It's All I Have to Bring Today !
Group Blog
 
 
ธันวาคม 2559
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
27 ธันวาคม 2559
 
All Blogs
 

▶▶▶จุดเริ่มต้นที่ทำให้คนเข้าใจวัดพระธรรมกายผิดมาจนทุกวันนี้




 จากการพาดหัวข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ เรื่องวัดพระธรรมกายรังแกชาวนา ได้ตกเป็นข่าวเกรียวกราว จนยอดขายหนังสือพิมพ์พุ่งพรวดหลายวันติดต่อกัน และตามมาติดๆ ด้วยข่าววัดสะสมอาวุธสงคราม มีสถานีวิทยุส่งคลื่นสัญญาณเพื่อก่อการร้าย!!

..และนับแต่นั้นมา ก็มีคนเข้าใจภาพลักษณ์ของวัดผิดๆ แบบชนิดฝังใจมาจนกระทั่งปัจจุบัน!!

แต่ในทางกลับกัน มีคนจำนวนหลายหมื่นเข้าวัดอย่างเหนียวแน่น และต่อเนื่องมาโดยตลอด อีกทั้งคนกลุ่มนั้นยังเป็นถึงกลุ่มปัญญาชน มีทั้งระดับดอกเตอร์ ระดับมันสมองของเมืองไทย กลุ่มคหบดีผู้มั่งคั่งของประเทศ หรือแม้กระทั่งชาวบ้านระดับรากหญ้า ต่างก็กรูกันเข้าวัดด้วยกระแสศรัทธาอันแรงกล้าจำนวนเรือนแสน

 จากประเด็นที่เป็นปมคาใจอย่างไม่จบสิ้นจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ทางทีมงานขออนุญาตเป็นตัวแทนสื่อมวลชนทุกแขนง ในการเจาะข้อมูลในระดับลึกแบบคำต่อคำ จากผู้เกี่ยวข้องโดยตรงในเหตุการณ์นั้น ซึ่งท่านเป็นผู้ใหญ่ระดับสูงของบ้านเมือง ที่มีฉายาทางการเมืองว่า "คลังสมองแห่งชาติ" หรือ "ลูกหม้อ ของกระทรวงมหาดไทย" ..ท่านโกสินทร์ เกษทอง อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงมหาดไทย ซึ่งดำรงตำแหน่งมาถึง ๒ สมัย



 "ผมเคยเป็นนายอำเภอคลองหลวง ท่านทราบเรื่องปัญหาชาวนากับวัดซึ่งเป็นข่าวไม่จบไม่สิ้น ซึ่งผมก็ได้ข่าววัดจากหน้าหนังสือพิมพ์ และคนรอบข้าง ที่ล้วนแล้วแต่เป็นข่าวทาง ด้านลบทั้งสิ้น

แม้ตอนเพิ่งย้ายมาที่นี่ใหม่ๆ แต่ละคนก็ด่าวัด ด่าพระให้ผมฟังทุกวัน เขาพูดแรงจนกระทั่ง ทำให้ผมมาคิดว่า ผมน่าจะเข้าไปดูหน่อย หากวัดไม่ดีมากขนาดนี้วัดคงอยู่ไม่ได้ แต่นี่ยังอยู่ได้ แสดงว่าต้องมีอะไรดีอยู่บ้าง


ผมจึงให้คนขับรถพาผมเข้าวัด โดยที่วัดเองก็ไม่ทันได้ตั้งตัวอะไรทั้งสิ้น
 เมื่อไปถึงผมก็สำรวจโน่น สำรวจนี่ เดินไปเดินมาจนมาเจอเด็กวัด ที่เรียกกันว่าอุบาสก ซึ่งเรียนจบถึงปริญญาตรีจากจุฬาฯ คณะสัตวแพทย์ ปัจจุบันท่านบวชอุทิศชีวิตแล้ว ชื่อพระอาจารย์สุรัตน์ อคฺครตโน ซึ่งตอนนั้นผมประทับใจท่านมาก



