It's All I Have to Bring Today !
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2555
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
5 ตุลาคม 2555
 
All Blogs
 
ผู้มีจิตตั้งมั่นไม่หวั่นไหว

ความศรัทธา เป็นทางมาแห่งความดีทั้งหลาย ผู้มีความศรัทธาเลื่อมใสในสิ่งที่ควรบูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลื่อมใสในพระรัตนตรัย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีทรัพย์อันประเสริฐ ถ้าหากว่ามีศรัทธาตั้งมั่นไม่หวั่นไหว บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า เป็นผู้ไม่ขัดสน ปรารถนาสิ่งใดจะสำเร็จประโยชน์ทุกเรื่อง จะเป็นผู้ที่เจริญอยู่ในกุศลธรรม และสามารถข้ามพ้นห้วงน้ำคือกิเลสอาสวะทั้งหลาย ไปสู่ฝั่งพระนิพพานได้


เราเกิดมาเพื่อสร้างบารมี การสร้างบารมีเป็นงานที่แท้จริงของมวลมนุษยชาติ พระบรมโพธิสัตว์ในกาลก่อนท่านก็ทำอย่างนี้ คือสร้างบารมีไปจนกว่าบารมีจะเต็มเปี่ยม ได้บรรลุจุดหมายปลายทางของชีวิต ดังนั้นเราเกิดมาภพชาติหนึ่ง ก็เพื่อสั่งสมบุญบารมีเท่านั้น บุญที่เราได้ทำไว้ดีแล้ว จะเป็นเสบียงในการเดินทางไกลในสังสารวัฏ เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายอันสูงสุดของชีวิต คือการทำใจให้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะไปสู่อายตนนิพพาน ได้เข้าถึงบรมสุขอันเป็นนิรันดร์


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเรื่องความศรัทธาไว้ว่า
“สทฺธีธ วิตฺตํ ปุริสสฺส เสฏฺฐํ
ศรัทธาเป็นทรัพย์อันประเสริฐของคนในโลกนี้
สทฺธา สาธุ ปติฏฺฐิตา
เมื่อศรัทธาแน่วแน่แล้ว ย่อมยังประโยชน์ให้สำเร็จ
สทฺธาย ตรติ โอฆํ
บุคคลจะข้ามโอฆะได้ ด้วยศรัทธา”


ความศรัทธา เป็นทางมาแห่งความดีทั้งหลาย ผู้มีความศรัทธาเลื่อมใสในสิ่งที่ควรบูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลื่อมใสในพระรัตนตรัย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีทรัพย์อันประเสริฐ ถ้าหากว่ามีศรัทธาตั้งมั่นไม่หวั่นไหว บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า เป็นผู้ไม่ขัดสน ปรารถนาสิ่งใดจะสำเร็จประโยชน์ทุกเรื่อง จะเป็นผู้ที่เจริญอยู่ในกุศลธรรม และสามารถข้ามพ้นห้วงน้ำคือกิเลสอาสวะทั้งหลาย ไปสู่ฝั่งพระนิพพานได้

* เมื่อครั้งสมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ทรงประกาศพระศาสนาอยู่นั้น ผู้มีบุญท่านหนึ่งอาศัยอยู่ในกรุงหงสาวดี ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระบรมศาสดา และได้เห็นพระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแต่งตั้งอุบาสกท่านหนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ ผู้เลิศกว่าอุบาสกทั้งหลายที่มีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยโดยไม่หวั่นไหว เมื่อได้เห็นดังนั้น ท่านเกิดความประทับใจเป็นอย่างยิ่ง จึงตั้งความปรารถนาที่จะเป็นอุบาสกผู้เลิศอย่างนั้นบ้าง

