It's All I Have to Bring Today !
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2556
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
25 มิถุนายน 2556
 
All Blogs
 
ตัณหาไม่สิ้นสุด

โลกอันตัณหาย่อมนำพาไป อันตัณหาย่อมผลักไสไป โลกทั้งหมดเป็นไปตามอำนาจของธรรมอย่างหนึ่ง คือตัณหา บัณฑิตพึงรู้โทษของตัณหาว่า เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ พึงเป็นผู้ปราศจากตัณหา ไม่ถือมั่น มีสติอยู่ทุกเมื่อ




การที่มนุษย์จะมีความสุขได้ ต้องเริ่มต้นที่จิตใจของแต่ละคนกัน ก่อน  ใจนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของความสุข หากถ้าใจเป็นสุขแล้ว ทุกอย่างก็จะพลอยดีตามไปด้วย ที่คนเราหาความสุขไม่ค่อยได้นั้น เนื่องมาจากความทะยานอยาก หรือบางครั้งอาจไม่มีความทะยานอยากในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง แต่กลับเป็นทุกข์ใจกับอดีต เพราะไปจมอยู่กับอดีตที่เคยผิดพลาด ถ้าไปนึกถึงความผิดพลาดที่ผ่านแล้ว จะทำให้ใจเราเศร้าหมอง ซ้ำร้ายกว่านั้น ยังวิตกกังวลกลัวไปถึงในอนาคตอีก จนกลายเป็นมะเร็งร้ายในอารมณ์ที่บั่นทอนสุขภาพจิต ถ้าเราอยากมีความสุขหลุดพ้นจากอารมณ์อันไม่น่าปรารถนา เราต้องรู้จักปลดปล่อยวางไม่ไปนึกคิดถึงมัน เปลี่ยนอารมณ์ไม่ดีนั้นให้มาเป็นอารมณ์ดี ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ทำความดี อย่าให้ใจว่างจากกุศลธรรม และดีที่สุดต้องหมั่นฝึกฝนอบรมใจ ด้วยการเจริญสมาธิ(Meditation)ภาวนา แล้วเราจะพบกับความสุขที่แท้จริง

  • มีวาระแห่งพระพุทธภาษิตใน ตัณหาสูตร ความว่า

                              "ตณฺหาย นียติ โลโก     ตณฺหาย ปริกิสฺสติ
                               ตณฺหาย เอกธมฺมสฺส     สพฺเพว วสมนฺวคู

     โลกอันตัณหาย่อมนำพาไป อันตัณหาย่อมผลักไสไป โลกทั้งหมดเป็นไปตามอำนาจของธรรมอย่างหนึ่ง คือตัณหา”





ตัณหา คือความทะยานอยาก ที่ทำให้มนุษย์ต้องแสวงหากันไม่มีที่สิ้นสุด ชีวิตจึงไม่มีการหยุดนิ่ง ยิ่งแสวงหา ยิ่งห่างไกลจากตัวตนที่แท้จริง จากสัจธรรมความเป็นจริง แม้ได้สิ่งหนึ่งมาก็ยังไม่เพียงพอ ยังอยากได้ในสิ่งที่ดีกว่ายิ่งๆ ขึ้นไป การแสวงหาความพอใจในเบญจกามคุณ ยากที่จะทำให้เต็มอิ่มได้ เรื่องนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสถึงอดีตชาติของพระองค์เองให้พระภิกษุสงฆ์ฟังว่า



     * ในยุคต้นกัป มีพระเจ้ามหาราชพระองค์หนึ่ง เสวยสิริราชสมบัติเป็นบรมกษัตริย์ในยุคต้นๆ พระองค์ทรงมีพระราชโอรสพระนามว่าพระเจ้าโรชราช พระเจ้าโรชราชมีพระราชโอรสพระนามว่า พระเจ้าวรโรชราช และมีการสืบสันติวงศ์ต่อมาอีก ๔ พระองค์ จนถึงยุคของพระเจ้ามันธาตุราช




     พระเจ้ามันธาตุราชในสมัยนั้น คือพระบรมโพธิสัตว์ของเรา ซึ่งมาบังเกิดเพื่อที่จะสั่งสมบารมีให้แก่รอบ ท่านเป็นผู้มีบุญญาธิการมาก เป็นพระเจ้าจักรพรรดิสมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ มีฤทธานุภาพแผ่ไปในทวีปใหญ่ทั้ง ๔ มีทวีปน้อย ๒,๐๐๐ เป็นบริวาร ไม่มีผู้ใดบังอาจเป็นศัตรูกับพระองค์ เพราะทรงเอาชนะด้วยธรรม ทรงปกครองทวีปน้อยใหญ่โดยธรรม ให้มนุษย์มีศีล ๕ เป็นอยู่อย่างสะดวกสบายด้วยบุญของพระเจ้าจักรพรรดิ และบุญของพสกนิกรที่ประพฤติธรรม