ที่ได้เข้ามาทำการต้อนรับถามไถ่ พาผมไปดูสไลด์ประวัติการสร้างวัด พอดูเสร็จ ผมก็บอกให้เขาช่วยพาไปดูใต้โบสถ์หน่อย เพราะร่ำลือกันว่าเป็นที่ซ่อนอาวุธสงคราม เป็นสถานีวิทยุส่งสัญญาณก่อการร้าย พอเปิดเข้าไป ไม่เห็นเจออย่างที่ลงข่าว เลย เจอแต่เสื่อ และก็กระเบื้องที่เอาไว้ซ่อมโบสถ์และเครื่องอัฐบริขาร




จากนั้นผมเลยถามเขาต่อว่า พระที่นี่พักกันที่ไหน จำวัดกันอย่างไร เพราะร่ำลือ กันว่า พระที่นี่กินอยู่สบาย กินข้าวร้อน นอนตื่นสาย ติดแอร์นอน ซึ่งพอเขาพาไปดู ก็เป็นเพียงกุฏิหลังคามุงด้วยใบจาก


 เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็เจอกลด เอาไว้นั่งสมาธิ และเอาไว้จำวัดกันในนั้นเลย พอเห็นประจักษ์อย่างนี้ ผมก็เลยทักขึ้นว่า พระจำวัดกันอย่างนี้หรือ ทำไมไม่เห็นมีอะไรเลย คือไม่เห็นเหมือนกับข่าวลือที่เขาบอก และเมื่อผมดูอะไร ทุกอย่างเสร็จ จนหายสงสัยแล้ว ผมจึงเข้าไปพบหลวงพ่อทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย"



จากเดิมทีเดียววัดมีเนื้อที่ ๑๙๖ ไร่ ต่อมามีคนเข้าวัดจนล้น จึงมีความจำเป็นต้องขยายพื้นที่ เพราะคนมามาก จะไปห้ามไม่ให้เขามา หรือเขามาแล้วจะไปไล่เขาไป ก็ไม่ใช่เรื่องที่พระจะไปทำอย่างนั้น ดังนั้นจึงทำการขอซื้อที่ดินกึ่งบริจาคจากเจ้าของที่ โดยสาธุชนที่มาวัดกันในสมัยนั้น ก็ เห็นพ้องต้องกัน ยินดีช่วยกันบริจาคเงินด้วยจิตศรัทธา เชิญชวนญาติพี่น้องให้เข้ามาช่วยขยายพื้นที่จำนวน ๒,๐๐๐ ไร่


"..ซึ่งหลังจากมีการซื้อที่ดินแล้ว วัดถูกมอง ว่าเป็นวัดรวย คนรอบข้างวัด ก็คิดหาประโยชน์จากการขยายพื้นที่ทันที โดยมีนายใหญ่สมคบกับ นายบานเย็น นักก่อม็อบ โวยวายหาว่าวัดรังแกชาวบ้าน วัดขับไล่ชาวบ้านอย่างไม่เป็นธรรม หนำซ้ำยังเรียกหนังสือพิมพ์ไปทำข่าว ว่าจะ กระโดดตึกห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แถวปิ่นเกล้า กทม. เพราะทนวัดรังแกไม่ไหว จนเป็นข่าวพาดหัว หนังสือพิมพ์อยู่หลายวัน ตามด้วยข่าววัดสะสมอาวุธสงคราม ซึ่งตอนนั้นคนก็เชื่อกันเหลือเกิน..."