     ท่านจึงตั้งใจสั่งสมบุญบารมีอย่างเต็มที่ นับแต่ชาตินั้นเป็นต้นมา ด้วยบุญนั้นได้ส่งผลให้ท่านเวียนว่ายแต่ในสุคติภูมิ คือละจากโลกมนุษย์แล้วก็ไปบังเกิดในโลกสวรรค์ ได้เสวยสมบัติอันเป็นทิพย์ เมื่อจุติจากสวรรค์ก็ลงมาสร้างบารมีต่อในโลกมนุษย์ วนเวียนอยู่ในสองภูมินี้เท่านั้น ตลอดระยะเวลาหนึ่งแสนกัป จนมาถึงสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ท่านได้มาเกิดในตระกูลของมหาเศรษฐี มีชื่อว่า ปุรพันธะ เป็นผู้มีจิตใจดีงามขวนขวายในการทำความดีอย่างเนืองนิจ ในตอนแรกๆ ท่านมีความเลื่อมใสในนักบวชนอกพระพุทธศาสนา และได้ปวารณาตนเป็นอุปัฏฐากของนักบวชเหล่านั้น


     วันหนึ่ง พระบรมศาสดาทรงแผ่ข่ายพระญาณตรวจดูสัตว์โลกในเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นว่าปุรพันธะมีบุญที่จะได้บรรลุธรรม พระองค์จึงเสด็จไปบิณฑบาตที่หน้าบ้าน เมื่อปุรพันธะแลเห็นพระพุทธองค์ ท่านคิดว่า พระสมณโคดมทรงอุบัติในตระกูลกษัตริย์ และเป็นผู้ที่มหาชนรู้จักกันเป็นอย่างดี การที่เราจะไม่ไปกราบนมัสการพระพุทธองค์นั้น เป็นการไม่สมควร ท่านจึงเข้าไปกราบที่พระยุคลบาทของพระบรมศาสดาพร้อมทั้งรับบาตร แล้วอาราธนาพระองค์ให้เสด็จเข้าไปในเรือน


     เมื่อพระบรมศาสดาประทับนั่งบนพุทธอาสน์แล้ว ปุรพันธะได้ถวายภัตตาหารแด่พระองค์ เมื่อเสร็จภัตกิจแล้ว พระบรมศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนาที่พอเหมาะกับจริตอัธยาศัยของท่าน เมื่อจบพระธรรมเทศนา ปุรพันธะได้บรรลุโสดาปัตติผล เป็นพระโสดาบันบุคคล จากนั้นพระองค์จึงเสด็จกลับพระเชตวันมหาวิหาร


ช่วงสายของวันนั้นเอง พญามารคิดว่า ที่ผ่านมา ปุรพันธะอยู่ในอำนาจของเรา แต่ในวันนี้พระบรมศาสดาเสด็จไปในเรือนของเขา เขาจะได้บรรลุธรรมอันใดจากการฟังธรรมของพระพุทธองค์หรือเปล่าหนอ เราควรตรวจสอบดูว่า ปุรพันธะพ้นจากอำนาจของเราหรือยัง ว่าแล้วพญามารก็เนรมิตกายให้เหมือนกับพระบรมศาสดาที่ทรงจีวร และถือบาตร เสด็จดำเนินโดยอากัปกิริยาของพระพุทธเจ้า แล้วไปยืนอยู่ที่ใกล้ประตูบ้านของปุรพันธะ


     ปุรพันธะเมื่อเห็นพระบรมศาสดาเสด็จกลับมาอีก จึงคิดว่า ธรรมดาการเสด็จไปอย่างไม่แน่นอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่มี เหตุไรหนอพระองค์จึงเสด็จกลับมาอีก ท่านจึงรีบเข้าไปกราบพร้อมทั้งทูลถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงทำภัตกิจเสร็จแล้ว เหตุใดจึงเสด็จกลับมาอีก พระเจ้าข้า” พญามารกล่าวว่า “ดูก่อนปุรพันธะ ตอนที่เราแสดงธรรม ยังไม่ทันได้พิจารณา จึงแสดงธรรมแก่เธอขาดไปข้อหนึ่ง”


     ปุรพันธะคิดว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องแปลกประหลาดอย่างยิ่ง ตามธรรมดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย มีวาจาเป็นหนึ่ง ไม่ตรัสวาจาผิดพลาด จึงเกิดความเฉลียวใจขึ้นมา คิดใคร่ครวญว่า ธรรมดามารทั้งหลาย เป็นข้าศึกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สงสัยบุคคลผู้นี้ ต้องเป็นมารแน่นอน จึงถามกลับไปว่า “ท่านเป็นมารหรือ” ถ้อยคำที่อริยสาวกกล่าวนั้น เป็นเสมือนหนึ่งขวานอันคมกริบที่ฟาดฟันพญามาร พญามารตอบว่า “ใช่แล้ว เราคือพญามาร เรามาที่นี่เพื่อทำศรัทธาของท่านให้หวั่นไหว”


