Group Blog
 
 
ธันวาคม 2548
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
29 ธันวาคม 2548
 
All Blogs
 

จอมจักรพรรดิ์ ฮั่นอู่ตี้ ภาค 1 - ตอนที่ 3, 4


สารบัญ | ตอนที่แล้ว | ตอนที่ 3 | ตอนที่ 4 | ตอนถัดไป

ตอนที่ 3 ตกหลุมรักสาวงามเนี่ยนหนูเจียว



คณะเดินทางของไท่จื่อได้แวะพักที่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง เพื่อทานของว่าง
จิบน้ำชา แทะเม็ดก๋วยจี๊ แล้วก็พูดคุยกัน
ก้วนฟูเมื่อไม่เห็นหลี่หลิงอยู่ในที่นั้นด้วยจึงพูดแซวขึ้นว่า
“เอ๊ะ จิ่วเกอ เจ้าเด็กน้อยหลี่หลิงตอนนี้ ข้าว่าป่านนี้คงหลบไปวิ่งเล่นอยู่ที่ไหน
สักแห่งเป็นแน่”

ก้วนฟูพูดยังไม่ทันขาดคำ หลี่หลิงก็เดินเข้ามาพอดีพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ข้าตามหาพวกเจ้าอยู่ตั้งนานแหนะ”
ก้วนฟูถามขึ้นว่า “นี่ หลี่หลิงเจ้าหายไปไหนมาตั้งนานแสนนาน”
กัวเส่อเหริน : “ฟังจากเสียงหายใจของเจ้า ดูแล้วท่าทางคงจะเหนื่อย
แล้วที่จิ่วเกอให้เจ้าตามชายหนุ่มคนนั้นไป เจ้าตามทันหรือเปล่า”

หลี่หลิงตอบยิ้มๆ “สำหรับเรื่องนี้ เจ้าไม่ต้องเอ่ยถามข้าอีกแล้ว”
ก้วนฟูยื่นถ้วยชาให้หลี่หลิงพร้อมกับเอ่ยว่า “เอ้า ดื่มชาแก้เหนื่อยสักหน่อย”
ไท่จื่อเองยังคงติดใจในความสามารถของตงฟางซั่วอยู่ ได้เอ่ยถามขึ้นว่า
“พวกเจ้าคิดว่าซินแสตงฟางนี่ ทำนายแม่นหรือไม่”
ก้วนฟู : “ข้าว่าอาชีพแบบนี้ มักหาเงินโดยอาศัยการพูดจาหลอกล่อให้คน
หลงเชื่อซะมากกว่า”

ไท่จื่อ : “แล้วเจ้าล่ะ จางทัง
จางทัง : “สำหรับตัวข้านั้นไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด”
ไท่จื่อ : “แต่ข้าคิดว่า ข้าอยากจะทดสอบความสามารถของตงฟางซั่วดูสักครั้ง”

**********

ไท่จื่อพร้อมด้วยจางทังและหลี่หลิง เดินทางไปหาตงฟางซั่วที่ร้าน เมื่อ
ไปถึงไท่จื่อบอกให้จางทังและหลี่หลิงรออยู่ด้านนอก ที่หน้าร้านของ
ตงฟางซั่วมีป้ายเขียนติดไว้ว่า ตงฟางซั่วผู้หยั่งรู้อนาคต สามคำทำนายต่อวัน
ครบสามแล้วหยุด”

ไท่จื่อเอ่ยถามตงฟางซั่วว่า “ท่านซินแส ยังทำนายไม่ครบสามใช่หรือไม่”
ตงฟางซั่ว : “ใช่ ข้ากำลังรอท่านเป็นรายที่สองอยู่น่ะ”
ไท่จื่อ : “ท่านมั่นใจว่าข้ามาเพื่อให้ท่านทำนายใช่หรือไม่”
ตงฟางซั่ว : “ใช่ เจ้ามาเพื่อให้ข้าทำนายตัวอักษร”
ไท่จื่อ : “แต่ว่าข้าไม่รู้จักตัวอักษรสักตัว”
ตงฟางซั่ว : “เจ้าพูดออกมาก็เหมือนกัน”
ไท่จื่อใช้เท้าเขียนตัวอักษร 一(อี ที่แปลว่าหนึ่ง) ลงไปที่พื้นแล้วพูดว่า
“งั้นท่านทำนายตัวอักษรตัวนี้ละกัน”
ตงฟางซั่ว : “เจ้าคิดอยากจะถามเรื่องอะไร”
ไท่จื่อ : “อนาคตของข้า”
ตงฟางซั่ว : “อนาคตของท่านยังต้องถามอีกเหรอ”
ไท่จื่อ : “แล้วท่านทำนายได้หรือไม่ล่ะ”
ตงฟางซั่ว : อี้จิง(易经 เป็นตำราคำสอนว่าด้วยเรื่องของการเปลี่ยนแปลง)
กล่าวไว้ว่า จากหนึ่งทำให้เกิดสอง จากสองกลายเป็นสี่ และจากสี่ไปเรื่อยๆก่อให้
เกิดสรรพสิ่งบนโลกมากมาย ดังนั้นตัวอักษร 一(อี) จึงถือว่าเป็นต้นกำเนิดของ
ทุกสิ่งทุกอย่าง พูดง่ายๆก็คือ จิ๋วจิ่วกุยอี(九九归一)”