ในฐานะที่ผมเป็นนายอำเภอของที่นี่ ก็เข้ามาศึกษาข้อมูลทั้งหมดตั้งแต่แรก มาอ่านคำร้องของชาวนา มาดูในเรื่องกฎหมายการเช่า พบว่าหลังจากมีการซื้อที่ดินแล้ว ชาวนาที่เคยเช่าที่ดินกับเจ้าของเดิมไม่ยอมออก ซึ่งคณะกรรมการ จัดซื้อที่ดินก็เห็นใจ และได้ปฏิบัติอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง โดยได้ทำหนังสือแจ้งให้ ผู้เช่านารู้ล่วงหน้าก่อนถึง ๗ ปี ว่าจะเลิกสัญญาเช่า ซึ่งคณะกรรมการฯ ก็ยอมเริ่มนับหนึ่งให้พวกเขาใหม่ แต่เมื่อรอจนถึง ๗ ปี เขาก็ไม่ยอมออก ก็ไม่ว่าอะไร จึงรอเพิ่มอีกหลายปี ซึ่งเขาก็ไม่ยอมออกอีก ทั้งๆ ที่คณะกรรมการฯ ยอมจ่ายค่ารื้อถอนบ้านให้หลังละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ทำให้มีชาวบ้านหัวใสเอาลังสบู่ มาตอกเป็นบ้านผุดขึ้นในช่วงข้ามคืนอีกหลายหลัง เพื่อนำมาเรียกร้องค่ารื้อถอนกับคณะกรรมการฯ ซึ่งผมไปดูพื้นที่เองทำให้เห็นกับตา แต่คณะกรรมการฯ ก็ยอมจ่ายให้ไม่เอาเรื่อง เพราะพวกชาวบ้านรู้ว่า ยังไงคณะกรรมการฯ ก็ต้องยอม เพราะคณะกรรมการฯ กลัวเสียชื่อเสียง มากไปกว่านั้นคนกลุ่มนี้ยังวางแผนเรียกร้องสิทธิ์ต่างๆ ทั้งๆ ที่ไม่มีสิทธิ์ที่ระบุไว้ตามกฎหมายเลย อีกทั้งยังก่อเรื่องให้เป็นข่าวพาดหัว ให้วัดเสียชื่อเสียงไม่เว้นแต่ละวัน

แต่ผม..ในฐานะผู้รักษากฎหมาย เห็นความไม่เป็นธรรมอย่างนี้ ก็ทนไม่ได้ จึงไปกราบหลวงพ่อ ทัตตชีโว รองเจ้าอาวาสว่าผมจะไปอัดมัน ท่านก็ดีแสนดี หลวงพ่อท่านก็ห้ามว่า อย่าๆๆ อย่าไปผูกเวรกับเขา เขาจะขอหลังละเท่าไหร่ ถ้าเหมาะสม ก็จะบอกบุญกับเจ้าภาพช่วยกัน เมื่อผมฟังอย่างนี้ ผมจึงเสนอว่าให้เอาเงินไปไว้ที่ศาลให้ศาลเป็นผู้จ่ายให้ หลังละ ๘๐,๐๐๐ บ้าง ๑๐๐,๐๐๐ บ้าง พวกนั้นก็รีบตาลีตาเหลือกไปรับเงินมาจนครบ ผมก็นึกว่าเรื่องจะจบ แต่ที่ไหนได้มารับเงินไปเรียบร้อยหมดแล้ว มีอยู่ประมาณ ๑๐ หลัง ไม่ยอมย้ายออกจากทั้งหมด ๖๐ กว่าหลัง ผมจึงต้องรื้อแล้วครับ เพราะถือว่าศาลได้ตัดสินให้ออกแล้ว"



เมื่อเหตุการณ์ออกมาในรูปแบบนี้ จะไปพูดว่าวัดรังแกชาวนาได้ยังไง แต่กลายเป็นอันธพาลมารังแกวัดถึงจะถูก


 เพราะผมเองเป็นผู้รู้เห็น และเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ต่างๆ หลายๆ เหตุการณ์ ตั้งแต่ชาวนามารื้อถอนสระบัวในวัด จับปลาปิ้งย่างกินแกล้มเหล้าในวัด แล้วด่าพระว่า ไอ้โล้น ต่างๆ นานา พอวัดสร้างรั้วกั้นไม่ให้เข้า ก็ยกพวกกันมารื้อถอนจนรั้วล้มเป็นแถว วิ่งเข้ามาทุบพระพุทธรูป ขโมยของวัด

 แม้วันงานทอดกฐินของวัดก็ยังไม่เว้น วิ่งโร่ถือคบเพลิงเข้ามาเผากุฏิไป ๒ หลัง พระเณรหนีเกือบไม่ทันแทบจะถูกไฟคลอกตายในกุฏิหลังคาจาก ซึ่งตอนนี้คนก่อกรรมก็ได้รับกรรมอย่างน่าสงสารให้เห็นๆ กันแล้วในชาตินี้"



