การสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ ในฐานะครูภาษาไทยมือใหม่
การสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ ในฐานะครูภาษาไทยมือใหม่ นับเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งที่ในปัจจุบันมีชาวต่างชาติมากมายให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ภาษาไทย ภาษาอันมีเอกลักษณ์เฉพาะที่น่าภาคภูมิใจ ภาษาที่สืบทอดกันมากว่าเจ็ดร้อยปี และยังใช้แพร่หลายอยู่ในปัจุจุบัน...ในประเทศไทย...และในหมู่คนไทยทั่วโลก อย่างที่เราๆ ท่านๆ ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ภาษาสามารถสะท้อนเอกลักษณ์ของคนในชาติ บอกเล่าวิธีคิด, ขนบธรรมเนียม, วัฒนธรรมและประเพณี ของคนในชาตินั้นๆ ดังนั้นเพื่อที่จะเข้าใจคนไทยอย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเพื่อวัตถุประสงค์ด้านธุรกิจ, ด้านสังคม หรือด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ที่ทำให้ชาวต่างชาติหันมาเรียนภาษาไทย ในฐานะครูภาษาไทยคนหนึ่ง การมีความพร้อมในด้านต่างๆดังต่อไปนี้ ย่อมเปรียบเสมือนข้อได้เปรียบที่จะทำให้เราเข้าใจความแตกต่างอันเป็นพื้นฐานระหว่างผู้เรียนและผู้สอน และช่วยให้ผู้เรียนได้เข้าใจภาษาไทยอย่างถ่องแท้ในทุกๆมิติ ๑. ด้านพุทธศาสนา ๒. ด้านวัฒนธรรมและประเพณีไทย ๓. ด้านความรู้ภาษาต่างประเทศ
๑. ด้านพุทธศาสนา ศาสนาพุทธนับมีบทบาทที่สำคัญต่อกระบวนการคิดของคนไทย ดังจะเห็นได้จากวันหยุดนักขัตฤกษ์โดยมากของชาวไทยล้วนเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมทางศาสนา เช่น วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา วันมาฆบูชาและวันวิสาขบูชา จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวได้ว่าแบบแผนการดำเนินชีวิตของคนไทยและภาษาไทย เกี่ยวข้องโยงใยกับพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง ยกตัวอย่างเปรียบเทียบ เช่น มุมมองในเรื่องของ เวลา จากคติในพุทธศาสนาที่เชื่อว่าชีวิตเราต่างเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ ทำให้ภาษาไทยไม่มีรูปแบบที่ระบุ กาล อย่างเด่นชัดเช่นในภาษาอังกฤษ ในมุมมองของโลกตะวันตก ความเชื่อในเรื่องของเวลา ถูกมองเป็นเส้นตรงจากอดีตสู่ปัจจุบันและก้าวไปสู่อนาคต สิ่งเหล่านี้ได้สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนเป็นรูปแบบการพูดที่ทำให้เราทราบว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อไหร่ โดยดูจากรูปแบบของคำกริยาที่เปลี่ยนไปในแต่ละประโยค เช่น ๑.