ไท่จื่อ : “ท่านซินแสช่วยขยายความให้ข้าเข้าใจสักหน่อยได้หรือไม่”
(นั่นสิ ผู้แปลก็งงเหมือนกัน)
ตงฟางซั่ว : “อักษรที่เจ้าเลือกไว้ก็คือตัวอักษร 一(อี) แต่ว่าอักษรตัวนี้อยู่ที่
ปลายเท้าของเจ้า ความหมายก็คือเจ้านั้นคิดอยากจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน
(足登天下)ใช่หรือไม่”

ไท่จื่อได้ยินดังนั้นกระซิบบอกตงฟางซั่วว่า
“เจ้าอย่าได้พูดจาส่งเดชไป คำพูดเช่นนี้มีโทษถึงชีวิตเลยทีเดียวเชียว”
ตงฟางซั่ว : “ในเมื่อเจ้าให้ข้าทำนายอักษรตัวนี้ ข้าก็ว่าไปตามที่ข้าเห็น
ถ้าท่านไม่ไปเอ่ยให้ใครได้ยินแล้วล่ะก็ ตัวของข้าเองก็คงไม่เป็นไร”

หลี่หลิงเดินเข้ามาแล้วเอ่ยว่า “ท่านนี่ช่างพูดจาเหลวไหล จิ่วเกอของข้าไม่คิดจะ
กระทำเช่นนั้นแน่”

ตงฟางซั่วเอ่ยขึ้นว่า “ชีวิตคนเราขึ้นอยู่กับสามสิ่ง หนึ่ง โชคชะตา(命) สอง
โชควาสนา(运) สาม ฮวงจุ้ย(风水) เมื่อพูดถึงชะตาชีวิตของคุณชายของเจ้าคนนี้
แล้วถือว่าดีทีเดียวเป็นผู้สูงศักดิ์ เป็นถึงเชื้อพระวงศ์(命贵不可言) ส่วนฮวงจุ้ย
ของคุณชายของเจ้าก็มีลักษณะที่ดี มีทั้งเสือหมอบมังกรล้อม (风水虎踞龙盘)
ช่วยส่งเสริมให้สามารถขึ้นสู่จุดสูงสุดได้ แต่ทว่าโชควาสนาของคุณชายของเจ้าตอนนี้
ไม่ดีกำลังมีเคราะห์(运不佳) เจ้าลองมองดูที่ใบหน้าของคุณชายของเจ้า ที่หน้าผาก
ปรากฎรอยหมองคล้ำ ที่มุมปากก็ปรากฎเป็นรอยเส้นขึ้น ข้าเกรงว่าภายในสามวัน...”

ไท่จื่อ : “จะเกิดอะไรขึ้นหรือ”
ตงฟางซั่ว : “ข้าไม่กล้าเอ่ย”
ไท่จื่อ : “เจ้าบอกข้ามาเถอะ ข้าอยากทราบเรื่องร้ายๆของข้า”
ตงฟางซั่ว : “เกรงว่าคุณชายจะมีเคราะห์ถึงขึ้นต้องเข้าคุก”
ไท่จื่อได้ยินดังนั้นหัวเราะออกมาอย่างไม่เชื่อในคำพูดของตงฟางซั่ว
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้ารู้สึกประหลาดใจมากที่เจ้าพูดออกมาเช่นนี้ สำหรับค่าทำนายของเจ้าจะ
ให้ข้าให้เจ้าในตอนนี้ หรือว่าต้องรอให้ข้าพิสูจน์ดูผลลัพธ์คำทำนายของเจ้าเสียก่อน
หลังจากนั้นจึงค่อยให้เจ้า”

ตงฟางซั่ว : “แน่นอนต้องเป็นไปตามกฎที่ข้าได้ตั้งไว้”
ไท่จื่อ : “ก็ได้ ถ้าภายในสามวันนี้ข้าต้องติดคุกหรือแม้แต่เข้าไปอยู่ในคุกเพียงแค่
เสี้ยววินาทีแล้วล่ะก็ ข้าจะเพิ่มเงินให้เจ้าเป็นสองเท่า แต่ถ้าสามวันให้หลังข้ายังอยู่ดี
ไม่เป็นอะไรล่ะ”

ตงฟางซั่วพูดขึ้น “เป็นไปไม่ได้”
ไท่จื่อ : “ข้าต้องการให้เจ้าบอกข้าว่า เจ้าจะทำอย่างไร”
ตงฟางซั่ว : “ถ้างั้นข้าจะเข้าไปอยู่ในคุกแทนท่านเอง”
ไท่จื่อหันไปบอกหลี่หลิงกับจางทัง “เจ้าทั้งสองคนได้ยินแล้วนะ”
หลี่หลิงกับจางทัง : “ได้ยินแล้ว”

**********

ที่บริเวณชายป่าแห่งหนึ่ง ก้วนฟูที่กำลังยืดเส้นยืดสายอยู่เอ่ยขึ้นเล่นๆว่า
“จิ่วเกอ ถ้าข้าได้ไปกับท่านนะด้วย ข้าคงต้องถล่มร้านของตงฟางซั่วไปแล้ว”
หลี่หลิง : “แต่ว่าตงฟางซั่วคนนี้ คำพูดของเค้าบรรยายออกมาเหมือนมี
ตาทิพย์(有鼻子有眼)เลย แถมยังกล้าพนันกับจิ่วเกออีก”

ไท่จื่อ : “ดูเหมือนตงฟางซั่วจะเดาสถานะภาพของข้าออก หลี่หลิงเจ้าว่า
อย่างงั้นไหม”