 มา ณ วันนี้ แม้กรณีชาวนาจะยุติไปแล้วก็จริง แต่ภาพลักษณ์ของวัดก็ยังไม่ถูกแก้เลย เพราะข้อมูลแนวลึกแบบนี้ ยังไม่ถูกเปิดเผยใน แนวกว้าง เพราะธรรมชาติของหนังสือพิมพ์ของ บ้านเรา อะไรที่เป็นข่าวแนวลบ โหด โฉด แรงๆ หากนำมาพาดหัวข่าว จะทำให้หนังสือพิมพ์ขายดี ส่วนข่าวด้านดี หรือการแก้ข่าว ก็จะนำเสนอบ้างเป็น มุมเล็กๆ ที่คนไม่ค่อยเห็น ทำให้คนไม่ได้อ่านกัน"

"..นับจากนั้นเอง วัดก็ถูกจับตามองเรื่อยๆ ไม่ว่าจะทำอะไร ดูเป็นผิดไปหมด อย่างเช่น อยู่ๆ ก็มีคนถามผมว่า เดี๋ยวนี้วัดพระธรรมกายขายที่ดินบนสวรรค์หรือ..? ผมฟังแล้วก็นึกหัวเราะ

ลองนึกถึงหลักความจริงดูเถิดว่า ใครจะบ้าไปขายที่บนสวรรค์ หากขายจริง..ใครจะบ้าไปซื้อ สรุปก็คือวัดทำอะไร ก็ถูกมองในแง่ลบตลอด เป็นข่าวลือผิดๆ ตลอดเวลา ซึ่งคนที่พูดๆ กัน ก็ยังไม่เคยมาวัดเลย

และเมื่อมาพูดถึงเรื่องการโดนโจมตี พระที่เป็น นักปฏิบัติ เป็นพระอาจารย์สายปฏิบัติธรรมจริงๆ ก็ไม่เห็นมีใครมาว่าร้ายหลวงพ่อสักรูป

 ผมว่าให้ลองทำใจกลางๆ แล้วมาพิสูจน์ด้วยตัวเอง มาลองนั่งสมาธิดูก่อน อย่าไปเชื่อข่าว หรือฟังคนนั้นคนนี้พูด เพราะจะเป็นบาปกับตัวเอง แล้วยังเป็นการตัดโอกาสในการสร้างบุญของตัวเองไปอีกด้วย

Smiley
บทความโดย ท่านโกสินทร์ เกษทอง อดีตผช.รัฐมนตรี

คลิกอ่านรายละเอียดต่อ....




 

Create Date : 27 ธันวาคม 2559
3 comments
Last Update : 27 ธันวาคม 2559 2:07:18 น.
Counter : 1927 Pageviews.

 


บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้

ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
หอมกร Movie Blog ดู Blog
เตยจ๋า Topical Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 10 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น
----------------
คนพุทธจะรู้ตัวหรือเปล่านะว่ากำลังเกิดอะไรอยู่ในขณะนี้

 

โดย: ขุนเพชรขุนราม 27 ธันวาคม 2559 4:46:12 น.  

 

ขอส่งสคส.สวัสดีปีใหม่ 2560 ล่วงหน้า ขอให้คุณเตยจ๋าสุขภาพแข็งแรงทั้งกายใจชีวิตครอบครัวอบอุ่นมีแต่ความรักความสุขมากๆทั้งปีใหม่และปีต่อๆไปนะคะ

 

โดย: mastana 28 ธันวาคม 2559 15:18:46 น.  

 




 

โดย: ต้นกล้า อาราดิน 30 ธันวาคม 2559 11:09:18 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Turtle Came to See Me
Location :
พัทลุง Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 42 คน [?]





★ที่มา ล็อกอิน ★Turtle Came to See Me ★( บทกวี Poem )
เป็นหนังสือ สำหรับเยาวชน
★Turtle Came to See Me
แต่งโดย :Margrita Engle
★★★★



BlogGang Popular Award #11

BlogGang Popular Award #12
Friends' blogs
[Add Turtle Came to See Me's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.