๑ I am going to drive Aeh home ฉันกำลังจะ/จะขับรถไปส่งเอ๋ที่บ้าน ( To be going to drive บอกให้ทราบว่าเหตุการณ์นี้ยังไม่เกิดขึ้นแต่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ) ๑.๒ I am driving Aeh home ฉันกำลังขับไปส่งเอ๋ที่บ้าน ( To be driving บอกให้ทราบว่าผู้พูดกำลังขับรถอยู่และกำลังขับรถไปส่งเธอผู้นั้น ) ๑.๓ I should have driven Aeh home ฉันน่าจะได้ขับไปส่งเอ๋ที่บ้าน ( Should have driven บอกให้ทราบว่าผู้พูดเสียใจ/เสียดายที่ไม่ได้ขับรถไปส่งเธอ และเหตุการณ์นั้นได้ผ่านไปเรียบร้อยแล้วโดยไม่ได้ขับรถไปส่ง ) จะเห็นได้ว่า คำกริยา Drive ขับ (รถ) ถูกเปลี่ยนเป็น ๓ รูปแบบ คือ drive , driving, driven โดยมีหน้าที่บอกการกระทำและบอกเวลาที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์นั้น แต่หากพูดเป็นภาษาไทย อาจกล่าวได้ว่าไม่ต้องไปจดจำรูปแบบคำกริยาต่างๆให้ยุ่งยากซับซ้อนขนาดนั้น เพราะภาษาไทยไม่เคยเปลี่ยนแปลงหน้าตาของคำกริยาเลย เราเพียงแต่เติมคำที่บ่งบอกถึง อดีต, ปัจจุบัน และอนาคตลงไปเท่านั้น จำง่ายๆ คือ กำลังจะ-บอกถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคต , กำลัง + กริยา+ (อยู่) บอกถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ ณ เวลานั้น , น่าจะ บอกถึงเหตุการณ์ที่เราเสียดายว่าไม่ได้ทำลงไป และเวลาได้ผ่านไปแล้ว ยกตัวอย่างง่ายๆคือ ๑.๓.๑ ฉันกำลังจะขับรถไปส่งเอ๋ (แสดงว่ายังไม่ได้ทำ แต่จะทำในอนาคตอันใกล้) ๑.๓.๒ ฉันกำลังขับรถไปส่งเอ๋ (อยู่) (แสดงว่าอยู่ในรถกับเอ๋ และกำลังขับไปส่งคำว่า อยู่ นั้นจะพูดหรือไม่ก็ได้ ถ้าพูดก็เป็นการเน้นการกระทำนั้นว่ากำลังเกิดขึ้น) ๑.๓.๓ ฉันน่าจะขับรถไปส่งเอ๋ ( แสดงว่าพูดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วว่าไม่ได้ขับรถไปส่ง และเสียดายที่ไม่ได้ทำเช่นนั้น) จะเห็นได้ว่านี่แหละคือภาษาไทย ผู้พูดและผู้ฟังเข้าใจได้โดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตาของคำกริยา คือคำว่า ขับ แต่อย่างใด นอกจากนี้พระศาสดาของพุทธศาสนา หรือ พระพุทธเจ้าก็เป็นผู้ค้นพบอันยิ่งใหญ่ เป็นผู้มีความรู้แตกฉานจนสามารถอธิบายได้อย่างลึกซึ้ง ถึงเรื่องสภาวะจิต ภพภูมิ และเวลา การอธิบายถึงสิ่งต่างๆอย่างลึกซึ้งนั้น จำเป็นต้องใช้ลักษณะนามที่แตกต่างไปอย่างเหมาะสม และนี่ก็คือเอกลักษณ์อีกอย่างที่สะท้อนออกมาในภาษาไทย นั่นคือ คำบอกลักษณะนาม เช่น จิต ๕๒ ดวง, เปรต ๑ ตน , คน ๒ คน, เทวดา ๘ องค์, เวลา ๙ อสงไขย, ๘ กัป, ๑ มหากัป ซึ่งลักษณะเฉพาะในภาษาไทยที่ว่านี้ แทบจะหาความหลากหลายแบบเดียวกันมาเทียบไม่ได้เลยจากภาษาอังกฤษ แม้ว่าภาษาอังกฤษจะถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลกก็ตาม เปรียบเทียบง่ายๆ เช่น