จะสรุปคร่าวๆให้อ่านกันนะครับ. กาละครั้งหนึ่งเมื่อ16ปีที่แล้ว มีคุณแม่ไปฝากครรภ์ และจะไปคลอดบุตรที่โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง ครรภ์ก่อนๆ ก็ได้ทำ
painless labor(ไปตามอ่านใน blog เก่าได้นะครับ ว่าคึืออะไร เพราะเป็น key word อย่างนึงของคดีนี้) ไว้ แล้วชอบอย่างมาก. ครั้งนี้ขณะที่เบ่งรอคลอด. สามีก็ได้ไปขอให้วิสัญญีแพทย์ท่านเดิมทำ painless ให้ แพทย์ท่านนั้นก็ได้มาทำให้. หลังจากนั้นปรพมาณ 40 นาทีก็ได้ออกจากห้องคลอดไปทำเคสในห้องผ่าตัดต่อไป. ระหว่างนั้นสูติแพทย์. ก็ทำมาทำหัตถการ
artificial rupture of membrane ( การทำให้ถุงนำ้คร่ำแตกก่อนเวลาตามธรรมชาติ. เพื่อเป็นการเน่งคลอด ซึ่งปกติก็ทำในคนไข้ส่วนใหญ่, key word อีกเช่นกัน) หลังจากนั้นไม่นานผู่ป่วยเกิดอาการเจ็บท้อง พยาบาลห้องคลอด ก็ให้ยาชาเพิ่มตามคำสั่งแพทย์. ไม่นานนัก. ผู้ป่วยก็เริ่มมีอาการตัวเขียว. ปากเขียว ความดันต่ำ และต้องทำการปั๊มหัวใจทันที. ปรากฏว่าท้ายที่สุด แพทย์ไม่สามารถช่วยชีวิตได้ทั้งแม่และลูก. สามีและญาติจึงได้ทำการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทั้งสิ้นเกือบ 700ล้านบาท. ศาลชั้นต้นยกฟ้อง. แต่ศาลอุทรณ์. และศาลฎีกากลับคำตัดสิน. และให้ฝ่ายสามีชนะคดี. ฝ่ายหมอและโรงพยาบาลต้องชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมด 8 ล้านกว่าบาท รวมดอกเบี้ย 7.5%ต่อปี. เป็นเวลา. 16ปี รวมเป็นเงิน. 20กว่าล้านบาท
ประเด็น................มันอยู่ตรงเหตุผลที่ใช้ในการตัดสินคดีนี้ครับ ที่ทำให้สะเทือนไปทั้งวงการของวิสัญญี และสูติแพทย์
เหตุผลที่แพ้ไม่ใช่เรื่องที่แม่และลูกเสียชีวิตนะครับ. เพราะสาเหตุที่เสียชีวิตที่พิสูจน์แล้วคือ
amniotic fluid embolism (หา อากู๋. ได้เลยะคร้าบ. ถ้าอยากรู้ละเอียดสุดๆ) ซึ่งทั้งสองฝ่ายนั้นยอมรับว่าอัตราการตายนั้นสูงถึง 80% ถึงไม่ตายในขณะนั้นก็ยัีงมีโอกาสอื่นๆตามมาอีกมาก....แต่เจ้ากรรมครับ ศาลกลับพิจารณาว่า
ถ้าคนไข้ได้รับการดูแลที่ดีเพียงพอ อาจเป็น 20 % ที่รอดตายได้!!!! (มันก็จริงนะ ตามทฤษฏีที่อ้างมาจากตัวอย่างเคสที่รอดชีวิตจากภาวะนี้ว่าได้รับการดูแลอย่างไรบ้าง
)
อ่านถึงตรงนี้แล้ว เห็นรึยังครับ ว่าคดีนี้น่ากลัวยังไงต่อวงการแพทย์....เพราะพวกเราโดนเล่นงานที่การดูแลไงครับ
ท่านผู้อ่านบางท่านก้คงคิดในใจว่า "ก็ดีแล้วนิ ต่อไปหมอจะได้ดูแลคนไข้ให้ดีขึ้น จะไปกลัวอะไรถ้าทำให้ถูกต้องซะ"
ถ้าท่านคิดเช่นนั้น ก็ทำให้เข้าใจได้ว่า ท่านไม่ใช่คนในวงการแพทย์แน่นอน
ปัญหาของการดูแลในเคสนี้แบ่งออกเป็นสองส่วนด้วยกัน (ตามความคิดผมนะ) คือ
1.ความไม่สอดคล้องของปริมาณแพทย์กับคุณภาพของการรักษาที่คาดหวัง
2.การอ้างอิงมาตรฐานที่ไม่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยไชโย
ความไม่สอดคล้องของปริมาณแพทย์กับคุณภาพของการรักษาที่คาดหวังและการอ้างอิงมาตรฐานที่ไม่เหมาะสมกับไทยแลนด์ ....คือ.....อะไร
อันดับแรก ท่านๆคิดว่า ปริมาณแพทย์ต่อประชากรของประเทศ ดังต่อไปนี้ ข้อไหน น้อยที่สุด?