หลี่หลิง : “ข้าไม่ทราบ”
ไท่จื่อเอ่ยว่า “เจ้านี่ ไม่ได้เรื่อง”
ก้วนฟูรีบเข้ามาร่วมวงว่าหลี่หลิงด้วย “เจ้านี่ ไม่ได้เรื่อง”
ไท่จื่อหันไปถามความเห็นของจางทังจางทัง เจ้าคิดว่าไง”
จางทัง : “ข้าว่าคำพูดของตงฟางซั่วดูไปแล้วก็น่าเชื่อถือ(弦外有音)”
ไท่จื่อ : “ประโยคไหน”
จางทัง : “ประโยคที่ว่า จิ๋วจิ่วกุยอี(九九归一) กับ
ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน(足登天下)”

ไท่จื่อเอ่ยชมชึ้นว่า ตงฟางซั่วคนนี้ ความสามารถช่างร้ายกาจจริงๆ(真厉害)”
จางทัง : “เค้าเอาชื่อของจิ่วเกอกับตำแหน่งของผู้ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
มารวมเข้าไว้ด้วยกัน”

ก้วนฟู : “เอาน่า ข้าว่าอย่าเพิ่งปักใจเชื่อตงฟางซั่วมาก เค้าอาจจะได้ยินพวกเรา
เรียกจิ่วเกอว่า ไท่จื่อ ก็ได้นะ จิ่วเกอ

กัวเส่อเหรินพูดเสริมขึ้น ก้วนฟู เจ้าพูดดูมีเหตุผล ต้องเป็นเจ้าเด็กน้อยหลี่หลิงเผลอ
พูดออกมาแน่ๆ”

หลี่หลิงร้อนตัว “อ้าว ทำไมเจ้าพูดจาเช่นนี้ล่ะ”
กัวเส่อเหริน : “หรือเจ้าว่าไม่ใช่”
หลี่หลิงหันไปหาพวก “ท่านพี่จาง ท่านเป็นพยานให้ข้าได้นี่ ว่าข้าได้พูดออกมาหรือเปล่า”
จางทังเอ่ยขึ้น “ยังไงซะคำทำนายของเค้าก็น่าจะมีส่วนถูกอยู่บ้าง(无风不起浪)
ตงฟางซั่วคนนี้บางทีดูลุ่มลึกจนยากจะอ่านใจออก(深不可测) บางทีก็ดูเหมือนจะ
พูดจาเหลวไหลเพ้อเจ้อ(胡言乱语) แต่ข้าคิดว่าเนื่องด้วยสถานะภาพของจิ่วเกอเองที่
เป็นถึงเชื้อพระวงศ์คงยากที่จะเกิดคดีความ(触犯刑律)ขึ้น แต่อย่างไรก็ตามพวกเราคง
ต้องระวังกันให้มากขึ้น(小心一二)”


**********

ที่ร้านของตงฟางซั่ว พ่อค้าที่อยู่ร้านใกล้ๆถามขึ้นว่า
“ซินแสตงฟาง ท่านน่าจะปิดร้านได้แล้วล่ะ”
ตงฟางซั่ว : “วันนี้ข้าเพิ่งจะรับทำนายไปเพียงสองรายเท่านั้น ยังขาดอีกหนึ่งนะ”
พ่อค้า : “ตะวันใกล้จะตกดินแล้ว คงไม่มีลูกค้ามาให้ท่านทำนายหรอก”
ตงฟางซั่ว : “ไม่หรอก คนที่จะมาให้ข้าทำนายได้มาถึงแล้ว”
พูดยังไม่ทันขาดคำ ก็ได้มีเสลี่ยงคันหนึ่งมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านของตงฟางซั่ว
ภายในเสลี่ยงมีหญิงสาวหน้าตางดงามนางหนึ่งนามว่า เนี่ยนหนูเจียว(念奴娇)นั่งอยู่
นางลุกออกมาจากเสลี่ยงก้าวเดินเข้ามาหาตงฟางซั่วแล้วถามขึ้นว่า
“ท่านคือซินแสตงฟางหรือไม่”
ตงฟางซั่ว : “ไม่ผิด”
เนี่ยนหนูเจียวถามต่อว่า “แล้วในหนึ่งวันท่านจะรับทำนายให้เพียงสามครั้ง ใช่หรือไม่”
ตงฟางซั่ว : “ใช่”
เนี่ยนหนูเจียว : “ข้าอยากทราบเหตุผลว่าทำไม”
ตงฟางซั่ว : “คำทำนายหลังจากทำนายครั้งที่สามไปแล้ว มันจะไม่ขลัง”
เนี่ยนหนูเจียว : “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ท่านได้ให้คำทำนายไปแล้วกี่ครั้ง”
ตงฟางซั่ว : “สองครั้ง”
เนี่ยนหนูเจียว : “ถ้าอย่างนั้นข้าก็มาไม่เสียเที่ยว ข้าอยากให้ท่านทำนายให้ข้าสักหน่อย”
ตงฟางซั่ว : “ข้าดูเจ้าแล้วคิดว่าคงไม่ต้องทำนายก็ได้”
เนี่ยนหนูเจียว : “ไม่คิดว่าท่านซินแสก็มีการปฏิเสธลูกค้าที่ต้องการมาให้ท่านทำนาย”
ตงฟางซั่ว : “เป็นเพราะใบหน้าของแม่นางแฝงไว้ด้วยความวิตกกังวล ภายในใจถูกรบกวน
ไม่มีที่สิ้นสุด คงไม่ต้องให้ข้าทำนายหรอก ตัวเจ้าเองก็ทราบดี เพียงแต่เจ้ามันเก็บไว้ในใจโดย
ไม่ต้องคิดถึงมันอีกแค่นี้เจ้าก็จะดีขึ้น”

