Live another day...
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2551
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
3 มิถุนายน 2551
 
All Blogs
 

หมอหมากับยาใจ ตอน 1 : ตายรัง

พุดกรองเข็นรถเข้าไปไว้ใต้ถุนบ้าน เมื่อเดินกลับออกมาก็อดมองไปรอบ ๆ ไม่ได้ บ้านของเธอเป็นหนึ่งในบ้านไม้สองชั้นไม่กี่หลังที่ยังเหลืออยู่ในละแวกนี้ เพื่อนบ้านส่วนใหญ่ขายที่ให้นายทุนเพราะราคาอันยั่วใจ สามสี่ปีให้หลัง หมู่บ้านจัดสรรจึงผุดขึ้นเป็นว่าเล่น มีเพียงที่ดินผืนเล็ก ๆ ไม่กี่ผืนที่ยังเหลือรอด

“พุดเอ๊ย กลับมาแล้วเหรอ”

เสียงป้านกเพื่อนบ้านร้องเรียกที่ริมรั้ว พุดกรองรีบเดินไปหาทันที
“มีอะไรจ๊ะป้า”

หญิงสาวโผล่หน้าผ่านช่องว่างของไม้ระแนงที่ผุพังจนเป็นช่องโหว่พอให้ข้ามไปอีกฝั่งได้โดยไม่ต้องอาศัยประตูรั้ว

“มีแกงเขียวหวานมาฝากจ้ะ เพิ่งทำเสร็จตะกี้เอง”

“ขอบคุณค่ะป้า” พุดกรองรับถ้วยแกงมาถือไว้ จานรองของป้านกทำให้เธอไม่ต้องสัมผัสกับความร้อนที่ขอบชามโดยตรง

“แล้วแม่เราไปไหนซะล่ะ”
“แม่อยู่บนบ้านจ้ะ สงสัยกำลังนับเงินอยู่”
“อ้อ งั้นให้แม่เรานับเผื่อป้าด้วยนะ งวดนี้เสียหวยไปหลายบาท”

พุดกรองอมยิ้มกับความเจ้าคารมของป้านกเพื่อนสนิทของแม่ เธอเห็นหน้าป้านกมาตั้งแต่จำความได้ แม่กับป้านกสนิทกันมาตั้งแต่รุ่นสาว จนตอนนี้ก็ยังสนิทสนมกลมเกลียวกันเหมือนเมื่อก่อน

“จ้ะ เดี๋ยวพุดบอกแม่ให้นะ” พุดกรองชะเง้อเข้าไปในเขตบ้านหลังข้าง ๆ เหมือนกำลังมองหาใคร “เอ วันนี้นุไม่อยู่เหรอคะป้า บ้านเงียบ ๆ พิกล”

“ออกไปซื้อของน่ะ เห็นว่าจะไปซื้อยาที่มหาวิทยาลัยหรือไงนี่ล่ะ แล้วคงจะอยู่คุยกับครูบาอาจารย์ของมันด้วยมั้ง คงจะกลับมาตอนเย็น ๆ เลยมั้ง พุดมีอะไรกับมันหรือเปล่า เดี๋ยวถ้ามันกลับมาป้าจะบอกให้”

“เปล่าจ้ะป้า พุดแค่ถามเฉย ๆ น่ะ เห็นแม่บอกว่าเก็บขนมของโปรดไว้ให้นุด้วย”

“แหม แล้วก็ไม่พ้นของกินอีกแล้วสินะ ให้กันไปให้กันมาอยู่อย่างนี้ อีกหน่อยยกลูกให้ซะเลยดีมั้ง” ป้านกพูดติดตลกทำเอาพุดกรองหัวเราะตามไปด้วย

“ไป ๆ รีบเอาแกงขึ้นบ้านก่อนเถอะ เดี๋ยวจะเย็นซะหมด”
“จ้ะป้า”


พุดกรองเดินยิ้มอารมณ์ดี หญิงสาวถือชามแกงไปไว้ในครัวก่อนเดินเลยมาดูแม่ของตนที่กำลังนั่งนับเงินตรงส่วนนั่งเล่น

“วันนี้กำไรเยอะไหมแม่” เธอถามพร้อมกับนั่งลงข้างมารดา

“อืม ก็พอได้น่ะลูก ไม่ได้กำไรมาก แต่ก็ไม่ถึงกับขาดทุนซะทีเดียว”

คนฟังถอนหายใจยาว

“สมัยนี้อะไร ๆ ก็แพงนะแม่ น้ำตาลทรายก็ขึ้นราคา ไข่ไก่ก็ขึ้น น้ำมันก็ขึ้น ข้าวสารก็ขึ้น อะไร ๆ ก็ขึ้นไปหมด”

“เฮ้อ มันก็แบบนี้แหละพุดเอ๊ย นี่ยังดีนะที่เราใช้กระทงใบตองห่อขนม เลยประหยัดค่าถุงพลาสติกไปอีกหลายบาท”

“ดีนะแม่ พุดเห็นเขารณรงค์ให้คนใช้พลาสติกน้อยลง กระทงใบตองของเราก็มีส่วนช่วยด้วยนะแม่ ตอนนี้อะไร ๆ ก็รณรงค์ลดโลกร้อน พุดสังเกตว่าลูกค้าเราหลายคนเริ่มเอาตะกร้ากับถุงผ้ามาจ่ายตลาดแล้วนะ แต่ลูกค้าวัยรุ่นยังถือถุงพลาสติกเดินกันให้ว่อน”

ปลายหันมายิ้มให้ลูกสาวพลางหัวเราะออกมาเบา ๆ

“ก็มันสะดวกเขานี่ลูก เราเองก็ยังต้องใช้ถุงพลาสติกใส่ของให้ลูกค้าอยู่เลย แม่ก็ทำเท่าที่จะทำได้นั่นแหละ เวลามีลูกค้าซื้อขนมใส่ตะกร้าหรือใส่ถุงผ้า แม่ก็จะหยิบขนมเพิ่มให้อีกชิ้นนึง...”

“โห แถมเยอะจังนะแม่ ตั้งชิ้นนึงแน่ะ”

“ก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันไปนั่นแหละลูกเอ๊ย เขามาซื้อของของเรา เราก็ตอบแทนเขาก็แค่นั้น”

“แล้วถุงที่แม่ซื้อมายังเหลืออีกเยอะไหม”

“หมายถึงถุงหูหิ้วน่ะเหรอ อืม เหลือสักกิโลนึงมั้ง มันก็หลายใบอยู่นะลูก”

“อืม งั้นเรามาทำถุงกระดาษดีไหมแม่ สมุดโทรศัพท์มีเหลือตั้งเยอะแยะ พับถุงได้เป็นร้อย ๆ ใบเลยนะ”

“อันนั้นแม่ก็คิดอยู่ แต่ติดที่ไม่มีเวลาทำน่ะสิ แค่ทำขนมอย่างเดียวก็เหนื่อยแล้ว จะเอาเวลาไหนมาทำล่ะ”

“ก็ค่อย ๆ ทำไปก็ได้แม่ พุดจะพับไว้วันละสิบยี่สิบใบ เดือนนึงก็ได้เป็นร้อยใบ แล้วเราค่อยเอาไปใช้ก็ได้”

“ตามใจเรานะ ทำไหวก็ทำ เพราะยังไงแม่ก็ไม่ได้เป็นคนพับ แม่ไม่เหนื่อย” ปลายพูดล้อบุตรสาวอย่างอารมณ์ดี

“ได้เลยแม่ เดี๋ยวพุดทำให้เองจ้ะ”

ปลายลุกจากที่นั่ง ถือถุงใส่เงินไปเก็บในห้อง ส่วนพุดกรองยังนั่งอยู่ที่เดิม สมองคิดเรื่องพับถุงกระดาษไว้ใช้เพื่อลดต้นทุนในยุคข้าวยากหมากแพงเช่นนี้