     ปุรพันธะชี้หน้าพญามารด้วยใจที่ไม่หวาดหวั่น พร้อมกับกล่าวว่า “เจ้ามารร้าย ผู้มีใจอำมหิต อย่าว่าแต่เจ้าผู้เดียวเลย แม้พวกมารเช่นเจ้าตั้งร้อย ตั้งพัน ก็ไม่อาจทำศรัทธาของเราให้หวั่นไหวได้ เจ้าจงไปให้พ้นประตูเรือนของเราเดี๋ยวนี้” ท่านได้ขับไล่พญามารออกไปด้วยความกล้าหาญ เมื่อมารฟังคำของอริยสาวกแล้ว ก็ถอยห่างออกไปเรื่อยๆ ไม่อาจพูดจาโต้ตอบ ในที่สุดก็อันตรธานหายไปในที่นั้นเอง


     ครั้นถึงเวลาเย็น ท่านไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา แล้วกราบทูลเรื่องราวที่ได้เจอกับพญามาร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสดับเรื่องราวทั้งหมดด้วยความปลื้มปีติ ทรงสรรเสริญชื่นชมอนุโมทนา และได้สถาปนาท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ ผู้เป็นเลิศกว่าเหล่าอุบาสก ผู้เลื่อมใสในพระรัตนตรัยไม่หวั่นไหว


     ดังนั้นชาวพุทธที่แท้จริง ต้องเป็นผู้ไม่หวั่นไหวดังเช่นท่านปุรพันธะ ที่มีศรัทธาเชื่อมั่นในพระรัตนตรัย ซึ่งข้อนี้เป็นคุณสมบัติประการแรกของสาธุชนในพระพุทธศาสนา คือจะต้องไม่คลอนแคลนในคำสอนของพระบรมศาสดา รู้จักใช้สติและปัญญา พิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจในทุกสิ่งที่ทำ เพราะถ้าหากไม่ใคร่ครวญให้ดีอาจก่อให้เกิดความเสียหายตามมาในภายหลังได้


การเป็นชาวพุทธที่สมบูรณ์ตามพระพุทธประสงค์นั้น นอกจากจะเป็นผู้มีความศรัทธามั่นในพระรัตนตรัย จนได้เข้าถึงพระรัตนตรัยแล้ว ยังจะต้องเป็นผู้มีศีล มีความบริสุทธิ์กาย วาจา ใจ เพราะศีลเป็นอาภรณ์อันประเสริฐ บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ย่อมหอมฟุ้งไปทั่วสารทิศ ผู้นั่งใกล้พระรัตนตรัยที่แท้จริงจะต้องมีจิตใจหนักแน่นมั่นคงในการสร้างความดี ไม่เป็นผู้ถือมงคลตื่นข่าว เมื่อมีเรื่องราวเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ทั้งดีหรือไม่ดีก็ตาม ต้องทำใจให้เป็นกลาง ไม่มีอคติ ไม่ยินดียินร้าย หรือหวั่นไหวไปตามกระแสโลก ถ้าเราไม่หวั่นไหวตามกระแสโลก โลกนี้ก็จะเป็นไปตามใจของเรา



พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหามุนี
นามเดิม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
* มก. เล่ม ๓๓ หน้า ๗๕

ขอบคุณพิเศษ ดีเอ็มซี



Create Date : 05 ตุลาคม 2555
Last Update : 5 ตุลาคม 2555 9:57:07 น. 0 comments
Counter : 1391 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Turtle Came to See Me
Location :
พัทลุง Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 42 คน [?]





★ที่มา ล็อกอิน ★Turtle Came to See Me ★( บทกวี Poem )
เป็นหนังสือ สำหรับเยาวชน
★Turtle Came to See Me
แต่งโดย :Margrita Engle
★★★★



BlogGang Popular Award #11

BlogGang Popular Award #12
Friends' blogs
[Add Turtle Came to See Me's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.