เนี่ยนหนูเจียว : “เก็บไว้ในใจยิ่งทำให้ใจร้อนรุ่มกันไปใหญ่”
ตงฟางซั่ว : “เมื่อใจสงบจึงเกิดความเยือกเย็น(心静自然凉)”
เนี่ยนหนูเจียว : “แต่ข้าทำไม่ได้”
ตงฟางซั่ว : “ข้าว่ายังไงซะแม่นางก็คงตื้อให้ข้าทำนายให้อยู่ดี ถ้างั้นแม่นางเลือกตัวอักษร
มาละกัน”

เนี่ยนหนูเจียว : “งั้น ข้าให้ท่านทำนายตัวอักษร 念(เนี่ยน)ละกัน”
ตงฟางซั่ว : “念(เนี่ยน แปลว่า ความคิด)”
ตงฟางซั่วเขียนตัวอักษร 念 ลงไปที่แผ่นกระดาษไม้ แล้วพูดขึ้นว่า
“ปีนี้เจ้าคงอายุประมาณยี่สิบปีแล้วใช่หรือไม่”
เนี่ยนหนูเจียว : “ใช่”
ตงฟางซั่ว : “เจ้าคิดอยากจะถามเรื่องอะไร”
เนี่ยนหนูเจียว : “เรื่องที่อยู่ในใจของข้า”
ตงฟางซั่ว : “ความคิด(念)ที่อยู่ในใจ ทำให้วิตกหวั่นไหวทุกวันคืน”
ตงฟางซั่ว : “แม่นาง ในใจของเจ้าคิดถึงคนคนหนึ่ง และในใจของเจ้าก็ถูกรบกวนด้วยคน
คนนี้ตลอดเวลา”

เนี่ยนหนูเจียว : “แล้วคนคนนี้เป็นชาย หรือว่าเป็นหญิง”
ตงฟางซั่วดูที่ตัวอักษรแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ที่ยืนด้านข้างคือหญิง ส่วนคนที่นั่งคือชาย
แท้จริงแล้วคือชาย”

เนี่ยนหนูเจียวแสร้งถามขึ้นต่อไปอีก “ถ้างั้นชายผู้นี้คือญาติของข้าหรือว่าคนรักของข้า”
ตงฟางซั่วสั่นหัวแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง”
เนี่ยนหนูเจียว : “ถ้างั้นชายผู้นี้เป็นใคร”
ตงฟางซั่ว : “ข้าเกรงว่า ชายผู้นี้คือศัตรูที่เจ้าคิดอยากจะแก้แค้น”
เนี่ยนหนูเจียวคิดไม่ถึงว่าตงฟางซั่วจะทายถึงสิ่งที่อยู่ในใจของนางได้ถูกต้อง
แต่ยังคงเสแสร้งพูดต่อไปอีกว่า “เหลวไหล ข้าเองอายุก็ยังไม่มาก ยังวัยเยาว์อยู่ เสื้อผ้าอาหาร
หรือก็มี ไม่เดือดร้อน แล้วข้าจะมีคนที่ข้าคิดอยากจะแก้แค้นได้อย่างไร”

ตงฟางซั่ว : “ตัวอักษรของเจ้าเป็นผู้บอกข้าเอง ถ้าชายผู้นี้ไม่จากไปซะ(此人若不去)
ก็ยากที่ใจ(心) จะมีวันเป็นอิสระ(心字难出头)”