ช่อม่วงกลับมาบ้านเร็วกว่าทุกครั้ง ใบหน้าสะสมความกังวลไว้มากกว่าปกติ เธอเปิดประตูรั้วแล้วเดินเข้าไปด้วยอารมณ์เบื่อหน่ายสุดชีวิต
“ใครมาน่ะพุด”

ปลายร้องถามมาจากในห้อง พุดกรองรีบชะโงกหน้าออกไปดู พอเห็นน้องสาวกลับมาก็รีบรายงาน

“ยายช่อค่ะแม่ ทำไมวันนี้มาเร็วก็ไม่รู้ สงสัยคิดถึงบ้าน”

พุดกรองรีบลุกไปรับน้องสาวที่หน้าประตู ช่อม่วงเดินขึ้นบันไดด้วยสีหน้านิ่งสนิท ปลายรีบรีบเอาเงินเก็บในลิ้นชัก แล้วจึงออกไปคุยกับบุตรสาวคนเล็กที่เพิ่งมาถึง

“อ้าว ยายช่อ ทำไมวันนี้กลับเร็วล่ะ” ปลายถามทันทีที่เห็นหน้าลูก

“คิดถึงพี่กับแม่มากล่ะสิ” พุดกรองหยอก แต่คนฟังไม่ยิ้ม

ช่อม่วงยืนตัวตรงต่อหน้าพี่สาวและแม่ เธอเงยหน้ามองทั้งสอง แม้จะพยายามแล้ว แต่ก็รู้สึกว่าดวงตาทั้งสองข้างมีหยดน้ำมาหล่อเลี้ยงมากกว่าเดิม

“สวัสดีค่ะแม่ สวัสดีพี่พุด ช่อตกงานแล้ว”
หญิงสาวพูดสั้น ๆ ได้ใจความ ดวงตาเริ่มเป็นสีแดงก่ำ เนื้อตัวเหมือนจะสั่นเทาขึ้นมาทีละนิด

“เข้าบ้านก่อนลูก มีอะไรไปคุยกันด้านในดีกว่า” ปลายบอกกับลูกของเธอ นางประคองพาช่อม่วงเข้าบ้านโดยมีพุดกรองเดินตามอย่างใกล้ชิด



เมื่อนั่งลงที่โซฟา บ่อน้ำตาของช่อม่วงก็ทะลักทะลาย

“ช่อทนมันไม่ไหวแล้วแม่ ไอ้ผู้จัดการนั่น มันเรียกช่อเข้าไปหาในห้อง ทีแรกมันก็คุยงาน อยู่ ๆ ดีมันก็เดินมาใกล้แล้วโอบไหล่ช่อ พอช่อสะบัด มันก็เดินมาอีก คราวนี้มันไม่ได้แค่โอบ แต่มันทำท่าจะเข้ามากอด ช่อก็เลยตบมันซะหน้าหัน มันด่าช่อแล้วไล่ช่อออกแถมขู่ว่าจะให้ตำรวจมาจับช่อฐานทำร้ายร่างกาย ช่อก็เลยต่อยหน้ามันทีนึง แล้วก็เตะผ่าหมากไปอีกที แล้วช่อก็กลับมาบ้านเลยค่ะ แม่ พี่พุด ช่อตกงานแล้ว...”

ช่อม่วงร้องไห้โฮ ปลายกับพุดกรองมองหน้ากัน บอกไม่ถูกว่ากำลังรู้สึกอย่างไร ใจหนึ่งนั้นเห็นใจที่ช่อม่วงตกงาน แต่อีกใจก็ขำในวีรกรรมที่เจ้าตัวฝากไว้กับนายจ้าง

“ทำไมเงียบกันหมดล่ะคะ ช่อทำให้ทุกคนผิดหวังใช่ไหม ช่อขอโทษด้วยนะคะ ช่อขอโทษ”

พอตั้งสติได้ ปลายก็รีบปลอบลูกสาว นางลูบศีรษะช่อม่วงเบา ๆ
“ไม่มีใครผิดหวังสักหน่อย อย่าคิดมากเลยลูก อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด อย่าคิดมากเลย”

“ใช่ ไม่ต้องคิดมากหรอกช่อ มาอยู่บ้าน มาช่วยพี่กับแม่ทำขนมขายดีกว่า สบายใจ ไม่ต้องเป็นลูกจ้างใครด้วย”

ช่อม่วงเงยหน้ามองแม่และพี่สาว พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า
“แต่ช่อจะมาเป็นภาระของทุกคนน่ะสิคะ แม่กับพี่พุดทำงานเหนื่อยกันทุกวัน แล้วช่อยังจะมาเป็นภาระให้อีก ช่อสัญญานะคะว่าจะรีบหางานใหม่ให้เร็วที่สุด”

ปลายส่ายหน้าเบา ๆ ลูบศีรษะลูกพร้อมกับบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“หนูไม่เป็นภาระของแม่หรอก ช่อตกงานก็ไม่เป็นไร ไม่มีใครว่าลูกหรอก แล้วก็ไม่ต้องรีบหางานนะ ทำใจให้สบาย ๆ ถือซะว่าลาพักร้อนก็แล้วกัน”

“แต่ว่า...”

“เถอะน่ายายช่อ เชื่อแม่เถอะ พี่เองก็ไม่ได้คิดว่าช่อเป็นภาระนะ ดีซะอีกที่เราจะกลับมาอยู่บ้าน พี่กับแม่จะได้มีคนช่วยอีกแรงไง” พุดกรองอมยิ้ม แววตาแสดงความเข้าอกเข้าใจและหมายความอย่างที่พูดจริง ๆ

ช่อม่วงมองหน้าแม่กับพี่สาว ดวงตาของทั้งคู่ไร้แววตำหนิ สิ่งนั้นช่วยบรรเทาแรงกดดันในความรู้สึกของเธอลงได้มาก

“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณแม่กับพี่พุดนะคะ ขอบคุณมาก ๆ ที่เข้าใจช่อ”

น้ำตายังไม่หยุดไหลจากใบหน้าขาวเนียน ปลายหยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองจากกระเป๋าเสื้อ บรรจงซับน้ำตาของบุตรสาวด้วยความรัก

“ไม่เป็นไรจ้ะ ไม่เป็นไร ทำใจให้สบายนะลูก เรื่องแค่นี้เอง อีกประเดี๋ยวความทุกข์มันก็ผ่านไปแล้ว อย่าไปกังวลอะไรกับมันเลยนะลูก...”

ช่อม่วงพยักหน้ารับคำ น้ำตายังไม่หยุดไหล แต่เธอก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว

“เมี้ยว...”

เสียงแหลมเล็กที่ดังใกล้ ๆ ทำให้ทุกคนหันไปมอง ไม่มีใครทันสังเกตว่าเจ้าถุงเงินมานั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร ช่อม่วงเดาเอาว่าเสียงร้องไห้ของเธอคงจะทำมันตื่น

“ถุงเงิน”

พอเธอเอ่ยชื่อ เจ้าแมวไทยที่มีแต้มสีน้ำตาลเข้มตามตัวก็เดินมาหา มันจด ๆ จ้อง ๆ ครู่หนึ่ง ก่อนกระโดดขึ้นไปบนตักของช่อม่วง พลางใช้หัวถูไถเหมือนจะช่วยปลอบใจเธอด้วย