ลักษณะนามคำว่า ลูก เราใช้กับเฉพาะผลไม้ หรือสิ่งที่มีลักษณะกลมๆ แต่เราก็ไม่ใช้กับคน ดังนั้น เราจึงไม่พูดว่า มีลูกชาย ๒ ลูก ✘ (There are two sons.) แต่เราจะพูดว่า มีลูกชาย ๒ คน ✔ ( There are two sons.) หรือ มีมะม่วง ๒ ลูก ✔ (There are two mangoes) ในทางภาษาอังกฤษอาจกล่าวได้ว่า ไม่มีลักษณะนามที่เฉพาะเจาะจงลงไปเหมือนภาษาไทยเลย ๒ ด้านวัฒนธรรมและประเพณีไทย หลายท่านคงทราบกันดีว่า วัฒนธรรมและประเพณีไทยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสื่อสารอยู่มาก ยกตัวอย่างง่ายๆและเห็นได้ชัด คือ การไหว้ เพราะการไหว้ของไทยเรานั้น (การยกมือขึ้นพนมไว้ที่ระหว่างหน้าอก) เป็นมากกว่าการทักทายดังเช่นที่ชาวตะวันตกใช้การจับมือหรือการหอมแก้มเท่านั้น แต่สามารถสื่อได้ถึงฐานะทางสังคมของผู้ไหว้-ผู้รับไหว้ และสามารถแสดงความรู้สึก จึงเป็นเสมือนภาษากายในอีกทางหนึ่ง อาจเทียบได้กับการโค้งในแบบของชาวญี่ปุ่น กล่าวคือ การจับมือ หรือการหอมแก้มในแบบของชาวตะวันตก จัดอยู่ได้แค่หมวดทักทายเท่านั้น แต่การไหว้ของไทย สามารถบอกได้ถึง ๓ ลักษณะ ๒.๑ ไหว้เพื่อทักทาย (ระดับของมือที่ยกไปจรดคางและปลายจมูกบอกฐานะของผู้ที่เราทำการเคารพ) ๒.๒ ไหว้เพื่อแสดงความขอบคุณ ๒.๓ ไหว้เพื่อแสดงการขอโทษ ดังนั้นเมื่ผู้เรียนได้ทำความเข้าใจนัยยะของภาษากายที่ซ่อนอยู่ดังนี้แล้ว ก็จะไม่เกิดการเข้าใจผิดระหว่างกัน ยกตัวอย่าง เมื่อผู้เรียนได้ให้สิ่งของใดแก่คนไทย แต่ท่านไม่ได้ยินคำว่า Thank you แสดงความขอบคุณ กลับเห็นคนไทยยกมือไหว้ก่อนรับสิ่งของนั้น นั่นก็แสดงว่า ผู้รับได้แสดงความขอบคุณแก่ท่านแล้วอย่างให้เกียรติด้วยวิธีแบบไทยๆ นั่นเอง นอกจากนี้วัฒนธรรมการรับประทาน หรือการกิน ก็เป็นอีกสิ่งที่สะท้อนให้เห็นได้ในภาษาไทย กล่าวคือ ประเทศไทยเป็นประเทศอู่ข้าวอู่น้ำ อาหารการกินในทุกมื้อประกอบด้วยข้าวเป็นอาหารหลัก ดังนั้นคนไทยมักพูดกันติดปากว่า ไปทานข้าวกัน ได้เวลากินข้าวแล้ว แม้ว่าในความเป็นจริงจะเดินออกไปสั่งก๋วยเตี๋ยวรับประทานก็ตาม ดังนั้นผู้เรียนก็ไม่ต้องแปลกใจ หากได้ยินคนไทยชวนไปทานข้าว แต่กลับนั่งลงและสั่งส้มตำไก่ย่าง หรือทานขนมจีนน้ำยาอย่างเอร็ดอร่อย ๓ ด้านความรู้ภาษาต่างประเทศ การที่ผู้สอนภาษาไทยมีความเข้าใจภาษาต่างประเทศ หรือภาษาแม่ของผู้เรียน ย่อมเป็นสิ่งที่ช่วยเอื้อให้ผู้เรียนมีความเข้าใจได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะผู้สอนสามารถเปรียบเทียบแง่มุมต่างๆในเชิงภาษาให้กับผู้เรียนได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งยกตัวอย่างเช่น ๓.