(ขออธิบายเพิ่มเติมสักเล็กน้อย คำว่า 念 นี้ประกอบด้วยตัวอักษร 心(ซิน) อยู่ที่ด้านล่าง
และตัวอักษร 今(จิน แปลว่า นี้, ในเวลานี้) อยู่ด้านบน โดยที่ตัวอักษร 今 มีคำว่า 人
(เหริน แปลว่า คน) เป็นตัวประกอบอยู่ ในใจของเนี่ยนหนูเจียวคิดแต่คอยที่จะแก้แค้น
บุคคลผู้หนึ่งอยู่ตลอดเวลา(เค้าคนนั้นคือใคร และเพราะเหตุใด คงต้องติดตามกันต่อไป)
ตงฟางซั่วได้พูดเป็นนัยว่า ถ้าได้กำจัดบุคคลผู้นี้ หรือตัดคำว่า 人 ตัวนี้ออกไปได้ก็เท่ากับ
ได้ปลดปล่อยเนี่ยนหนูเจียวให้พ้นจากพันธนาการที่ค้างคาอยู่ในใจ)
เนี่ยนหนูเจียวหยิบเงินขึ้นมาแล้วพูดว่า “ท่านจะทำนายผิดก็ตอนนี้เอง ข้าขอขอบคุณสำหรับ
คำชี้แนะ”
พูดเสร็จก็ส่งเงินให้ตงฟางซั่ว แล้วเดินกลับไปขึ้นเสลี่ยง
ตงฟางซั่วพูดขึ้น “แม่นาง โปรดรับเงินกลับไปด้วย ถ้าหากว่าคำทำนายไม่ถูก ตงฟางซั่วไม่
สมควรที่จะรับเงินนี้ไว้”
พูดจบก็โยนเงินส่งกลับไปให้ที่เสลี่ยง
เนี่ยนหนูเจียวเห็นดังนั้นจึงกล่าวขึ้นว่า “คิดซะว่า นี่เป็นเงินที่ข้ามอบให้ท่าน อย่าถือว่าเป็นเงิน
สำหรับค่าทำนายเลย”
พูดจบเนี่ยนหนูเจียวก็โยนเงินส่งกลับไปให้ตงฟางซั่ว
ตงฟางซั่วเอ่ยขึ้น “ถ้าคำทำนายไม่ถูกข้าก็ไม่ขอรับเงินนี้ไว้”
แล้วก็โยนเงินส่งกลับไป แต่ว่าเงินนี้กลับไปตกอยู่ที่พื้นข้างๆเสลี่ยง ไท่จื่อเดินเข้ามาพอดี
จึงเก็บเงินดังกล่าวยื่นส่งคืนไปให้ที่เนี่ยนหนูเจียว
ไท่จื่อ : “แม่นาง เงินนี่เป็นของแม่นางหรือเปล่า”
เนี่ยนหนูเจียวตอบ “เงินนี้ไม่ใช่ของข้าหรอก” พูดจบก็บอกคนแบกเสลี่ยงให้ออกเดินทาง
ไท่จื่อแค่ได้เห็นหน้าเนี่ยนหนูเจียวเท่านั้นก็เกิดตกหลุมรักในทันที
กัวเส่อเหรินกับจางทังเดินเข้ามาสมทบ
กัวเส่อเหรินแซวขึ้นว่า “จิ่วเกอ ท่าจะตกหลุมรักแม่นางคนนั้นเข้าซะแล้ว”
ไท่จื่อตอบแก้เขินว่า “ข้าเห็นพวกเค้าโยนเงินส่งกันไปมาอยู่หลายรอบ ก็แค่ช่วยเหลือเพียงเล็ก
น้อยเท่านั้น”

กัวเส่อเหริน : “จิ่วเกอ หากว่าเริ่มต้นด้วยดีก็จะลงท้ายด้วยดี(善始就要善终)
ต้องการให้ข้านำเงินนี้ไปส่งคืนให้หรือไม่”

ไท่จื่อ : “ให้เจ้านะเหรอ ถ้าจะคืนเงินนี่ ข้าต้องคืนให้ด้วยมือของข้าเอง”
กัวเส่อเหรินพูดขึ้น “ข้าเข้าใจแล้ว ครั้งนี้ท่านวางใจได้เลย” พูดจบก็เดินออกไปสืบข่าว
ของเนี่ยนหนูเจียว
ไท่จื่อหยิบเงินขึ้นมาดมแล้วเอ่ยขึ้น “เงินนี่ช่างหอมจริงๆ”
จางทังพูดขัดขึ้น ไท่จื่อแต่งชุดชาวบ้านแล้วออกจากวังมาครั้งนี้ เฉินอาเจียว(陈阿娇)
รู้เรื่องหรือไม่”

ไท่จื่อได้ยินเข้าอารมณ์บ่จอยทันที “ทำไมข้าจะต้องบอกอาเจียวด้วยล่ะ”
จางทังยังเอ่ยขึ้นอีก “อาเจียวคงจะคิดถึงจิ่วเกอแน่ๆ”
ไท่จื่อพูดเสียงเข้ม “เจ้านี่ชอบพูดทำลายบรรยากาศเสียจริง ใช่ว่าข้าจะสนุกจนลืมไม่คิดที่จะกลับ
วังซะเมื่อไหร่ ไหนๆก็ออกจากวังมาแล้ว ห้ามเอ่ยถึงอาเจียวอีก คนที่อยู่ที่ฉางอันก็ห้ามเอ่ยถึงด้วย”

จางทังได้แต่เอ่ยรับคำ




ตอนที่ 4 ตะลุยไห่ถังชุน



ที่พระตำหนักของก่วนเถากงจู่ (馆陶公主 หรือ องค์หญิงก่วนเถา มีศักดิ์เป็นอาหญิงของไท่จื่อ)
เฉินอาเจียวกำลังบ่นให้ก่วนเถากงจู่ผู้เป็นมารดาฟัง (เฉินอาเจียวผู้นี้เป็นคู่หมั้นคู่หมายของไท่จื่อ
ตั้งแต่ยังเด็ก มีอายุมากกว่าไท่จื่อ เป็นผู้มีบุคลิกลักษณะนิสัยเอาแต่ใจตนเอง ถือเอาความคิดของ
ตนเองเป็นใหญ่ เวลาพูดกับก่วนเถากงจู่ก็ไม่ค่อยจะให้ความเคารพมารดาของตนเองสักเท่าไร
และมักไม่ค่อยไว้หน้าคู่สนทนา)
ไท่จื่อไม่อยู่ในวังแล้ว เสด็จแม่ ลูกละร้อนรุ่มกลุ้มใจเสียจริง แล้วยังมีพวกทหารรักษาวังพวกนั้นอีก
ไม่รู้ว่ากินข้าวกับอะไรกัน หม่อมฉันเห็นแล้วรู้สึกรำคาญลูกตาอยากจะจับมาตัดคอเสียให้หมดเลย”