“เจ้าถุงเงินนี่มันแสนรู้จริง ๆ” ปลายพูดอย่างเอ็นดู

“มันคงจะรู้นะคะว่ายายช่อเสียใจ” พุดกรองพูดเสริม

ช่อม่วงลูบขนเจ้าถุงเงินแล้วจับหน้าของมันมาหอมเบา ๆ

“แมวก็ฉลาดแบบนี้ล่ะค่ะ แถมเจ้าถุงเงินเป็นแมววิเชียรมาศด้วย เลยยิ่งฉลาดเข้าไปใหญ่ สมกับเป็นแมวไทยพันธุ์แท้จริง ๆ” หญิงสาวพูดถึงแมวตัวโปรดอย่างภูมิใจ เธอเป็นคนไปเลือกซื้อเจ้าถุงเงินมาจากตลาดนัดด้วยตัวเอง ถุงเงินเป็นสมาชิกของบ้านนี้ตั้งแต่มันยังตัวเล็ก ๆ จนตอนนี้อายุได้สี่ขวบแล้ว

“เราจะบอกว่าเจ้านายมันก็ฉลาดด้วยใช่ไหมล่ะ” พุดกรองดักคอ ช่อม่วงหัวเราะชอบใจ ความรู้สึกอึดอัดเริ่มคลายลง

“พี่พุดน่ะ รู้ทันอีกแล้วนะ เค้าล่ะเซ็งจริง ๆ” หญิงสาวพูดติดตลกพลางแกล้งทำหน้าเบื่อหน่ายเต็มประดา

สามแม่ลูกยิ้มและหัวเราะให้กันท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ช่อม่วงยิ้มระรื่น เสมือนว่าลืมความทุกข์ไปแล้ว ทั้งที่ความทุกข์นั้นยังไม่หายไปไหน เธอแค่เก็บมันไว้ข้างในเท่านั้น...



แสงวับวาวจากดาวบนท้องฟ้าตรึงสายตาช่อม่วงไว้ชั่วขณะ หญิงสาวนอนลืมตาโพลงในความมืด กลางคืนเดินทางล่วงสู่วันใหม่หลายชั่วโมงแล้ว แต่เธอไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้แม้แต่นาที ความคิดสารพันกรูกันเข้ามาในหัวสมองจนจับต้นชนปลายไม่ถูก

“เฮ้อ.....”

นี่อาจจะเป็นครั้งที่ร้อยแล้วที่เธอถอนหายใจ เวลาคืบคลานอย่างเชื่องช้า ตอกย้ำอารมณ์ฟุ้งซ่านให้ยิ่งรุนแรงขึ้น ช่อม่วงละสายตาจากท้องฟ้า พลิกตัวหันกลับมามองฝาผนังห้องตัวเอง

ปลายเตียงค่อนมาทางปลายเท้าของเธอ มีเจ้าสัตว์ขนนุ่มนอนเหยียดตัวหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข

“ถุงเงิน หลับสบายเลยนะเรา”

มือบางเอื้อมไปลูบหัวเจ้าถุงเงินอย่างรักใคร่ และเมื่อเธอเลื่อนมือไปเกาคางให้มัน ถุงเงินก็หงายคางให้แต่โดยดี

“วาสนาดีจริงนะเจ้าถุงเงิน เกิดเป็นแมวอย่างเอ็งช่างมีความสุขซะจริง เฮ้อ ชั้นยังมีความทุกข์มากกว่าแกซะอีก เป็นคนแท้ ๆ ทำไมถึงรู้สึกว่าชีวิตไม่ได้ราบรื่นอย่างที่หวังไว้เลย ทำงานอยู่ดี ๆ ก็โดดต่อยเจ้านายชีกอจนตกงาน เฮ้อ นี่ฉันต้องกลายเป็นภาระของแม่กับพี่พุดอีกแล้วใช่ไหม...”

พอสิ้นประโยค เจ้าถุงเงินก็ได้ยินเสียงคล้ายว่าเจ้านายของมันถอนหายใจออกมาอีกครั้ง


ดวงอาทิตย์ส่องแสงรำไรที่ปลายขอบฟ้า รถขายขนมหวานเคลื่อนตัวออกมาจากใต้ถุนเรือน เสียงล้อรอบดกับก้อนกรวดดังเป็นจังหวะตามน้ำหนักและความเร็วในการเข็น ปลายเดินไปยืนข้างบ้าน เงยหน้ามองขึ้นไปยังชั้นสอง หน้าต่างห้องริมสุดเปิดรับลมหลังจากถูกปิดมานาน ไม่มีความเคลื่อนไหวใดให้รับรู้ได้ว่าตอนนี้เจ้าของห้องกำลังทำอะไรอยู่
“ยายช่อยังไม่ตื่นหรือคะ”

“จ้ะ” ผู้เป็นมารดาตอบพร้อมกับเดินมาหาลูกสาวคนโต “เมื่อคืนน้องจะนอนหลับหรือเปล่าก็ไม่รู้ แม่ล่ะห่วงจัง กลัวจะคิดมาก”

“ก็คงมีบ้างมั้งคะแม่ คนเคยทำงานทุกวัน จู่ ๆ ก็ว่างไม่มีอะไรทำ พุดว่าคงจะเคว้งบ้างล่ะ”

ปลายไม่ว่าอะไร นางเห็นด้วยกับคำพูดของลูกสาวทุกคำ
“ไปตลาดกันเถอะ อีกเดี๋ยวก็จะเช้าแล้ว”

“จ้ะแม่”

พุดกรองเข็นรถออกเดินนำหน้า ปลายเดินตามหลังบุตรสาว ใบหน้าเปี่ยมสุข ชื่นใจที่เห็นพุดกรองช่วยงานอย่างแข็งขัน นางหันกลับไปมองหน้าต่างห้องของช่อม่วงอีกครั้ง ภาวนาให้บุตรสาวคนเล็กสามารถปรับตัวปรับใจให้เป็นปกติได้ในเร็ววัน


เสียงประตูเหล็กดัดปิดเข้าหากันเบา ๆ ช่อม่วงรอจนรู้สึกว่าแม่กับพี่สาวของเธอคงจะออกไปขายขนมที่ตลาดแล้ว หญิงสาวชันตัวขึ้นช้า ๆ จนร่างอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน ถุงเงินไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว มันคงจะตื่นและออกไปทำธุระของแมวตั้งแต่เช้ามืด ประตูห้องที่แง้มไว้เล็กน้อยทำให้เจ้าแมวสุดที่รักจะเข้าออกห้องนี้เมื่อไรก็ได้

ช่อม่วงลุกขึ้นนั่งด้วยความรู้สึกเลื่อนลอย เช้านี้เป็นวันแรกในรอบหลายปีที่เธอตื่นขึ้นมาอย่างเคว้งคว้าง ความสับสนยังค้างคาทั้งในใจและในหัวสมอง สิ่งแรกที่เธอจะทำคือต้องหางานใหม่ให้เร็วที่สุด

“เอาน่า มันต้องได้สิ”

สิ้นเสียงปลุกใจตัวเอง ช่อม่วงก็ลุกพรวดจากที่นอน คว้าผ้าเช็ดตัวดิ่งไปยังห้องอาบน้ำทันที


เช้าวันแรกของการตกงานมีทั้งความกลวงโบ๋และโกรธขึ้งผสมกัน แม้น้ำที่อาบจะเย็นฉ่ำเหมือนน้ำฝน แต่อารมณ์ของคนตกงานยังคุกรุ่น

“เพราะไอ้เจ้าผู้จัดการชีกอนั่นคนเดียว ฉันถึงต้องมานั่งแกร่วเป็นคนว่างงานแบบนี้”

ช่อม่วงซดกาแฟที่เพิ่งชงมาร้อน ๆ พอกาแฟร้อนโดนปาก เจ้าหล่อนก็แทบจะสำลักพรวด กาแฟเพียงน้อยนิดที่เข้าคอไป แทบจะลวกเนื้อหนังภายในให้สุกพร้อมกันในคราวเดียว

“เอาแล้วไง เกือบโดนลวกปากแล้วไหมล่ะ”

หญิงสาวบ่นพึมในความสะเพร่าของตัวเอง ตั้งแต่กลายเป็นคนว่างงาน เธอก็รู้สึกเหมือนจิตใจจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ขณะที่ความคิดกำลังสับสนจนลำดับไม่ถูกอยู่นั้น หูของช่อม่วงก็แว่วเสียงคนร้องโอดโอยมาจากข้างบ้าน ตามด้วยเสียงเหมือนไม้หลายท่อนหล่นจากที่วางจนไปทับเท้าของคนซุ่มซ่ามคนหนึ่งเข้า

“โอ๊ย !”