a. USA b. England c. Singapore d. Thailand
ทุกท่านตอบได้แน่นอน Thailand only ครับผม ตามภาพนี้เลย อาจจะเก่าไปหน่อยแต่น่าจะพอกะคร่าวๆได้
คำถามต่อไป ท่านอยากได้มาตรฐานไหน ในการตรวจรักษาท่านและครอบครัวของท่าน?
ทุกท่านก็ต้องได้คำตอบแน่นอน USA ครับ ต้นตำรับทางการแพทย์
แค่ตรงนี้ทุกท่านก็เห็นภาพแล้วใช่มั๊ยครับว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ย้อนกลับมาที่เคสนี้ครับ เอาแต่เรื่องของวิสัญญีอย่างเดียวเลยนะ ประเด็นที่โดนกล่าวหาคือ การดูแลที่ไม่ดีหลังจากการให้ยาชา หลังจากการทำ painless labor โดยฝ่ายสามีอ้างจากพยานบุคคลว่าหลังจากทำ painless labor แล้วนั้น จะต้องมีการวัดความดันโลหิตทุกๆ 1-2 นาที เป็นเวลานาน 15 นาที หลังจากนั้น ต้องวัดทุกๆ5 นาที และแพทย์จำเป็นจะต้องเฝ้าอยู่ตลอดเวลาในขณะที่ทำ painless labor นั้น
สองประโยคนี้อันตรายอย่างยิ่งเลยนะครับ สำหรับพวกผม อันดับแรกนะครับเรื่องการวัดความดันบ่อยครั้งนั้น ก็อาจจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่เราชาววิสัญญีก็จะทราบกันอยู่แล้วว่า การทำ painless labor นั้น ความดันมักจะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงมากเท่าไรนัก ดังนั้นอาจจะไม่จำเป็นต้องวัดบ่อยครั้งมากนัก อย่างไรก็ตาม สุดท้ายก็ต้องคิดถึงเหตุสมควรของคนไข้แต่ละรายนะครับ แต่ที่อยากจะพูดก็คือ คำว่า "ต้องวัดความดันทุกๆ บลาๆๆๆๆ " ไม่ทราบว่าไปเอามาจากแห่งหนใด? ไม่เคยเห็นตำราไหนเขียนไว้ (หรือผมอาจจะอ่านหนังสือน้อยก็ได้นะ แหะๆ ) อันนี้ก็เลยงงว่า สุดท้ายที่วิสัญญีผิดนั้น ผิดตามมาตรฐานจริงๆ หรือตามมาตรฐานที่คิดขึ้นมาเอง แต่......ประเด็นที่แพทย์นั้นต้องอยู่เฝ้าคนไข้ตลอดเวลาหลังจากทำ painless labor อันนี้ซิครับ ของจริง ของแรง
อันดับแรกนะครับ ท่านต้องทราบก่อนว่า ไม่ว่าจะโรงพยาบาลแห่งหนตำบลใด หากไม่ได้ HISO มากกกกกกกกกกกกจริง ก็คงมีแพทย์เวรเฉพาะทางอยู่แค่คืนละ 1 คนเท่านั้น ยิ่งเป็นเมื่อ 16 ปีที่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยครับ แพทย์น้อยกว่าสมัยนี้ยิ่งนัก ดังนั้นหากตัดสินแบบนี้ สุดท้ายไม่ว่า รพ ใดๆ ที่มีวิสัญญีแพทย์ เพียงคนเดียวที่อยู่เวร ก็คงไม่ต้องทำ painless labor อีกต่อไป (อันนี้ รพ รัฐ อาจจะไม่ได้ทำอยู่แล้ว) คำถามคือ แล้วที่ทำอยู่นี่ มันเป็นมาตรฐานที่ใครๆก็ทำกันรึเปล่า? ขอบอกเลยนะครับว่า ไม่!!!!!!!!!