ก่วนเถากงจู่เอ่ยขึ้น “เจ้าทำอย่างนั้นไม่ได้นะ แม่รู้ที่ไท่จื่อเสด็จออกนอกวังไป คงทำให้เจ้าร้อนรุ่มใจ”
เฉินอาเจียวพูดสวนขึ้นมาว่า “ถ้าหากเกิดเรื่องขึ้นกับไท่จื่อ จะทำอย่างไรดีล่ะเสด็จแม่ แล้วถ้าหาก
ระหว่างทางเกิดไปพบกับพวกซุงหนู หรือพวกโจรเข้าล่ะ แล้วยังถ้าหากเกิดไปโดนรถม้าทับ หรือโดน
ม้าเหยียบเข้า จะให้หม่อมฉันทำอย่างไรดีล่ะเสด็จแม่”

ก่วนเถากงจู่ : “ใจเย็นๆลูก ใช่ว่าไท่จื่อเสด็จไปโดยลำพังพระองค์เดียวซะที่ไหนกันล่ะ ที่ติดตาม
ไท่จื่อไปมีทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านบุ๋น(文) และก็บู๊(武) พวกเค้าคงไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้นกับไท่จื่อหรอก”

เฉินอาเจียวยังคงบ่นต่อไปอีก “ไม่รู้ล่ะ เสด็จแม่ ที่จะแย่ที่สุดก็คือพวกคนที่ติดตามไท่จื่อไปนะสิ
รอให้พวกเค้ากลับมาก่อนเถอะ หม่อมฉันจะเรียกมาตบบ้องหูเป็นรายคนเลย คอยดู”

ก่วนเถากงจู่ : “คงไม่ต้องถึงมือเจ้าหรอก ไท่โห้วก็คงจะทรงลงโทษพวกนั้นเองแหละ”
เฉินอาเจียว : “แต่ว่าทางไท่โห้วเอง ไม่เห็นทรงทำอะไรเลย เสด็จแม่ลองคิดดู ถ้าเกิดแมวของ
พวกชาวบ้านหายไปสักตัว ป่านนี้ก็ออกไปตามหาแล้ว แต่ว่านี่เป็นองค์รัชทายาทหายไป ไท่โห้วกลับ
นิ่งเฉย ไม่เห็นส่งคนตามหา หม่อมฉันล่ะไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าในใจของไท่โห่วตอนนี้ทรงคิดอะไรอยู่
เอ หรือว่าไท่โห่วไม่ทรงทราบว่า ไท่จื่อเป็นผู้ที่จะสืบราชบังลังก์ต่อไปในอนาคต”

ก่วนเถากงจู่ : “เจ้าเด็กโง่ ไท่โห้วท่านทรงช่วยเหลืองานราชกิจมาตั้งหลายปี มีหรือที่ท่านจะไม่
รู้เรื่องพวกนี้ ท่านคงมีวิธีที่ดีที่จะจัดการของท่านหรอก”

เฉินอาเจียว : ไท่โห้วมี แต่ลูกไม่มี ไม่รู้ล่ะ ตอนนี้ลูกคิดว่าจะเข้าไปในวัง ไปบอกไท่โห้วว่าลูก
ต้องการคน”

ก่วนเถากงจู่ : “ลูกแม่ เจ้าไปไม่ได้นะ ไท่จื่อทรงเป็นองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์ฮั่น ไม่ได้เป็นของ
ของเจ้าแต่เพียงผู้เดียวนะ”

เฉินอาเจียวเถียงขึ้นว่า “ทำไมจะไม่ใช่ ก็ไท่จื่อเป็นสามีของลูกนี่”
ก่วนเถากงจู่ : “แล้วเจ้าผ่านพิธีอภิเษกสมรสแล้วหรือยังล่ะ ประโยคที่เจ้าพูดมานี่ หากใครได้ยินเข้า
คงได้หัวเราะเจ้าเป็นแน่”

เฉินอาเจียว : “ใครมันบังอาจหัวเราะลูก ลูกจะไปฉีกปากมัน”
ก่วนเถากงจู่ : “เจ้าดูอารมณ์ของเจ้าตอนนี้สิ อารมณ์ร้อนแบบนี้ ผู้ชายคนไหนจะกล้ามาขอเจ้าแต่งงาน”
เฉินอาเจียว : “จะมีผู้ชายคนไหนที่กล้าคิดล่ะ ลูกคือสาวที่กำลังจะเป็นภรรยาของไท่จื่อ และในอนาคต
ก็จะเป็นหวงโห้ว เป็นแม่ของแผ่นดิน ยังจะต้องให้คนอื่นคิดถึงลูกอีกเหรอ ท่านแม่อย่าทัดทานลูกเลย
ลูกจะเข้าวังแล้ว”

ก่วนเถากงจู่ : “ข้าบอกแล้วไงว่าเจ้าเข้าวังไปไม่ได้ เจ้าดูข้างนอกสิ ใกล้จะมืดแล้ว ประตูวังคงปิดแล้วล่ะ”
เฉินอาเจียว : “เป็นเพราะเสด็จแม่นั่นแหละ ที่ยื้อลูกอยู่ได้ เสด็จแม่ลูกขอบอกไว้เลยว่า ถ้าไท่จื่อทรง
เป็นอะไรไปแล้วล่ะก็ หากครอบครัวของเราไม่มีความสุขแล้ว ก็อย่าได้หวังว่าราชวงศ์ฮั่นจะมีความสุข
ลูกพูดแล้วต้องทำได้ ลูกจะเข้าวังแล้ว”

พูดจบปุ๊บ เฉินอาเจียวก็สบัดหน้าเดินลิ่วลิ่วออกจากบ้านไปทันทีไม่ฟังเสียงทัดทานจากก่วนเถากงจู่
ที่ไล่ตามหลังไปว่า “เจ้าอย่าไป เจ้าอย่าไป”