คราวนี้เสียงโอดครวญดังกว่าเดิม ช่อม่วงวางกาแฟไว้บนโต๊ะรับแขกแล้วจึงวิ่งไปที่หน้าต่าง เมื่อมองเข้าไปในเขตบ้านของป้านก เธอก็เห็นชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่ง ผู้ชายร่างสูงคนนั้นนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้น ข้างตัวมีไม้แปรรูปหลายท่อนกองอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบ

“นั่นมัน...”

หญิงสาวหรี่ตามองอีกครั้ง เกือบจะแน่ใจแล้วว่าตนรู้จักใครคนนั้น เธอรีบวิ่งลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว ไม่กี่นาทีก็มุดรั้วเข้าไปอยู่ในบ้านป้านก




การไปถึงของช่อม่วงเกือบจะไม่ทำให้อีกคนสังเกตหากเขาไม่เห็นเงาของเธอเคลื่อนเข้าไปใกล้

“โทษทีครับแม่ ผมซุ่มซ่ามไปหน่อย เดี๋ยว...”

ชายหนุ่มพูดพลางเงยหน้าขึ้นช้า ๆ สายตามองไล่จากปลายเท้าขึ้นไปถึงใบหน้าของผู้มาเยือน กว่าจะรู้ว่าตัวเองไม่ได้พูดอยู่กับแม่บังเกิดเกล้าก็ตอนที่ทั้งคู่สบตากันแล้ว

“พี่...พี่...”

ช่อม่วงมองอย่างไม่แน่ใจ เธอเพ่งสายตาไปที่ใบหน้าของผู้ชายคนที่น่าจะเป็นเพื่อนเล่นวัยเด็ก เค้าโครงหน้าของเขาทำให้เธอค่อนข้างมั่นใจว่าตนจำคนไม่ผิดแน่

“พี่นุ พี่มัจฉานุใช่ไหมคะ”

ชื่อนั้นถูกเอ่ยออกไปอย่างระมัดระวัง ช่อม่วงรอดูปฏิกิริยาคนตรงหน้า ท่าทางเหมือนเขาจะประหลาดใจไม่น้อยที่ได้พบเธอ

“ช่อ นี่ช่อเหรอ”

“พี่นุ ใช่พี่นุจริง ๆ ด้วย” ช่อม่วงยิ้มกว้าง ดีใจที่ได้พบพี่ชายข้างบ้านอีกครั้ง
ชายหนุ่มขยับแว่นขึ้นลง มองใบหน้าปัจจุบันของอดีตเด็กหญิงผมเปียเมื่อสิบกว่าปีก่อน บัดนี้เธอเติบโตขึ้นเป็นสาวเต็มตัว อายุอานามน่าจะอยู่ในวัยทำงานแล้วด้วยซ้ำ

“ทำอะไรอยู่คะพี่ ลงไปนั่งกับพื้นทำไมล่ะ”

“อ๋อ พี่กำลังจะทำห้องทำงานน่ะ”

“ห้องทำงาน ?” ช่อม่วงตาวาว ถามต่อด้วยความสนใจ “พี่นุจะทำออฟฟิศส่วนตัวเหรอคะ ทำงานที่บ้านซะด้วย เจ๋งจัง พี่นุจะทำอะไรเหรอ ต้องการผู้ช่วยมั้ย ช่อว่างอยู่นะ เรียกใช้งานได้เลย”

หญิงสาวเสนอตัวด้วยใบหน้าแสนทะเล้น ชายหนุ่มผู้มีชื่อเหมือนตัวละครในวรรณคดียิ้มแหย

“พี่ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะไปรอดไหม ไม่อยากอยู่บ้านเฉย ๆ เลยลองดูน่ะ”

“แล้วจะทำอะไรล่ะพี่ พี่นุยังไม่ได้บอกช่อเลยนะ” ช่อม่วงพูดพลางช่วยมัจฉานุเก็บท่อนไม้

“เอ่อ คือ พี่ว่าจะลองเปิดคลินิกสัตว์เลี้ยงน่ะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปรอดหรือเปล่านะ เมื่อก่อนเคยเป็นลูกจ้างเขา ตอนนี้เลยอยากลองทำเองบ้าง เผื่อจะรุ่ง”

ชายหนุ่มพูดอย่างอาย ๆ อาชีพของเขาอาจจะไม่ได้มีเกียรติเหมือนอย่างแพทย์สาขาอื่น แต่เขาเลือกทำสิ่งนี้ด้วยใจรักอย่างแท้จริง

“คลินิกสัตว์เลี้ยง พี่นุเป็นสัตวแพทย์เหรอคะ”

“อือ ไปเรียนมาตั้งหลายปีกว่าจะจบ ช่อล่ะ ตอนนี้ทำอะไรอยู่”

ช่อม่วงหน้าเจื่อน ตอบด้วยใบหน้าไม่สู้ดี

“เมื่อก่อนช่อเป็นเลขาฯ ค่ะพี่ แต่ตอนนี้ตกงานแล้ว เพิ่งตกงานหมาด ๆ เลย ถึงได้มาของานพี่นุทำไงล่ะ” คนพูดแสร้งปั้นหน้าทะเล้นกลบเกลื่อนความรู้สึกผิดหวังในใจ

“อ้าว ไปทำอีท่าไหนล่ะถึงตกงาน สมัยนี้งานไม่ได้หาง่าย ๆ นะช่อ น่าเสียดาย”

ช่อม่วงถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง ก่อนระบายความอัดอั้นตันใจออกมา

“อันนั้นช่อก็รู้ สมัยนี้ใครมีงานทำถือว่าโชคดีทั้งนั้นแหละ แต่ช่อน่ะโชคร้ายที่เจอเจ้านายไม่ดี เลยตกงานประชดชีวิตซะเลย”

มัจฉานุขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจความหมายของช่อม่วง

“ตกงานประชดชีวิตนี่นะ ไม่มีอะไรจะทำแล้วเหรอไงเรา” ชายหนุ่มเอื้อมมือไปคล้ายจะยีหัวหญิงสาวเหมือนก่อน แต่พอนึกได้ว่าเธอไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว เขาจึงชักมือกลับด้วยท่าทางเก้กัง

ช่อม่วงอมยิ้ม นึกขำท่าทีของพี่ชายข้างบ้าน แต่พอพูดถึงเรื่องตัวเอง ใบหน้าของเธอก็แสดงอาการหมดอาลัยตายอยากอีกครั้ง

“เฮ้อ ก็ใครมันจะไปทนเจ้านายเจ้าชู้ได้ล่ะพี่ ใครทนได้ก็ทนไปเถอะ ช่อคนนึงล่ะที่ไม่ทน” หล่อนอธิบายเพียงสั้น ๆ

“อย่างงั้นเอง...” ชายหนุ่มรับฟังอย่างเห็นใจ พอจะเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย

“แล้วนี่พี่นุจะทำออฟฟิศแบบไหนคะ ขนไม้มาซะเยอะเชียว” ช่อม่วงเปลี่ยนเรื่องคุย แสร้งวกกลับมาที่เรื่องของมัจฉานุแทน

“อ๋อ ไม่ได้อะไรมากมายหรอก พี่จะดัดแปลงเรือนปลูกต้นไม้ข้างบ้านให้เป็นห้องตรวจรักษาน่ะ ก็แค่เปลี่ยนไม้ผุ ๆ ออก แล้วเอาไม้ใหม่ไปใส่แทนแค่นั้นแหละ”