⁞อันนี้อ้างอิงจากหมอหลายๆท่านที่ได้ไปฝึกใน USA และ Cannada ก็บอกว่า หลังจากทำแล้ว วิสัญญีแพทย์ก็ออกไปทำอย่างอื่นต่อไป และเจอกันอีกที ก็คือตอนเอาสายที่หลังออก เห็นมั๊ยครับว่า ขนาดประเทศที่มีแพทย์มากกว่าเราหลายเท่า ยังไม่ทำกันแบบพี่ไทยเราเลย ก็เลยเป็นข้อสงสัยอีกประการว่า เอามาตรฐานนี้ มากจากไหน? ยัง ยังไม่จบนะครับ ประเด็นถัดไปที่สำคัญยิ่งกว่า คือ การทำ painless labor นั้น คือการใส่สายไว้ใกล้ช่องสันหลัง เพื่อใส่ยาชาเข้าไป โดยหวังว่าจะสามารถลดความเจ็บปวดได้ ซึ่งการทำชนิดนี้นั้น คือการทำ แบบ เดียวกับการทำ epidural ในการผ่าตัดชนิดอื่นด้วย!!!!!!!!!!!!!!! โอว แย่ละซิครับ โดยปกตินั้น พวกผมก็จะส่งคนไข้กลับไปนอนสบายๆต่้อที่ึตึกผู้ป่วยพร้อมกับการให้ยาชาต่อเนื่องด้วย แต่ที่ตึก ไม่มีวิสัญญีแพทย์นะครับ !!!!!! และก็ไม่มีทางมีตลอดกาลด้วย เพราะ รพ นึงมี 10 ตึก ตึกละ 20 ชั้น แปลว่าต้องมีหมอ 200 คน บร้าาาาาาาาาาาาาาาา ไปแล้วคร้าบบบบบบบบบบบบบบ พี่น้องงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
แล้วเรื่องนี้มันหมายความว่าไง.....มันก็หมายความว่าการใส่สายเพื่อแก้ปวดคนไข้หลังการผ่าตัดที่ยอดเยี่ยมที่สุด (ไม่ได้พูดเกินจริงเลยนะครับ) จะต้องสาบสูญไปตลอดกาลเลยหรือ? เพราะพวกผมไม่สามารถทำแบบที่ศาลตัดสินได้หรอกครับ เกิดปัญหามา ผมก็ติดคุกหัวโตซิครับ ไอ้เงิน 8 ล้าน 10 ล้าน ผมก็ไม่มีหรอกครับ ต้องขายไตสัก 2 ข้าง ปอด 2 ข้าง (แต่หัวใจให้คนอื่นไปแล้วนะ....ฮิ้วววว) ดังนั้น พวกผม ต้องเลิกทำรึเปล่า????
คำถามต่อไปแล้วเรามีวิธีแก้ไขไหม....มีครับ ก็วิธีแบบเดิมๆ ให้ยาทางน้ำเกลือกันไป ขอยาตอนนี้ อีก ชั่วโมงนึงได้ ทนปวดไปเซ่ (ขอบอกว่าพยาบาลก็ขาดแคลนมากนะครับ) หรือให้ยา Morphine ทางสายที่หลัง ก็ทำได้ครับ แต่อาจจะมีอาการคัน หรือ คลื่นไส้ได้ .......... มันดีที่สุดสำหรับคนไข้จริงๆหรือครับ แล้วการพัฒนาของวงการวิสัญญีที่เกี่ยวกับการให้ยาชาผ่านสายต้องหยุดเลยมั๊ย? การตัดสินแบบนี้ ด้วยมาตรฐานแบบนี้ มัน Fair กับคนไข้รายอื่นแล้วจริงๆเหรอครับ พวกผมก็คนธรรมดาคนนึง ที่ต้องการทำอะไรที่ดีที่สุดแก่คนไข้ แต่ก็ขอบอกว่ารักตัวกลัวตายเหมือนกัน ครอบครัวก็มีให้ดูแล ถ้าผมไม่ทำ ก็ไม่ผิดใช่มั๊ยครับ พวกเราต้องย้อนกลับไปยุคหินจริงหรือ....ตอนต่อไปจะมาพูดถึงแนวทางในการแก้ปัญหาจริง (ของผมนะ) อิอิ
ปล เห็นอย่างอื่น วิจารณ์ได้เต็มที่นะครับ แต่ขอคำสุภาพๆหน่อย