     วันหนึ่ง ขณะทรงทดสอบกำลังพระบารมีของพระองค์เอง ทรงปรบพระหัตถ์เพื่อเรียกฝนรัตนะ ทันใดนั้นเอง ห่าฝนรัตนะ ๗ ประการก็ตกลงมาจากอากาศ ทำให้ทั่วภาคพื้นปฐพีดารดาษไปด้วยรัตนชาติสูงท่วมหัวเข่า เป็นสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง บรรดาสมบัติทั้งหมดที่มีอยู่บนโลกมนุษย์นี้ พระองค์ทรงมีชนิดที่ว่าเลิศที่สุด แต่พระองค์ก็ยังไม่พอพระทัยจึงตรัสถามมหาอำมาตย์ว่า




     “สิ่งที่ทำความเพลิดเพลินในโลกนี้ เรามีพร้อมหมดแล้ว สุดยอดแห่งเบญจกามคุณทั้งหลายเราได้ครอบครองแล้ว ยังมีที่ใดอีก ที่จะยังความสำราญให้แก่เราได้ นอกเหนือจากในโลกมนุษย์นี้”




     มหาอำมาตย์ขุนพลแก้วกราบทูลว่า “สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา พระเจ้าข้า น่ารื่นรมย์กว่าโลกมนุษย์นี้” พระองค์ทรงเห็นชอบด้วย จึงทรงจักรรัตนะพร้อมด้วยมหาอำมาตย์ข้าราชบริพารเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา  เมื่อเสด็จไปถึง ท้าวมหาราชทั้ง ๔ เสด็จมาต้อนรับปฏิสันถารอย่างยิ่งใหญ่มโหฬาร เพราะพระบรมโพธิสัตว์ทรงมีบุญบารมีมาก ท้าวเธอทั้ง ๔ จึงทูลเชิญให้เถลิงสิริมหาสมบัติในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา




     แต่ถึงกระนั้น นานวันเข้า พระองค์ทรงเบื่อหน่ายในเบญจกามคุณอันเป็นทิพย์ในชั้นจาตุมหาราชิกา จึงตรัสถามมหาราชทั้ง ๔ ว่า “ความสุขสำราญที่ยิ่งกว่าสวรรค์ชั้นนี้มีไหม” ท้าวมหาราชตรัสตอบว่า “มีพระเจ้าข้า ชั้นดาวดึงส์น่ารื่นรมย์กว่านี้” พระองค์จึงอำลาท้าวมหาราชทั้งหลาย บ่ายหน้าไปยังดาวดึงส์เทวโลก




     เมื่อไปถึงดาวดึงส์เทวสถาน ท้าวสักกเทวราช พร้อมด้วยเทพบุตรเทพธิดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ทรงมาให้การต้อนรับปฏิสันถาร ท้าวสักกะทรงรู้ความประสงค์ของพระโพธิสัตว์ จึงแบ่งทิพยสมบัติในดาวดึงส์ให้ปกครองครึ่งหนึ่ง




     ตั้งแต่นั้นมาพระโพธิสัตว์กับท้าวสักกเทวราชต่างเสวยทิพยสมบัติร่วมกัน พระโพธิสัตว์เสวยทิพยสมบัติยาวนานถึง ๓ โกฏิ ๖ หมื่นปี ในระหว่างนี้ได้มีท้าวสักกเทวราชจุติและอุบัติขึ้นใหม่ผ่านไปถึง ๓๖ พระองค์ ที่พระโพธิสัตว์สามารถเสวยทิพยสมบัติยาวนานกว่าท้าวสักกะทุกพระองค์ เพราะมนุษย์ในยุคต้นกัป มีอายุยืนเป็นอสงไขยปี




     เมื่อพระโพธิสัตว์ได้รับความสุขสบายในเทวโลก ก็เกิดความทะยานอยากขึ้นอีก ปรารถนาจะได้ความเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว ทรงมีดำริที่จะปกครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทั้งหมด จึงคิดหาอุบายที่จะปลงพระชนม์พระอินทร์ แต่ไม่สามารถทำได้ ยิ่งคิดวรรณะยิ่งหมองคล้ำ ครั้นอยากจะทำเช่นนั้นแต่ทำไม่ได้ ทำให้รู้สึกอึดอัดพระทัย จึงเกิดโทสะอย่างแรงกล้าขึ้นภายในใจ ทันใดนั้นความชราภาพปรากฏขึ้นมา พระวรกายก็ซูบซีดเศร้าหมอง แล้วร่วงพลัดตกลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ลงไปอยู่พระราชอุทยานของพระองค์ทันที