“โห ป้านกยอมให้พี่ใช้เรือนต้นไม้ด้วยเหรอ ปกติเห็นหวงจะตาย”

“กว่าจะได้ขออยู่นานเหมือนกันล่ะ ทำไงได้ พี่งบน้อยนี่ จะลงทุนต่อเติมบ้านก็ดูจะเกินตัวไปหน่อย เอาแค่เล็ก ๆ ก็พอแล้ว ไว้ถ้ากิจการไปได้ดีค่อยขยับขยายก็ได้”

“งั้นช่อช่วยขนไม้นะพี่”

พอช่อม่วงทำท่าจะยกไม้สิบกว่าท่อนด้วยตัวเอง มัจฉานุก็รีบปราม

“ไม่ต้อง ๆ เดี๋ยวพี่ยกเอง ช่ออยู่เฉย ๆ เถอะ”

“พี่นุจะยกคนเดียวไหวเหรอ ให้ช่อช่วยก็ได้”

“ไม่เป็นไรหรอก งานแบบนี้ให้ผู้ชายทำเองดีกว่า” ชายหนุ่มว่าพลางทำท่าเหมือนจะยกไม้ทั้งหมดไปเองด้วยพละกำลังของตน ทว่า ฟ้าไม่เข้าข้างคนมือไม้อ่อนอย่างเขา แค่ยกไม้สิบท่อนแนบอก ร่างของมัจฉานุก็แอ่นระเนนจะล้มมิล้มแหล่

“เอ้า ๆ ไหนบอกว่ายกไหวไงพี่ ดูซิ ยังไม่ทันจะได้ไปไหนเลย” ช่อม่วงส่ายหน้า ก่อนจะยื้อท่อนไม้บางส่วนมาถือไว้เอง “มา ให้ช่อช่วยแล้วกัน”

ว่าแล้วช่อม่วงก็เดินนำลิ่วไปยังเรือนปลูกต้นไม้ที่อยู่อีกด้านหนึ่งของบ้าน ความคุ้นเคยทำให้เธอไม่ต้องรอให้เจ้าของบ้านเอ่ยปากอนุญาต

ช่อม่วงไปถึงเรือนปลูกต้นไม้ก่อนเจ้าบ้านเสียอีก หญิงสาวมองดูความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น กระถางไม้ประดับส่วนใหญ่ถูกย้ายไปไว้รวมกันด้านในสุด ทำให้เหลือพื้นที่มากพอจะทำเป็นสถานบริบาลสัตว์ขนาดเล็กได้

“โห ดูเป็นระเบียบขึ้นตั้งเยอะแน่ะ แล้วพี่นุมีลูกค้าหรือยัง” ช่อม่วงหันไปถามชายหนุ่มที่เดินตามหลังเธอมา

มัจฉานุจับท่อนไม้ไปพิงไว้กับฝาไม้ระแนงด้านทางเข้า พอเสร็จก็ก้าวเข้าไปในสำนักงานที่ยังไม่เป็นรูปร่างดีนัก มีเพียงโรงไม้ระแนงโล่ง ๆ ดีที่ยังมีไม้ประดับ ทำให้ดูไม่แห้งแล้งจนเกินไป

“จะว่ามีก็มีนะ วันก่อนลุงบ้านโน้นก็เอาไก่มาให้ดู อยากให้พี่ฉีดยาให้หน่อย ลุงแกกลัวว่าไก่จะป่วยจนชนไม่ได้”

“พวกวัคซีนไข้หวัดนกเหรอพี่นุ”

“ไม่ใช่หรอก คนละอย่างกัน วัคซีนที่พี่เป็นวัคซีนกันโรคนิวคลาสเซิลน่ะ”

ช่อม่วงหน้าเหรอก่อนจะหัวเราะออกมาดัง ๆ

“อะไรพี่นุ ไก่ของลุงเค้าเป็นโรคกลัวทีมฟุตบอลด้วยเหรอ แบบนี้ก็อดโกอินเตอร์น่ะสิ” หญิงสาวทำหน้าทะเล้น คิดว่าชายหนุ่มแกล้งปล่อยมุกให้ตัวเองขำ

“ไม่ใช่สักหน่อย” ชายหนุ่มหน้ามุ่ย ทำหน้าเนือย ๆ ขณะอธิบาย “เฮ้อ แค่ชื่อโรคมันไปตรงกับชื่อทีมฟุตบอลน่ะ โรคนิวคลาสเซิลที่ว่าเนี่ย เป็นโรคระบาดในสัตว์ปีก ถ้าไก่ตัวไหนติดเชื้อก็จะทำให้มันมีอาการซึม เบื่ออาการ บางตัวจะไอ จาม แล้วก็หายใจลำบาก คอปิด ปีกตก กระทั่งเป็นอัมพาต แล้วก็...”

เมื่อเห็นท่ามัจฉานุจะพูดจายืดเยื้อ คนฟังก็รีบโบกมือห้าม

“โอเค ๆ เอาเป็นมันเป็นโรคชนิดหนึ่งที่ทำให้ไก่ตายได้” ช่อม่วงสรุปสั้น ๆ หล่อนไม่ได้เลี้ยงไก่และไม่ได้เป็นไก่ จึงไม่อยากรู้ว่าบรรดาไก่ ๆ ทั้งหลายมีโรคร้ายอะไรบ้าง

“อือ ใช่”

“แล้วไก่ติดเชื้อจะยังเอาไปตีได้อีกเหรอพี่นุ โรคอันตรายแบบนี้ปศุสัตว์ไม่ให้เอาไว้หรอกมั้ง”

“ก็ทำนองนั้น แต่ไก่ของลุงคนนี้ยังไม่ได้ติดเชื้อหรอก แต่แกคะยั้นคะยอให้พี่ฉีดยาไก่ให้ได้ พี่ก็เลยให้ไปตามใจลูกค้า ลุงเขาจะได้ไม่ต้องกังวลอีก”
ช่อม่วงตาแทบถลน ตกใจที่ได้ยินมัจฉานุตอบเช่นนั้น

“อะไรนะ พี่นุฉีดวัคซีนไก่ตามใจลูกค้างั้นเหรอ แล้วไก่ตัวนั้นมันจะไม่ตายเหรอ ให้ยาทั้ง ๆ ที่มันไม่ได้ป่วยนี่นะ”

ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ บอกให้ช่อม่วงหายข้องใจว่า

“อันนั้นพี่ก็รู้ ถึงจะเป็นสัตวแพทย์มือใหม่ แต่พี่ก็มีจรรยาบรรณเหมือนกันนะ”

“มีจรรยาบรรณแต่ฉีดวัคซีนให้ไก่ทั้งที่ไก่ตัวนั้นไม่ได้เป็นโรคนี่นะ”

“ฉีดไง แต่ไม่ได้ฉีดวัคซีน พี่ฉีดยาตัวอื่นให้”

“พี่นุฉีดยาอะไร ?” ช่อม่วงถามเสียงหนัก

“ก็พวกยาบำรุงให้ไก่คึกน่ะ เห็นลุงแกกังวลว่าไก่ไม่ค่อยคึกเท่าไหร่ กลัวว่าจะป่วยก่อนแข่ง พี่ตรวจแล้วว่าไก่มันไม่ได้เป็นอะไรหรอก เป็นที่ตัวลุงแกกังวลไปเองต่างหาก แต่ก็เพื่อความสบายใจของลุง พี่เลยให้ยาบำรุงพิเศษ แกจะได้ขยายพันธุ์ไก่ได้สักที”

“อ๋อ...อ...อ ที่แท้พี่ก็ให้ยาโด๊ป” หญิงสาวลากเสียงยาว โล่งใจที่มัจฉานุไม่ได้ให้ยาไปส่งเดช