๑ ภาษาอังกฤษ-ภาษาไทย มีการวางตำแหน่งของคำคุณศัพท์และคำนามแตกต่างกันอย่างตรงกันข้าม เช่น ฉันมีบ้านสีขาว I have a white house จะเห็นว่าในภาษาไทยเราวางคำนามไว้หน้าคำคุณศัพท์ แต่ในภาษาอังกฤษวางคำคุณศัพท์ไว้หน้าคำนาม (บ้าน คือ คำนาม / สีขาว คือ คำคุณศัพท์) ๓.๒ ภาษาไทยไม่มีคำ Article a, an, theให้ยุ่งยาก แต่ก็มีคำบอกลักษณะนามเช่น ช้าง ๑ ตัวเรียก เชือก, ช้างหลายตัวเรียกโขลง พระภิกษุมีลักษณะนามเป็น รูป ส่วนพระพุทธรูปมีลักษณะนามเป็น องค์ ซึ่งก็อาจจัดได้ว่ายุ่งยากพอกันสำหรับผู้เรียนชาวต่างชาติ ๓.๓ ภาษาไทยมีเอกลักษณ์เรื่องวรรณยุกต์ และเสียงวรรณยุกต์ที่ต่างไปก็ทำให้ความหมายของคำเปลี่ยนไปด้วย ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างง่ายๆเช่น ขี่ช้าง / ขี้ช้าง หากท่านผู้เรียนออกเสียงผิดเป็น ฉันชอบขี้ช้าง แทนที่จะเป็น ฉันชอบขี่ช้าง ก็อาจทำให้ผู้ฟังเข้าใจผิดและเห็นเป็นเรื่องน่าขบขัน แต่ก็อย่าเพิ่งรู้สึกว่าภาษาไทยเป็นเรื่องยากเกินไปที่จะเรียนและหมดกำลังใจ เพราะเมื่อท่านเรียนรู้ที่จะผิดไปสักครั้งหนึ่งแล้ว ท่านก็คงจดจำคำนั้นไปได้ตลอดและคงไม่ผิดซ้ำอีก ๓.๔ ภาษาไทย-ภาษาอังกฤษมีคำที่ใช้ระบุจำนวนปริมาณ (Adverb of quantity) เหมือนกัน แต่ภาษาอังกฤษต้องเปลี่ยนหน้าตาของคำนามนั้นๆด้วย ตัวอย่างเช่นภาษาไทยเราพูดว่า ผู้คนเยอะแยะมากมาย, ทุ่งนากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา จะเห็นได้ว่า เราไม่เปลี่ยนหน้าตาของคำนามคือ คำว่า ผู้คน หรือทุ่งนา เลย แต่ในภาษาอังกฤษ a pair of socks, many ladies, lots of women, two knives คำนามต่างๆ มีหน้าตาเปลี่ยนไป sock เปลี่ยนเป็นเติม S lady เปลี่ยน Y เป็น I แล้วเติม es woman เปลี่ยน a เป็น e knife เปลี่ยน fe เป็น v แล้วเติม es จากปัจจัยทั้งหมดที่ได้กล่าวเปรียบเทียบมานี้ จะเห็นได้ว่าแม้จะเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยของหลักสูตรทั้งหมดที่ใช้ในการสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ แต่ก็เป็นส่วนที่น่าจะทำให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างผู้เรียนและผู้สอน และหากทำให้ผู้เรียนเกิดทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้ภาษาไทย วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีไทยและคนไทยด้วยแล้ว สัมพันธภาพอันดีที่เกิดขึ้นในระดับจุลภาคของสังคมไทยก็ย่อมนำมิตรภาพอันยิ่งใหญ่และความเจริญมาสู่สังคมไทยในระดับภูมิภาคในที่สุด.
Free TextEditor
Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2552 |
|
71 comments |
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2552 8:01:18 น. |
Counter : 29655 Pageviews. |
|
|
|