ห่วงเออีซีทำโชห่วยไทยตายสนิทหลังเปิดเออีซี แนะปรับกลยุทธ์เป็นมินิมาร์ทสู้อาศัยความได้เปรียบเรื่องพื้นที่ ด้านสมาคมค้าส่งแนะรวมศูนย์ดูแลโชห่วยให้เข้มแข็ง พร้อมออกกฎหมายดูแลเอสเอ็มอีโดยเฉพาะเพื่อให้อยู่รอด ดีกว่าแค่ของบช่วยปีต่อปี เผย 5 ปีตายไปแล้ว 50%
นายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) เปิดเผยว่า ต้องการให้ร้านค้าขนาดเล็ก หรือโชห่วย เร่งวางแผนรับมือกับการขยายกิจการของร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ในไทย ร้านแฟรนไชส์จากประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียและสิงคโปร์ ที่จะเข้าเปิดกิจการเมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 เพราะมีการวางระบบขยายกิจการที่มีประสิทธิภาพ อาจทำให้โชห่วยไทยลำบากและเสี่ยงต่อการปิดกิจการ ดังนั้น ร้านโชห่วยรายใดที่มีทุนก็ควรยกระดับเป็นยี่ปั๊ว หรือยกระดับจากร้านธรรมดาเป็นมินิมาร์ทเล็กๆ คล้ายกับร้านสะดวกซื้อจะเหมาะสมกว่า เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถหาซื้อสินค้าได้สะดวก และอาศัยความได้เปรียบจากการเป็นคนในพื้นที่
"หากร้านโชห่วยไม่ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์คงอยู่ได้ลำบาก ดังนั้น ควรเร่งปรับตัวและประสานงานกับผู้ผลิตสินค้าโดยตรง เพื่อขายสินค้าในราคาที่ไม่แพง และควรขายสินค้าแปลกใหม่ที่ร้านสะดวกซื้อทั่วไปไม่มีขาย" นายพสุกล่าว และว่า ทางกรมมีมาตรการช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอีเพื่อรองรับการเปิดเออีซี โดยวางแผนช่วยเหลือผู้ประกอบการรวม 19,000 ราย ในช่วง 3-4 ปี (2555-2558) หรือประมาณปีละ 4,000-5,000 ราย โดยจะเน้นให้ความรู้การจัดทำแผนเอสเอ็มอีที่เป็นภาคบริการ ฝึกอบรม ทำแผนรับมือเออีซีเป็นรายบริษัท และจะนำเอสเอ็มอีบางส่วนไปสำรวจตลาดและพบปะกับผู้ประกอบการในประเทศเพื่อนบ้านด้วย
แหล่งข่าวสมาคมค้าส่งค้าปลีกกล่าวว่า ขณะนี้หลายหน่วยงานของภาครัฐมีการส่งเสริมและผลักดันในการเพิ่มประสิทธิภาพของร้านโชห่วยมาตลอด ซึ่งมักจะทำในรูปแบบโครงการรายปี และไม่ค่อยต่อเนื่อง จึงไม่มีประสิทธิภาพในการสร้างความเข้มแข็งให้กับโชห่วยเท่าที่ควร ต้องการให้ทุกหน่วยงานของภาครัฐบูรณาการร่วมจัดทำโครงการช่วยเหลือและพัฒนาธุรกิจร้านค้าย่อยอย่างจริงจัง ยอมรัมว่าขณะนี้จำนวนร้านค้าโชห่วยแบบดั้งเดิมได้ลดน้อยถอยลงอย่างต่อเนื่องเหลือเพียง 50% จากเดิมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาซึ่งมีถึง 5 แสนราย เนื่องจากการขยายตัวของธุรกิจสมัยใหม่ที่ปัจจุบันมีการแตกสาขาในขนาดพื้นที่เล็กลงเพื่อเจาะเข้าแหล่งชุมชน ซึ่งเป็นที่น่าวิตกว่าการเปิดเออีซีที่ให้เสรีในภาคบริการก็น่าจะมีธุรกิจขนาดย่อยในรูปแบบต่างๆ จะเข้ามาในเมืองไทยมากขึ้นในรูปแบบของแฟรนไชส์
"รัฐบาลควรเร่งในส่วนของ 2 ประการ คือ 1.รวบรวมโครงการทั้งหมด ทั้งผ่านกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม รวมทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มีการจัดทำร้านค้าย่อยราคาถูก ให้มีหน่วยงานเดียวรับผิดชอบ ให้การสนับสนุนเรื่องเงินทุนและสถานที่ตั้ง โดยการดึงร้านค้าโชห่วยที่มีอยู่มาสร้างความเข้มแข็งก่อนส่งเสริมให้เกิดรายใหม่ ซึ่งโชห่วยดั้งเดิมจะมีปัญหาเรื่องความทันสมัยของร้านค้า สภาพคล่องทางการเงินและการส่งเสริมเรื่องการกำหนดราคาขายเท่ากับร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ 2.เร่งรัดการออกกฎหมายเพื่อควบคุมและป้องกันการเข้ามาของธุรกิจต่างชาติทั้งกฎหมายค้าปลีก กฎหมายแฟนไชส์ หรืออาจจะจัดทำกฎหมายดูแลธุรกิจเอสเอ็มอีโดยเฉพาะ ซึ่งจะเป็นผลดีกว่าการให้งบประมาณสนับสนุนอย่างในปัจจุบัน"
* ที่มา นสพ.มติชนรายวัน *