“เป็นไง ดีใช่ไหมล่ะ แก้กังวลให้ลูกค้าได้ แล้วก็เผื่อแผ่ให้มีทายาทสืบต่อด้วยนะ” มัจฉานุพูดด้วยภูมิใจในความสามารถด้านการคิดพลิกแพลงของตน แต่ยิ้มได้ไม่ทันไร ก็เจอคำถามที่ทำให้ต้องอึ้งไปทันใด

“เอ๊ะ แล้วลุงคนนั้นแกมีไก่แม่พันธุ์ด้วยหรอคะ แล้วทำไมพามาแต่ตัวผู้แค่ตัวเดียวล่ะ ถ้าจะให้วัคซีนก็น่าจะให้ทั้งสองตัวนี่นา”

มัจฉานุตกใจ เขาลืมเรื่องนี้ไปสนิท

“ลุงแกจะเอาไก่ไปชนวันไหนนะคะ”

“...วันนี้จ้ะ” ชายหนุ่มตอบไม่เต็มเสียง นึกในใจว่าเขาคงทำเสียเรื่องเข้าแล้ว

“จะเอาไก่ไปชนวันนี้ แล้วพี่นุฉีดยาโด๊ปให้ไก่เมื่อวาน... แบบนี้ผลมันจะเป็นยังไงคะ”

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน...”

ชายหนุ่มหน้าซีด ไม่อยากคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น


“วันนี้กำไรแค่สองร้อยเอง ยังดีนะที่ขายหมดไม่เหลือทิ้ง ไม่งั้นล่ะแกเอ๊ย เราได้ขาดทุนป่นปี้แน่” เสียงนกลอยมาแต่ไกล ไม่นาน ทั้งนก พลอย และพุดกรองก็มาถึง

มัจฉานุรีบลุกไปเปิดประตูรั้วให้แม่ ช่อม่วงก็เช่นกัน เธอรีบมุดรั้วกลับไปยังบ้านของตนเพื่อรับหน้าแม่กับพี่สาว

“อ้าว ตื่นแล้วเหรอลูก”

“จ้ะแม่ ช่อตื่นสักพักแล้วล่ะ” หญิงสาวตอบ

นกขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงสองแม่ลูกคุยกัน นางเดินมาที่ริมรั้วแล้วชะเง้อข้ามมา พอเห็นลูกสาวคนเล็กของเพื่อนสนิทก็ร้องทัก

“อ้าว หนูช่อ วันนี้ไม่ไปทำงานเหรอจ๊ะ”

นางทักทายตามประสาคนรู้จัก มัจฉานุรีบเดินตามแม่มา ตามองสีหน้าของช่อม่วงที่ตอนนี้ดูกระอักกระอ่วนพิกล

“เอ่อ ช่อไม่ได้ทำงานแล้วค่ะ...”

รอยยิ้มที่คิดว่าสมบูรณ์แบบที่สุด ถูกส่งไปพร้อมแววตาที่ดูอย่างไรก็ไม่มีประกายสดใส นกมองใบหน้าหลานสาวอย่างเข้าใจ คำถามที่คิดไว้จึงไม่ถูกเอ่ยออกไป

“งั้นก็ดีเลย มาช่วยแม่ของหนูทำขนมขายสิ แม่ปลายเขายิ่งบ่น ๆ อยู่ว่าปั้นขนมไม่ค่อยทัน มีช่อมาช่วยอีกแรงก็เจ๋งเลย”

ช่อม่วงยิ้มแหย สบตาแม่กับพี่สาวแบบไม่เต็มสายตา

“ช่อว่าจะลองหางานใหม่ก่อนน่ะค่ะ ถ้าหาไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที”

นั่นคือคำตอบที่เสมือนข้อความแทนใจของช่อม่วง เธอยังไม่คิดว่าตัวเองจะต้องทำงานอยู่กับบ้าน เรื่องช่วยงานของครอบครัวยังเป็นเรื่องไกลตัว หญิงสาวยังคิดถึงชีวิตการทำงานตามระบบ เงินโบนัสก้อนโต รวมไปถึงบ้านสวย ๆ สักหลัง ในอนาคต เธอจะต้องพาแม่กับพี่สาวไปอยู่ในถิ่นที่เจริญกว่านี้ให้ได้

“อืม งั้นเหรอจ๊ะ ก็ดีเหมือนกันนะ จะได้มีเงินมาเลี้ยงแม่เค้า ขอให้โชคดีนะจ๊ะ”

“ขอบคุณค่ะป้า” ช่อม่วงยกมือไหว้รับคำอวยพร

“อ้อ หนูได้คุยกับนุหรือยัง จำกันได้หรือเปล่า ไม่ได้เจอกันหลายปีแล้วนี่” นกหันไปโอบไหล่บุตรชายให้มายืนเคียงกัน

“เจอแล้วครับ เพิ่งคุยกันเมื่อกี้เอง”

“ค่ะ เมื่อกี้ช่อไปดูที่ทำงานใหม่ของพี่นุมาด้วยนะ”

นกหัวเราะร่า พูดหยอกอย่างอารมณ์ดี

“คอกข้างบ้านน่ะเหรอ ไปดูแล้วเป็นไงบ้างล่ะ”

“โธ่ แม่ คอกที่ไหน นั่นห้องทำงานของผมนะ คลินิกสัตว์เลี้ยงนะแม่ ไม่ใช่คอกขังสัตว์” มัจฉานุเถียงคอเป็นเอ็น

“ไม่ใช่คอกก็เหมือนคอกนั่นแหละ แทนที่จะต่อเติมใหม่ให้มันดี ๆ นี่อะไร ไปยึดเรือนต้นไม้แม่ซะอย่างงั้น แล้วดูสภาพสิ เหมือนคลินิกตรงไหนล่ะน่ะ” นกโบ้ยหน้าไปทางเรือนต้นไม้

จริงอย่างนางว่า สภาพของเรือนต้นไม้ตอนนี้ ดู ๆ ไปก็ไม่ต่างอะไรกับกรงขังสัตว์ขนาดใหญ่ ช่อม่วงถึงกับหัวเราะขำตัวเองที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของคอกอย่างไม่ตั้งใจ

“เกินไปยายนก พูดแบบนั้นลูกก็เสียกำลังใจหมดสิ” ปลายชะเง้อมองไปทางเรือนต้นไม้ก่อนเบนสายตากลับมายังเจ้าของสถานที่ “ป้าว่าไม่เลวนักหรอกนุ ตบ ๆ แต่ง ๆ สักหน่อย เดี๋ยวก็เข้าที่เองล่ะ”

มัจฉานุยิ้มปลื้มที่มีคนเข้าข้าง แต่ความปลาบปลื้มมักอยู่ไม่นาน เมื่อร่างของลุงแช่มปรากฏที่ประตูรั้วพร้อมไก่ชนตัวเก่งของแก เฒ่านักเลงไก่ชนเดินดิ่งไปยังสองแม่ลูกทันทีที่เห็น ปากก็ร้องโวยวายไปด้วย

“เจอพอดีเลย เฮ้ย ไอ้หนุ่ม เมื่อวานเอ็งเอายาอะไรให้ไก่ลุงเรอะ ทำไมมันเอาแต่ไล่ทับคู่ต่อสู้วะ ไล่ทับซะไอ้ตัวคู่แข่งมันวิ่งหนีกระเจิง เอ็งเอายาอะไรให้ไก่ลุงกันแน่ บอกมาสิ”

ถ้อยคำถามเค้นของชายแก่ทำให้มัจฉานุหน้าซีด เขาเลี่ยงไปยืนหลังแม่ตัวเอง ก่อนตอบอ้อมแอ้มไปว่า

“ก็ยาบำรุงไงลุง ลุงอยากได้ยาบำรุงไม่ใช่เหรอ”