     นายอุทยานเห็นดังนั้นรีบนำความไปกราบทูลราชตระกูล ราชตระกูลพากันมาเข้าเฝ้า และจัดที่บรรทมถวายในพระราชอุทยาน พระโพธิสัตว์ทรงได้สำนึก จึงให้ป่าวประกาศไปทั่วทวีป ให้มหาชนมาฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับพระองค์ เพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจแก่มหาชนว่า




     “ท่านทั้งหลายจงดูเราผู้กำลังจะละสังขารไป เราได้เสวยมหาสมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง เสวยทิพยสมบัติทั้งในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาและชั้นดาวดึงส์อยู่ตลอดกาลนาน แต่ความปรารถนาในเบญจกามคุณก็ยังไม่เพียงพอ เรามีจิตคิดประทุษร้ายจึงพลัดตกลงมาอย่างน่าอนาถ ขอท่านทั้งหลายจงอย่าได้ขวนขวายในเบญจกามคุณเลย ขึ้นชื่อว่าเบญจกามคุณทั้งหลาย ทั้งในโลกนี้และในเทวโลก ยากที่จะทำให้เต็มอิ่มได้ ขอท่านทั้งหลายจงละตัณหาความทะยานอยาก แล้วประพฤติธรรมให้บริบูรณ์เถิด จะได้มีสุคติภพอันวิเศษเป็นที่ไป” เมื่อสิ้นสุดพระโอวาท พระโพธิสัตว์ก็สวรรคตและเสด็จไปตามยถากรรมของพระองค์




     จะเห็นได้ว่า ตัณหาความทะยานอยากนั้นเป็นภัยและเป็นทุกข์ใหญ่หลวง ที่ทำให้ผู้มีบุญตลอดจนสรรพสัตว์ทั้งหลายต้องตกอยู่ในวังวนของสังสารวัฏ ต้องเวียนว่ายตายเกิดกันร่ำไปไม่มีวันสิ้นสุด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้เราละตัณหาความทะยานอยาก ให้มีความสันโดษ พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ จะได้ไม่ตกเป็นทาสของตัณหา เพราะตัณหาเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งให้อยู่ในภพสาม จะหลุดจะพ้นได้ต้องสละ ปลด ปล่อย วาง ไม่ยึดติดในสรรพสิ่งและสรรพสัตว์ทั้งหลาย แต่มีใจมุ่งตรงต่อหนทางพระนิพพานเท่านั้น




     เราเป็นนักสร้างบารมี ต้องตระหนักในเรื่องนี้ให้มากๆ ไม่เช่นนั้นแล้วเป้าหมายชีวิตของเราอาจเบี่ยงเบนได้ แต่เดิมว่าจะมาสร้างบารมีเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง แต่ครั้นไปเจอสิ่งยั่วยวนที่ทำให้เราพึงพอใจ ทำให้เผลอไปติดกับสิ่งไร้สาระ ไปเพลิดเพลินกับเบญจกามคุณทั้งห้า อย่างนี้จะทำให้เราเสียเวลา เสียบุญบารมี และเสียโอกาสดีๆ ในการสร้างบารมี  เพราะฉะนั้น นับแต่นี้ต่อไปขออย่าได้ประมาทกันทุกคน


พระธรรมเทศนาโดย: พระเทพญาณมหา มุนี

นามเดิม พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) 

* มก. เล่ม ๕๘ หน้า ๗๒

..................................................

Smileyภาพและบทความ //buddha.dmc.tv/




Smileyคลิกชมด่วนข่าวฮอตท๊อปฮิตชวนท่านผู้ชายแมนๆ....งานบวชพระ โครงการอุปสมบทหมู่ เข้าพรรษา ปี 2556 บวชฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย




Create Date : 25 มิถุนายน 2556
Last Update : 25 มิถุนายน 2556 5:56:23 น. 0 comments
Counter : 936 Pageviews.

Turtle Came to See Me
Location :
พัทลุง Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 42 คน [?]





★ที่มา ล็อกอิน ★Turtle Came to See Me ★( บทกวี Poem )
เป็นหนังสือ สำหรับเยาวชน
★Turtle Came to See Me
แต่งโดย :Margrita Engle
★★★★



BlogGang Popular Award #11

BlogGang Popular Award #12
Friends' blogs
[Add Turtle Came to See Me's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.