- จากนั้นได้ทูลลาพระมารดา และเหล่าพระประยูรญาติทั้งหมดเพื่อออกผนวชเป็นดาบส ฝ่ายพระนางมัทรีก็ขออนุญาตออกบวชด้วย แม้พระเจ้าสัญชัยจะทรงห้ามไว้ เพราะเห็นว่าการดำรงชีวิตอยู่ในป่าเป็นสิ่งที่ทนได้ยาก อีกทั้งพระนางก็ไม่ได้มีความผิดอะไร สมควรที่จะเสวยสุขอยู่ในพระราชวังต่อไป แต่พระนางก็หาเหตุผลที่จะติดตามพระเวสสันดรให้ได้ พระนางตรัสถ้อยคำที่น่ายกย่องชมเชยว่า
"แม่น้ำไม่มีน้ำก็เปล่าประโยชน์ แว่นแคว้นไม่มีพระราชา ปกครองก็สูญสิ้น สตรีแม้มีพี่น้องตั้ง ๑๐ คน ถ้าเป็นหม้ายก็ ขาดสูญ ธงเป็นเครื่องปรากฏแห่งราชรถ ควันเป็นเครื่องปรากฏ แห่งไฟ พระราชาเป็นเครื่องปรากฏแห่งแว่นแคว้น ภัสดาเป็นเครื่องปรากฏของสตรี ความเป็นหม้ายเป็นอาการตรอมตรม ในโลก เพราะฉะนั้นหม่อมฉันจักไปแน่นอน
คราใดเกิดเข็ญใจก็ร่วมทุกข์กับสามีผู้เข็ญใจผู้ถึงทุกข์ เมื่อใดมั่งมี มีเกียรติ ก็ร่วมสุขกับสามีผู้มั่งมีในคราวถึงสุข เทวดา และมนุษย์ย่อมสรรเสริญสตรีนั้น เพราะสตรีนั้น ทำกรรมที่ทำได้โดยยาก หม่อมฉันจะนุ่งห่มผ้ากาสายะ ตามเสด็จพระภัสดา ไปทุกเมื่อ และหม่อมฉันไม่ปรารถนาแผ่นดินที่ทรงไว้ซึ่งทรัพย์เป็นอันมาก มีสาครเป็นที่สุด เต็มไปด้วยรัตนะต่างๆ แต่พลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก สตรีใดในเมื่อสามีทุกข์ร้อน ก็ยังมัวแสวงหาความสุขเพื่อตนเองเท่านั้น ไม่คำนึงถึงความทุกข์ยากของสามี สตรีนั้นช่างใจร้ายจริง ส่วนหม่อมฉันจะทำอย่างนั้น ไม่ได้ จะขอติดตามพระสวามีไป จนกว่าชีวิตจะหาไม่"
นี่เป็นสุนทรวาจาของพระนางมัทรีผู้มีความจงรักภักดีต่อพระเวสสันดร ซึ่งเป็นพระสวามีด้วยความจริงใจ นับเป็นแบบอย่างที่ดีของการดำเนินชีวิตของผู้ครองเรือนในทางโลก เป็นสตรีที่น่ายกย่องมาก เมื่อหนุ่มสาวแต่งงานมีคู่ครองแล้ว ต้องมีความจริงใจต่อกันไม่ทอดทิ้งกัน มีสุขทุกข์ร่วมกัน จะได้เป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกัน เหมือนพระนางมัทรีที่ไม่ทอดทิ้งพระเวสสันดรโพธิสัตว์ นอกจากนี้พระนางยังนำพระโอรสและธิดาทั้งสองไปด้วย พระนางกล่าวยืนยันว่า "หากหม่อมฉันทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ ทารกทั้งสองก็จักเป็นสุขเพียงนั้น"
เมื่อพระเวสสันดรอำลาพระประยูรญาติแล้ว ก็ออก เดินทางทันที พระนางผุสดีราชมารดาทรงรู้ว่า พระโอรสมีพระทัยยินดีในการบริจาคเหนือสิ่งอื่นใด จึงให้จัดเกวียนหลายเล่มที่เต็มด้วยรัตนะ ๗ ประการ พร้อมด้วยอาภรณ์ต่างๆ มากมายตามไปส่ง ส่วนพระเวสสันดรทรงเปลื้องเครื่องประดับ พระราชทานแก่เหล่ายาจกผู้มาขอถึง ๑๘ ครั้ง ได้พระราชทานสิ่งที่เหลืออยู่จนหมด เมื่อทอดพระเนตรหันกลับมาดู เหตุอัศจรรย์มากมายก็บังเกิดขึ้น แผ่นดินก็สะเทือนหวั่นไหว
พระนางผุสดีราชมารดาทรงร้องไห้คร่ำครวญด้วยความสงสารและคิดถึงพระโอรสมาก ฝ่ายนางสนมของพระเจ้ากรุงสัญชัยได้ยินเสียงครํ่าครวญของพระนางผุสดีเทวี ต่างพากัน ร้องไห้ รวมทั้งราชบริจาริกานารีทั้งหลายในพระราชนิเวศน์ของพระเวสสันดร ต่างพากันร้องไห้ไปตามๆ กัน ขณะที่พระเวสสันดรทรงขับรถพระที่นั่งเทียมม้าไป ทรงรับสั่งกับพระนางมัทรีว่า "ถ้ามียาจกตามมาข้างหลังก็ให้บอกเราด้วย หากเขาปรารถนาสิ่งใด เราก็พร้อมที่จะสละให้ทุกอย่าง" เพียงเดินทางไปได้ไม่นาน ก็มีพราหมณ์ ๔ คน ที่มาไม่ทันรับสัตตสตกมหาทาน
- ครั้นรู้ว่าพระเวสสันดรบริจาคทาน และได้ออกนอกพระนครไปแล้ว จึงรีบติดตามมาเพื่อขอม้า ๔ ตัว เมื่อมาถึง พระเวสสันดรก็ไม่ทำให้พราหมณ์ทั้งสี่ผิดหวัง ได้พระราชทานม้าทั้ง ๔ ตัว ไปให้แก่พราหมณ์ แล้วพระองค์ทรงจูงมือพระโอรสชาลี ส่วนพระนางมัทรีทรงจูงมือพระธิดากัณหา ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เขาวงกตด้วยความองอาจ ไม่มีความอาลัย ในราชสมบัติ ที่เคยได้ครอบครองเหล่านั้นเลย
นี่เป็นเรื่องราวการสร้างมหาทานบารมี ที่ต้องพบกับอุปสรรคมากมาย แต่พระโพธิสัตว์ถือว่า หนทางสู่ความสุขความบริสุทธิ์หลุดไปสู่อายตนนิพพานได้ใกล้เข้ามาแล้ว จึงไม่ได้ท้อแท้หรือน้อยใจ กลับมีแต่พลังใจที่เต็มเปี่ยมด้วยมหาปีติที่ได้สร้างบุญใหญ่ สมกับเป็นนักสร้างบารมีที่แท้จริง เพราะฉะนั้น เมื่อเราทำความดีใดๆ หากมีอุปสรรคไม่ได้รับการสนับสนุนหรือโดนขัดขวางรังแก ขออย่าได้หมดหวัง หรือหมดกำลังใจ ให้อดทนสู้ต่อไป เราต้องเป็นผู้มีธาตุแท้ของนักสร้างบารมีอยู่เต็มหัวใจ ให้รักษามโนปณิธานให้มั่นคงตลอดไป การสร้างบารมีของเราจะได้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์กันทุกๆ คน
*มก. เวสสันตรชาดก เล่ม ๖๔ หน้า ๖๒๘