“เออสิ ข้าให้เอ็งเอายาบำรุงให้ แล้วเอ็งเอายาอะไรให้วะ ทำไมมันไม่ตีคู่ต่อสู้เลย” คิ้วขาวโพลนของลุงแช่มขมวดเข้าหากันจนแทบจะกลืนเป็นเส้นเดียว มัจฉานุยืนตัวลีบ พยายามขยับให้ห่างจากปลายเท้าของนักเลงไก่ชนให้มากที่สุด

“ก็ยาบำรุงนั่นแหละครับ เห็นลุงบอกว่าไก่มันไม่คึกไง ผมเลยเอายาที่จะทำให้มันคึกมาก ๆ ให้ไก่ลุง ...ไม่ดีเหรอครับ”

ลุงแช่มตาวาว ถามเสียงเข้ม
“แล้วมันยาบำรุงอะไรล่ะวะ ข้าให้เอ็งเอายาบำรุงกำลังให้ไก่ ตกลงเอ็งเอายาอะไรให้ไก่ข้ากันแน่”

“...มันเป็นยาโด๊ปครับลุง” มัจฉานุตอบเสียงอ่อย ตาคอยจับปลายเท้าของลุงแช่มว่าจะเหวี่ยงมาในทิศทางใด

“อะไรนะ ! เอ็งเอายาโด๊ปให้ไก่กูเรอะ อุแหม่ ไอ้เด็กเวรเอ๊ย นี่มึงกะจะให้ไก่กูตายคาสังเวียนเลยใช่ไหม !” ลุงแช่มเดินรี่เข้าไปหมายจะเงื้อขาไปเตะหมอจอมมั่วสักป้าบ แต่โดนนกโดดเข้าขวางไว้

“เดี๋ยวสิตาแช่ม มีอะไรก็พูดกันดี ๆ เอะอะก็จะลงไม้ลงมือเลยเรอะ” นกพยายามข่มด้วยน้ำเสียง แต่ลุงแช่มไม่สนใจ ยังพยายามจะเข้าไปเตะมัจฉานุให้ได้

“ไม่ต้องเลยนะแม่นก ไม่ต้องมาปกป้องลูกหล่อนเลย หล่อนก็ดีแต่ให้ท้ายลูก ไก่ชั้นไม่ชักตายก็บุญเท่าไหร่แล้ว”

ปลายเห็นท่าไม่ดี รีบเข้าไปห้ามทัพด้วยอีกคน

“เดี๋ยว ๆ ใจเย็น ๆ ก่อนลุงแช่ม มีอะไรก็ค่อย ๆ พูดกันก็ได้”

“ใจเย็นอะไรอีกล่ะแม่ปลาย ไก่ชั้นตัวตั้งหลายพัน ซื้อมาตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ ประคบประหงมตั้งนานกว่าจะตัวโตเท่านี้ แล้วลูกแม่นกมาให้ยาไก่ชั้นมั่ว ๆ แบบนี้ใช้ได้ที่ไหนล่ะ” ลุงแช่มโมโหหน้าดำหน้าแดง ไม่ฟังเสียงอะไรทั้งสิ้น
“เอาน่า ใจเย็นก่อนน่ะลุงแช่ม ไก่ลุงมันก็ยังไม่ตายไม่ใช่เหรอ ก็ให้อภัยลูกหลานมันไปเถอะน่ะ มันหวังดีอยู่นะ”

“หวังดียังไงล่ะแม่นก ให้ยาไก่มั่ว ๆ นี่เหรอ เรียกหวังดี” ลุงแช่มไม่ยอมลดละ ยังตั้งหน้าจะหาทางเตะมัจฉานุให้ได้ ชายหนุ่มได้แต่หลบเลี่ยงไปมาโดยมีร่างของแม่เป็นกันชน

“ใช่ ผมหวังดีจริง ๆ นะลุง เห็นลุงบ่นว่าไก่มันดูไม่กระฉับกระเฉงเท่าไหร่ ผมเลยให้ยาโด๊ปมันไง เห็นมั้ยล่ะ ไล่ทับซะจนชนะเลย ไม่ต้องโดนจิกให้เจ็บตัวด้วยนะลุง”

คำแก้ตัวของสัตวแพทย์มือใหม่เพิ่มดีกรีความโกรธให้แก่ลุงแช่มอีกเป็นเท่าตัว แกแผดเสียงลั่นเหมือนอยากจะหักคอตัวต้นเหตุให้หายแค้น

“ไอ้หมอเวร ! แล้วเอ็งมาให้ยาสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้ เกิดไก่ข้าหัวใจตายไปจะทำยังไง ข้ามีไก่แค่ตัวเดียวนะโว้ย ไม่ได้มีตัวเมียให้มันทับ เดี๋ยวจับให้มันมาทับกับแกซะดีมั้ย ห๊า ไอ้หมอมั่ว !”

สามแม่ลูกได้ฟังก็แอบขำ ต่างคนต่างกลั้นหัวเราะ ลุงแช่มยังสาละวนหาทางไล่เตะมัจฉานุ ไก่ในอ้อมกอดของแกโดนหนีบไปมาจนหัวหมุน ความโมโหทำให้นักเลงไก่ลืมไก่ของตัวเองไปสนิท

“เฮ้ย เอ็งจะหนีทำไมวะไอ้นุ มาให้กูเตะซะดี ๆ !”

“โอ้ย ลุง ไก่ลุงหัวหมุนแล้ว เดี๋ยวมันก็ตายจริง ๆ หรอก” ช่อม่วงตะโกนบอกเฒ่าไก่วัยเจ็ดสิบปี ลุงแช่มชะงัก ก้มมองไก่ในอ้อมกอดอย่างตกตะลึง

“อ้าวเฮ้ย พ่อนพลูกพ่อ เอ็งอย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ เดี๋ยวพ่อจะเตะมันแก้แค้นให้เอ็งเอง”

“พอแล้ว ๆ ลุงแช่ม อะไรกันนักหนา เดี๋ยวพ่อนพของลุงก็ตายคาอกลุงพอดี พอ ๆ เลิกโกรธได้แล้ว ไก่มันก็มันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย แค่ไปหาตัวเมียมาให้มันสักตัวก็พอ” ปลายเสนอทางออกให้เพราะทนดูต่อไปไม่ไหว

“วะ แล้วชั้นจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าพ่อนพของชั้นมันจะชอบหรือเปล่า ไปเอามามั่ว ๆ เกิดพ่อนพไม่ชอบขึ้นมาล่ะ ชั้นจะทำยังไง” ลุงแช่มไม่วายหาข้ออ้างมาเถียงอีกตามเคย นกส่ายหน้าไปมา เหนื่อยใจแต่ก็พยายามพูดให้ลุงแช่มเปลี่ยนใจ

“เถอะน่าลุงแช่ม ลองดูสักทีจะเป็นไรไป ไก่ลุงมันฟิตปั๋งซะขนาดนี้ หาคู่ให้มันสักตัวก็ดีนะ จะได้เพาะพันธุ์เองไง ไม่ดีเรอะ”

“มันจะไปดียังไงวะ ไก่ข้าเป็นพ่อพันธุ์ชั้นดีนะเว้ย จะหาเมียให้มันทั้งทีก็ต้องเอาให้มันสมน้ำสมเนื้อกันหน่อยสิวะ”

“เอาน่ะ ลุงก็หา ๆ ให้มันไปก่อน เอาไว้วันหลังค่อยหาเมียใหม่มาให้มันก็ได้ ดีกว่าให้มันหัวใจวายตายนะลุง หรือลุงจะยอมให้ไก่มันหัวใจวายตายเพราะหาคู่มาผสมพันธุ์ไม่ได้”

คำขู่ของนกได้ผล ลุงแช่มเริ่มเออออตามอย่างไม่ยากเย็น

“อืม... ก็จริงของหล่อนเหมือนกันนะ แต่ป่านนี้แล้วข้าจะไปหาตัวเมียจากไหนล่ะวะ ไอ้นุ เอ็งต้องรับผิดชอบ ไปหาเมียมาให้ลูกลุงด้วย ไม่งั้นโดนเตะแน่มึง” นักเลงเฒ่าชี้หน้าหมอมือใหม่