**********

ที่ห้องพักของไท่จื่อ กัวเส่อเหรินเดินเข้ามาเห็นไท่จื่อกำลังนอนหลับอยู่บนเตียงอย่างสบายอุรา
จึงคิดแกล้งโดยนำผ้าที่มีกลิ่นหอมมาสะบัดพัดไปมาที่ปลายจมูกของไท่จื่อ ทำเสียงเล็กเสียงน้อย
เลียนเสียงหญิงสาวเอ่ยขึ้นว่า จิ่วเกอ จิ่วเกอ
ไท่จื่อลืมตาขึ้นมาถามว่า “เจ้าทราบที่อยู่ของนางแล้วเหรอ”
กัวเส่อเหริน : “แน่นอน หากข้าไม่สืบให้ได้ความแล้วล่ะก็ จะกล้าบากหน้ากลับมาพบท่านได้อย่างไร”
ไท่จื่อ : “แม่นางคนนั้น เป็นคุณหนูของขุนนางบ้านไหนเหรอ”
กัวเส่อเหริน : “นางไม่ใช่ลูกสาวบ้านขุนนาง”
ไท่จื่อ : “งั้นก็ลูกสาวเศรษฐี”
กัวเส่อเหริน : “ก็ยังไม่ใช่ ลูกสาวชาวบ้านก็ยิ่งไม่ใช่”
ไท่จื่อ : “ข้าไม่เดาแล้ว เจ้ารีบบอกข้ามาโดยเร็ว”
กัวเส่อเหริน : จิ่วเกอ ท่านเอียงหูมาแล้วข้าจะบอก”
ไท่จื่อไม่ทำตาม กัวเส่อเหรินจึงเอ่ยกำชับ “ท่านเอียงหูมาสิ”
เมื่อไท่จื่อเอียงหูมาแล้ว กัวเส่อเหรินก็เอ่ยขึ้นว่า
“ข้าไปที่ไห่ถังชุน(海棠春) แล้วพบว่าแม่นางเนี่ยนหนูเจียวอยู่ที่นั่น”
ไท่จื่อ : ไห่ถังชุน?”
กัวเส่อเหริน : “ใช่ ข้าได้ยินมาว่าในตัวเมืองเยี่ยนชื่อ ไห่ถังชุน เป็นสำนักนางคณิกาที่ขึ้นชื่อที่สุด
และที่นั่นก็มีสาวงามชื่อดัง นามว่า เนี่ยนหนูเจียวด้วย”

ไท่จื่อโพล่งออกมาเสียงดังว่า เนี่ยนหนูเจียว ต้องใช่แม่นางคนนั้นแน่ๆ”
กัวเส่อเหริน : จิ่วเกอ ท่านอย่าพูดเสียงดังไปสิ เดี๋ยวจางทังรู้เข้า ข้าต้องแย่แน่ๆ”
พูดยังไม่ทันขาดคำไท่จื่อก็เอ่ยขึ้นว่า “พวกเรารีบไปกันเถอะ”

**********

ในตอนค่ำที่จวนของเจ้าเมืองเยี่ยนชื่อ ชายชุดดำ(จากตอนที่สอง)ได้นำสาสน์จากอ๋องเหลียงหวังมายื่น
ให้กับหลิวซิ่น(刘信 ชื่อของเจ้าเมืองเยี่ยนชื่อ) หลิวซิ่นรับมาอ่านแล้วเอ่ยขึ้นว่า
“เจ้าเป็นคนที่อ๋องเหลียงหวังส่งมาเหรอ เชิญนั่ง เชิญนั่ง”
เมื่อชายชุดดำเดินไปนั่งที่โต๊ะ หลิวซิ่นก็ถามขึ้นว่า “เจ้ามาถึงนี่ได้กี่วันแล้วล่ะ”
ชายชุดดำตอบ “ข้าเพิ่งมาถึงวันนี้”
หลิวซิ่น : อ๋องเหลียงหวังคงสบายดี”
ชายชุดดำ : อ๋องเหลียงหวังให้ข้ามาบอกท่านว่า โอกาสดีที่ยากจะหาได้ บัดนี้ได้มาเยือนท่านแล้ว”
หลิวซิ่น : “ที่เจ้าพูดมานี่หมายความว่าอย่างไร ข้าฟังไม่เข้าใจ เจ้าช่วยพูดให้กระจ่างหน่อย”
ชายชุดดำ : ไท่จื่อ ตอนนี้ได้เดินทางมาถึงเมืองเยี่ยนชื่อแล้ว”
หลิวซิ่นเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ ไท่จื่อ เสด็จมาถึงที่นี่แล้ว ทำไมข้าไม่ได้รับรายงานล่ะ”
ชายชุดดำ : ไท่จื่อทรงแต่งองค์ด้วยชุดธรรมดาออกจากวัง ดังนั้นท่านจึงไม่ทราบ”
หลิวซิ่น : “หรือว่ามีคนถวายรายงานให้หวงซ่าง(皇上 คำใช้เรียกแทน หวงตี้)ทราบเกี่ยวกับข้า
หวงซ่างเลยส่งไท่จื่อมาเพื่อตรวจสอบ”

ชายชุดดำ : “ท่านอย่างเพิ่งวิตกไป หวงซ่างไม่ทรงทราบในเรื่องนี้”
หลิวซิ่น : “ถ้างั้นไท่จื่อทรงออกจากวังมาอย่างลับๆ”
ชายชุดดำ : “เทศกาลจับกระต่ายของเมืองเยี่ยนชื่อ มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือโด่งดังไปไกล เลยทำให้
ไท่จื่อทรงสนพระทัยเสด็จมาถึงที่นี่”

