษให้กับหม่อมฉันด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

“เค้าตายแล้วจริงๆเหรอ แต่ทว่าข้ายังไม่ทันได้แตะต้องตัวเจ้าหนุ่มนั่นเลย เจ้าหนุ่มนั่นก็ล้มลง
ไปกับพื้นซะก่อน”

“ทรงคิดซะว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ ชะตาชีวิตกำหนดมาไว้อย่างนี้ แต่อย่างไรก็ตามเรื่องนี้หากปล่อยไว้
ก็จะยิ่งยุ่งวุ่นวายมากขึ้น หม่อมฉันคิดว่าจะส่งคนคุ้มครองพระองค์ ส่งเสด็จกลับเมืองหลวง
ในคืนนี้พ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้าจะพาข้าส่งกลับฉางอันรึ”
“ไม่เพียงจะส่งพระองค์เสด็จกลับถึงฉางอันเท่านั้น แต่ยังจะส่งพระองค์ให้ถึงพระหัตถ์ของหวงตี้
และไท่โห้วด้วย อย่างนี้หม่อมฉันถึงจะวางใจพ่ะย่ะค่ะ”

ไท่จื่อได้ยินปุ๊บก็รีบเอ่ยขึ้นทันทีว่า “เจ้าไม่ต้องพูดอีกแล้ว เรื่องจะกลับเมืองหลวงนี้ข้ากลับเอง
ได้ คงไม่ต้องรบกวนเจ้าหรอก”
พูดจบเสร็จไท่จื่อก็เดินจากไป แต่หลิวซิ่นเอ่ยทัดทานขึ้นว่า
“เดี๋ยวก่อนพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความปลอดภัยของพระองค์ ดังนั้นหม่อมฉันจะ
ละเลยวางเฉยไม่ได้เป็นอันขาด”
พูดจบก็ส่งเสียงร้องเรียกทหารนายหนึ่งเข้ามาพร้อมกับถามว่า
“พาหนะเดินทางของไท่จื่อ ตระเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง”
“เตรียมพร้อมแล้วครับ”
“กองทหารองครักษ์ล่ะ”
“ก็พร้อมออกเดินทางแล้วครับ”
“ดี งั้นก็เตรียมตัวออกเดินทางได้”
เมื่อสั่งทหารนายคนนั้นเสร็จ หลิวซิ่นก็หันมาบอกกับไท่จื่อ “เชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”
ภายในใจของไท่จื่อจริงๆแล้วยังไม่คิดอยากที่จะกลับเมืองหลวงแต่อย่างใด เมื่อได้ยินดังนั้นจึง
หัวเราะขึ้นพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “ท่านเจ้าเมือง ท่านสมกับเป็นข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์จงรักภักดี(忠臣)
ของราชวงศ์ฮั่นจริงๆแต่น่าเสียดายที่ท่านคงจะจำคนผิดซะแล้วล่ะ”

[忠臣 (จงเฉิน หรือ ตงฉิน) หมายถึงขุนนางผู้ซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อราชสำนัก ส่วนคำที่ตรงข้ามกับ 忠臣
ก็คือ 奸臣 (เจียนเฉิน หรือ กังฉิน) หมายถึง ขุนนางผู้คิดคดทรยศต่อราชสำนัก
น่าเศร้าใจที่ คณะรัฐบาลไทยชุดปัจจุบันภายใต้การนำของ มิสเตอร์ที ล้วนแล้วแต่เป็นพวก “เจียนเฉิน
“忠臣不怕死,怕死不忠臣” - จงเฉินปู๋ผ้าสื่อ ผ้าสื่อปู้จงเฉิน]

หลิวซิ่นได้ยินที่ไท่จื่อพูดจบก็เกิดอาการมึนงงเอ่ยถามขึ้นว่า “พระองค์ตรัสว่าอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าไม่ใช่คนที่เจ้าคิดว่าเป็นไท่จื่ออะไรนั่นหรอก ข้าเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาเท่านั้นเอง เจ้าจะ
ส่งข้ากลับฉางอันก็ไม่มีประโยชน์อันใด”

“แต่ว่าพระองค์เป็นคนยอมรับเองว่าคือไท่จื่อไม่ใช่หรือ”
ไท่จื่อตีหน้าตายเอ่ยขึ้นว่า “ข้ายอมรับอะไร ข้ายอมรับว่าข้าคือไท่จื่องั้นเหรอ เจ้าต่างหาก
ที่เป็นคนเรียกข้าว่าไท่จื่อ ข้ายังคิดว่าท่านตั้งชื่อให้ข้าเล่นๆซะอีก”

“พระองค์อย่ามาทรงล้อหม่อมฉันเล่นเลย ที่หม่อมฉันทำไปทั้งหมดก็เพื่อความปลอดภัยของ
พระองค์เองพ่ะย่ะค่ะ”

ไท่จื่อยังคงทำเป็นไขสือ “เจ้าพูดอะไรอ่ะ ข้าฟังไม่เห็นรู้เรื่องเลย ในเมื่อเจ้าคิดว่าข้าเป็น
ฆาตกรก็เข้ามาจับข้าได้เลย จับข้าเข้าคุกเลย จับสิ”


**********


หากท่านมีคำวิจารณ์หรือคำแนะนำโปรดไปเขียนไว้ที่หน้าสารบัญ




 

Create Date : 25 มกราคม 2549
0 comments
Last Update : 14 สิงหาคม 2549 19:06:28 น.
Counter : 2829 Pageviews.


WangAnJun
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add WangAnJun's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.