นกดึงแขนลูกชาย พยักพเยิดให้ทำตามคำขอของอีกฝ่าย
“ไปเร็ว ๆ เข้านุ”

“จะดีเหรอแม่ เกิดลุงเขาไม่ถูกใจขึ้นมาล่ะ” ชายหนุ่มกระซิบถามมารดา

“เอ๊ะ เรานี่ยังไงนะ ก็ฝีมือแกไม่ใช่เหรอที่ทำให้ไก่ลุงเค้าเป็นแบบนี้น่ะ ไปเลย ๆ ไปจัดการหาไก่ตัวเมียมาซะ ไม่งั้นแม่จะให้ลุงแช่มเตะแกให้หายแค้นเลยดีไหม”

“เอางั้นก็ได้จ้ะ...” มัจฉานุรับคำเสียงอ่อย “รอเดี๋ยวนะจ๊ะลุง เดี๋ยวผมจะไปหาไก่ตัวแจ่ม ๆ มาให้”

“เออ รีบ ๆ ไปนะ ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ”

“ครับ ๆ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับลุง”

ชายหนุ่มเผ่นแผล็วไปอย่างรวดเร็ว ลุงแช่มพอใจ เดินส่ายอาด ๆ ออกไปหน้าบ้าน ก่อนจากไปก็หันมาตะโกนบอกนกว่า

“แม่นก เดี๋ยวถ้าไอ้นุมันมา ช่วยบอกให้มันเอาไก่ไปส่งข้าที่บ้านทีนะ”
“จ้ะลุง เดี๋ยวชั้นจะบอกมันให้จ้ะ”

“เออ งั้นข้าไปล่ะ”

ว่าแล้วนักเลงไก่ก็เดินฮัมเพลงจากไปอย่างมีความสุข



“เฮ้อ บทจะไปก็ไปง่าย ๆ แบบนี้เลยเนอะ” พุดกรองพูดออกมาดัง ๆ
“ก็อย่างนี้แหละพุด ไม่เห็นจะแปลก” นกว่า

ช่อม่วงผู้ซึ่งไม่รู้เรื่องอะไร มองหน้าพี่สาวกับเพื่อนของแม่สลับกันไปมา
“อะไรคะที่ว่าไม่แปลก”

นกถอนหายใจแล้วบอกว่า

“ก็ธรรมดาไงจ๊ะ ปกติลุงแช่มแกชอบของฟรีอยู่แล้ว เวลามีเรื่องอะไรกันล่ะก็ ถ้าอยากให้แกเงียบไว ๆ ก็ต้องมีของไปสมนาคุณให้แกหน่อย เห็นบ่นเป็นหมีกินผึ้ง พอได้ของแลกเปลี่ยนเท่านั้นแหละ หุบปากเงียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

“อย่างงั้นเหรอคะ”

พุดกรองกับปลายพยักหน้ารับทั้งคู่ หันไปทางนก นางก็พยักหน้ารับเช่นกัน
“ใช่จ้ะ ปกติแกก็เป็นอย่างนี้ล่ะ”

คำตอบของทั้งสามทำให้ช่อม่วงรู้สึกแปลกแยก เธอห่างบ้านไปนานจนไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริง ๆ ลืมกระทั่งเรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนิสัยใจคอของเพื่อนบ้านบางคน ความห่างเหินทำให้รู้สึกเหมือนว่าตนไม่เหมาะกับที่นี่ ทั้งที่เป็นบ้านที่เธอเกิดและเติบโตมา

แม่กับพุดกรองเดินเข้าบ้านไปแล้ว ป้านกก็เข้าบ้านตัวเองไปแล้วเหมือนกัน เหลือเพียงช่อม่วงที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปทางไหน หญิงสาวเหลียวไปมองรอบ ๆ ถ้าไม่นับบ้านจัดสรร อย่างอื่นก็แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยน ทว่า ความคิดของเธอเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่เด็กหญิงช่อม่วงคนเดิมที่มีความสุขกับการวิ่งเล่นรอบบ้านอีกต่อไป อนาคตจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเธอในวันนี้

“ฉันจะต้องหางานใหม่ให้ได้ !”

ช่อม่วงย้ำกับตัวเองอย่างมั่นใจ

“แม่ พี่พุด เดี๋ยวช่อมานะ” พูดจบ หญิงสาวก็วิ่งตัวปลิวไปทันที เป้าหมายของเธอคือร้านขายหนังสือ งานหลายร้อยตำแหน่งรออยู่ที่นั่น

ถึงเวลาที่จะต้องเลือกทางเดินให้ตัวเองอีกครั้ง




 

Create Date : 03 มิถุนายน 2551
9 comments
Last Update : 3 มิถุนายน 2551 19:36:11 น.
Counter : 813 Pageviews.

 

ขออภัยที่มาอัพช้านะก๊ะ
ตอนนี้กำลังหัวฟูกับตอน 4 อยู่ค่ะ
ไปครึ่งทางแล้วววววว


และเพื่อให้อ่านง่ายๆ เลยเอาแบล๊คกราวด์ออกไปก่อนค่ะ ทั้งนี้คงจะเอาออกไปจนกว่าจะเขียนเสร็จ เอิ๊กซ์

 

โดย: อัญชา 3 มิถุนายน 2551 12:19:37 น.  

 

มาลูบๆ เจ้าถุงเงินด้วยคน อิอิ

เรื่อง DHC ตัวที่กิน
เป็นรวมวิตามินบีสอง ซี และอี
เท่าที่กินมาสองอาทิตย์ ผลน่าพอใจ คนที่ทำงานทักหมดเลยว่า ไปทำไรมา ผิวสวยเด้งผิดปกติ เอิ๊กๆๆ เดี๋ยวจะลองกินต่อดูจ้า


ปล. ตอนอ่านเมนต์ว่า "เพียวลิน่า ทู" เห็นเป็นทูน่าได้ไงไม่รู้ ฮ่าๆๆๆๆ

 

โดย: แพนด้ามหาภัย 3 มิถุนายน 2551 12:48:30 น.  

 

มาตามอ่านเลยค่า

 

โดย: โยเกิตมะนาว 3 มิถุนายน 2551 19:02:24 น.  

 

คุงแพนด้าฯ

ขอบคุณสำหรับข่าวฝากนะคะ

อิอิ น่าสนใจจจจจจ



คุณโยเกิตมะนาว

เย้ๆ อิอิ

 

โดย: อัญชา 3 มิถุนายน 2551 19:37:19 น.  

 

แค่ชื่อเรื่องก็ทำให้อยากคลิกเข้ามาแล้วละคะ
ชื่อเรื่องน่ารักจัง ^^

 

โดย: fonrin 3 มิถุนายน 2551 20:38:29 น.  

 

มาลงชื่ออ่านด้วยอีกคนค่ะ

 

โดย: ธาร นาวา 3 มิถุนายน 2551 23:15:32 น.  

 

โอ้ววว คุณอัน...ขอขยับแว่นค่อยๆ อ่านก่อนนะคะ ...


พระเอกบื้อกับสาวน้อยจอมแก่น ...ขอกระชากวัย มานั่งเป็นกำลังใจกับตอนต่อไปนะคะ

 

โดย: Hachi_chan 7 มิถุนายน 2551 21:02:49 น.  

 

เอามาให้เลือกหนึ่งเล่มจ้า

 

โดย: mymamee 9 มิถุนายน 2551 2:37:45 น.  

 

เนื้อเรื่องน่ารักจัง

 

โดย: อุ๊ IP: 117.47.59.197 18 มิถุนายน 2551 12:33:48 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


อัญชา
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add อัญชา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.