หลิวซิ่น : “ในเมื่อไท่จื่อทรงเสด็จออกจากวังมาอย่างลับๆ สมควรที่ข้าจะต้องรีบส่งคนไปอารักขา
ความปลอดภัยโดยเร็ว”

ชายชุดดำ : “ไม่ต้องหรอกท่าน ความหมายของอ๋องเหลียงหวังก็คือ ในเมื่อไท่จื่อไม่ได้ทรงแจ้งล่วงหน้า
ให้ท่านมาต้อนรับ ท่านก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรกับการมาของไท่จื่อซะ”

หลิวซิ่น : “จะให้ข้าทำอย่างนั้นได้อย่างไร ไท่จื่อทรงเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ ส่วนตัวข้านั้นเป็นข้ารับใช้ของ
พระองค์ ในเมื่อทรงเสด็จมาอยู่ในพื้นที่ของข้า หากเกิดเรื่องขึ้น ข้าอาจจะต้องได้รับโทษถึงชีวิตทั้งตระกูล
เลยทีเดียว”

ชายชุดดำพูดย้ำว่า “ในเมื่อไท่จื่อทรงเสด็จมาที่เยี่ยนชื่ออย่างลับๆไม่ได้เปิดเผยให้ผู้ใดทราบ แล้วท่านจะมี
ความผิดได้รับโทษได้อย่างไรกัน”

หลิวซิ่น : “แล้วถ้าสมมติว่าเมืองเยี่ยนชื่อของข้านั้นเกิดการจราจลขึ้นล่ะ”
ชายชุดดำ : “งั้นก็ถือว่าเป็นคราวเคราะห์ของไท่จื่อเอง”
หลิวซิ่นได้ยินดังนั้น รู้สึกโกรธ เอามือทุบโต๊ะ แล้วเอ่ยขึ้น
“เหลวไหล เจ้าเป็นใคร ถึงบังอาจพูดจาออกมาเช่นนี้”
ชายชุดดำ : “ข้าเป็นคนของอ๋องเหลียงหวัง
หลิวซิ่นเอ่ยขึ้น “เจ้าโกหก” แล้วร้องเรียกสั่งลูกน้องให้คุมตัวชายชุดดำไว้พร้อมกับเอ่ยว่า
“พวกเจ้านำตัวชายผู้นี้ ไปสอบเค้นหาความจริงออกมาให้ได้”
ชายชุดดำ : “ดูเหมือนท่านไม่ปรารถนาที่จะมีความก้าวหน้าในตำแหน่ง”
หลิวซิ่น : “ที่เจ้าพูดมานั้น ข้าไม่เชื่อคำพูดของเจ้าแม้แต่คำเดียว เจ้าหน้าที่นำตัวออกไปโบย”
ชายชุดดำเอ่ยขึ้น “ช้าก่อน ในเมื่อข้าได้แสดงตัวว่าเป็นคนของอ๋องเหลียงหวังท่านก็สมควรที่จะนำตัวข้า
ส่งไปคุมขังไว้ที่เมืองฉางอัน(长安) แล้วแจ้งให้อ๋องเหลียงหวังทราบ จากนั้นจะลงโทษข้าด้วยการฆ่า
หรือสับร่างข้าเป็นชิ้นๆ หรือจะให้ม้าแยกร่างของข้า ก็สุดแล้วแต่อ๋องเหลียงหวังจะเป็นผู้พิจารณาลงโทษ
ท่านไม่มีสิทธิ์มาใช้ศาลเตี้ยกับข้า”

หลังจากที่ชายชุดดำพูดจบ หลิวซิ่นครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วร้องบอกให้เจ้าหน้าที่ถอยออกไป
จากนั้นก็เอ่ยถามอย่างคลางแคลงใจขึ้นว่า “ที่เจ้าพูดมานี้ เจ้าเป็นคนของอ๋องเหลียงหวังจริงรึ?”

**********

กัวเส่อเหรินชี้ให้ไท่จื่อดูที่อาคารสีแดงหลังหนึ่ง ที่ด้านข้างของอาคารแห่งนี้ มีป้ายเขียนบอกไว้ว่า
สำนักนางคณิกาไห่ถัง ที่ด้านหน้าประตูของของอาคาร มีเสียงของเหล่าบรรดาหญิงสาวส่งเสียง
ดังเจี๊ยวจ๊าว ทั้งเรียกแขก และส่งแขก ทั้งสองก้าวเดินเข้าไปในอาคาร หญิงกลางคนซึ่งเป็นผู้จัดการสำนัก
ได้ออกมาต้อนรับพร้อมกับเหล่าบรรดาสาวๆ นางได้เอ่ยถามไท่จื่อว่า “สาวๆเหล่านี้ ท่านสนใจแม่นาง
คนไหนเป็นพิเศษหรือไม่”

ไท่จื่อกล่าวตอบขึ้นว่า เนี่ยนหนูเจียว



หากท่านมีคำวิจารณ์หรือคำแนะนำโปรดไปเขียนไว้ที่หน้าสารบัญ




 

Create Date : 29 ธันวาคม 2548
0 comments
Last Update : 16 เมษายน 2549 16:07:36 น.
Counter : 12083 Pageviews.


WangAnJun
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add WangAnJun's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.