พระเครื่อง : แหล่งข้อมูลบทความพระเครื่อง เครื่องรางของขลัง และวัตถุมงคล
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2556
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
21 มีนาคม 2556
 
All Blogs
 
PORSCHE WORLD ROADSHOW 2013 ขับสนุกสไตล์กบ (ตอนที่2)

PORSCHE WORLD ROADSHOW 2013 ขับสนุกสไตล์กบ (ตอนที่2)


AAS Auto Service จับมือกับ Porsche AG จัดเต็มขนทัพรถสปอร์ตหรูกว่า 20   คัน ให้สื่อมวลชนและลูกค้าลงทดสอบสมรรถนะอย่างเต็มพิกัดในกิจกรรม Porsche   World Roadshow 2013 ที่สนามพีระเซอร์กิต พร้อมเปิดตัว New Cayman   รุ่นล่าสุด ครั้งแรกในไทย...

ย้อนเวลากลับไปสู่จุดกำเนิดของ Porsche  รถสปอร์ตคันเล็กจากแนวความคิดของ Dr.Ferdinand Porsche  ผู้ก่อตั้งและวางรากฐานอันมั่นคงของบริษัท  ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง  Dr.Ferdinand Porsche ได้เข้าไปร่วมพัฒนารถ Volkswagen ใน  ฝรั่งเศส เป็นการชดเชยค่าเสียหายจากสงครามที่เยอรมนีก่อขึ้น   ความชิงชังทำให้รัฐบาลฝรั่งเศสในยุคนั้นสั่งจำคุก Dr.Ferdinand Porsche   ในฐานะอาชญากรสงคราม ขณะเดียวกัน ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน Ferdinand Anton   Ernst Porsche หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ Ferry   ต้องเข้าไปทำงานสร้างรถแข่งแบบกรังด์ปรีซ์เครื่องยนต์วางกลางลำให้กับโรงงาน   Cisitalia ในประเทศอิตาลี สำหรับ Ferry Porsche แล้ว   การมาทำงานด้านรถแข่งในอิตาลีคือการเก็บเงินจำนวนหนึ่งเพื่อนำไปถ่ายตัวบิดา  ออกมาจากคุก นอกจากนี้ โรงงาน Cisitalia   ยังได้ทำการผลิตรถยนต์แบบสปอร์ตคูเป้ต้นทุนต่ำที่ใช้ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ ต่างๆ จากรถ Fiat




หลัง จาก Dr.Ferdinand Porsche  ออกจากคุกในปี คศ 1948 บิดาผู้ให้กำเนิดแบรนด์  Porsche   ได้เดินทางกลับไปยังบ้านเกิดในประเทศออสเตรียซึ่งกลายเป็นสถานที่ตั้งและที่ ทำงานแห่งใหม่ที่ย้ายหนีการโจมตีทางอากาศจากเครื่องบินรบของฝ่ายสัมพันธมิตร  ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เครื่องบินทิ้งระเบิดท่ี่มักบินมาโจมตีเมือง   Stuttgart จน Dr.Ferdinand Porsche   ต้องหอบครอบครัวหลบหนีจากเยอรมนีมายังประเทศเล็กๆ  ที่สวยงามและเป็นเหมือนบ้านเกิดเมืองนอน ในออสเตรีย ลูกชายของ Ferdinand  Porsche  ได้นำเอารถต้นแบบที่เรียกว่า 356/1   ที่ลงมือออกแบบและสร้างด้วยตนเองมาให้พ่อดู  มันคือรถสปอร์ตเล็กๆ  แบบสองที่นั่ง ที่เอาเครื่องยนต์มาจากรถ Volkswagen ที่  พ่อเคยสร้าง   โดยทำการปรับแต่งเครื่องยนต์บางชิ้นส่วนและเพิ่มเติมส่วนที่จะทำให้มี  สมรรถนะดีขึ้น   ช่วงล่างและระบบห้ามล้อก็นำมาจากรถเต่ารวมถึงแซสซีส์ด้วยเช่นกัน   ทำให้มันมีฐานล้อสั้นลงประมาณ 1 ฟุต ชื่อรหัสตัวรถ 356/1   คือการเชื่อมโยงรถสปอร์ตรุ่น 355 ที่พัฒนาขึ้นโดย Ferry Porsche   ลูกชายคนเก่งที่ได้รับอิทธิพลทางแนวความคิดในการสร้างรถสปอร์ตจาก Ferdinand   Porsche




หลัง จากนั้น Ferdinand Porsche   ได้ทำการปรับปรุงพัฒนาตัวรถจนออกมาเป็นรถต้นแบบอีกคันโดยใช้ชื่อเป็นรหัส  ตัวเลขว่า 356/2 ซึ่งต่อมาคนทั่วไปรู้จักกันในชื่อ Gmund Coupe   มันคือต้นแบบของรถสปอร์ตสองประตูสี่ที่นั่ง ฐานล้อถูกร่นให้สั้นอีกสองนิ้ว   ตัวถังภายนอกถูกออกแบบโดยการคำนึงถึงระบบอากาศพลศาสตร์   ส่งผลให้มันมีความล้ำสมัยเกินหน้าเกินตารถยนต์ในยุคนั้น   และกลายเป็นต้นแบบของโมเดล 911 ในที่สุด วิศวกรผู้ออกแบบ Erwin Komenda   เน้นรูปลักษณ์ที่สร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่มีความปราดเปรียว   กับงานวิศวกรรมจักรกลระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ




ต่อ มา Ferdinand Porsche   ได้ปรับเปลี่ยนการประกอบธุรกิจจากบริษัทที่ปรึกษาทางวิศวกรรมยานยนต์   มาเป็นบริษัทผลิตรถยนต์อย่างเต็มรูปแบบ รถรุ่น 356   ซึ่งเปรียบเหมือนบรรพบุรุษของ 911   เริ่มต้นสร้างประวัติศาสตร์อันน่าจดจำทั้งบนถนนปกติและในสนามแข่งขัน   เหตุผลของการวางเครื่องยนต์ไว้ที่ด้านหลังของ Porsche 356   เพื่อให้ง่ายต่อการติดตั้งและการซ่อมบำรุง   ห้องเครื่องขนาดกะทัดรัดเหมาะมากกับเครื่องยนต์ Type 369 40 แรงม้า 1,086   ซีซี ระบายความร้อนด้วยอากาศ รถในยุคแรกของ Porsche   ไม่ค่อยมีกำลังมากนักและควบคุมได้ยาก   ต่อมาเทคนิคของการวางเครื่องไว้กลางลำตัวหรือ Mid Engine   ซึ่งเป็นเทคนิคของรถในทีมแข่ง Cisitalia ประเทศอิตาลีได้ถูกนำมาปรับใช้โดย   Ferry Porsche แต่ Ferdinand Porsche ไม่เห็นด้วยและอยากให้รถสปอร์ตของ   Porsche มีเครื่องยนต์อยู่ที่ด้านหลังเท่านั้น เครื่องยนต์สูบนอน   จ่ายเชื้อเพลิงด้วยคาร์บูเรเตอร์ของ Solex   ส่วนถังน้ำมันถูกย้ายไปไว้ด้านหน้าระหว่างแนวของล้อหน้า   กับอัตราส่วนกระจายน้ำหนักที่ 35:65 รถ Porsche 356 ถูกออกแบบภายในปี ค.ศ.   1949 โดย Ferry Porsche ผู้ลูกในช่วงที่สุขภาพของ Ferdinand Porsche   กำลังย่ำแย่เต็มที อีกสามปีต่อมาในปี 1951   ชายผู้ที่ให้กำเนิดชาติพันธ์ุของรถสปอร์ตเครื่องวางหลังก็เสียชีวิตลงอย่าง สงบ เหลือไว้เพียงตำนานแห่งความเร็วบนสนามแข่งขัน   แบบแปลนเครื่องยนต์ลูกผสมแบบ Hybrid   ในยุคแรกเริ่มที่กลายเป็นความจริงในปัจจุบัน กับรถแข่งเครื่องยนต์ V16   พลังสูง รวมถึงรถเต่าที่ Ferdinand Porsche เคยคิดค้น


สำหรับ  ตราสัญลักษณ์นั้น บริษัท Porsche ได้นำไปติดบนรถตั้งแต่ปี ค.ศ. 1952   ตรงกลางพวงมาลัยรถรุ่น 356 หนึ่งปีหลังจาก Dr.Ferdinand Porsche   ลาจากโลกนี้ หลังจากนั้นในปี 1955   ตราสัญลักษณ์ได้ถูกติดตั้งลงบนฝากระโปรงหน้า ต่อมาในปี 1959 ตราสัญลัษณ์   Porsche ก็ถูกนำไปติดบริเวณดุมล้อทั้งสี่ ตราสัญลัษณ์เริ่มจากแถบสีแดง-ดำ   สลับกับรูปเขากวางหกอัน มันถูกนำมาจากตราสัญลักษณ์ของแคว้น Wurttemberg   Baden ในเยอรมนี ตัวอักษร Stuttgart   ที่อยู่เหนือรูปม้าพยศตรงกลางคือชื่อเมืองที่ Porsche   ถูกก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งเมือง Stuttgart   มีที่ตั้งอยู่ในแคว้นแห่งนี้ เมื่อประมาณ 1,000 ปีก่อน เมือง Stuttgart   ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อใช้เป็นเมืองเพาะพันธุ์ม้า   ตราสัญลักษณ์ของม้าพยศจึงมีที่มาจากประวัติศาสตร์การก่อตั้งของเมืองด้วย   ตราสัญลักษณ์นี้ เป็นความภาคภูมิใจของ Porsche มาตลอดระยะเวลา 60 ปี




61   ปีต่อมา ในงาน Porsche World Roadshow 2013 ผมกำลังเดินตามความฝันของ  Dr.Ferdinand Porsche ด้วยการมาหยุดยืนอยู่ข้างหน้ารถทดสอบรุ่น 911/991   สีน้ำเงินสุกปลั่งที่ทำให้รอบๆ รถคันนี้สดใสขึ้นมาทันที   เสียงท่อระบายไอเสียที่ขยายตัวจากความร้อนหลังจากการวิ่งทดสอบในรอบแรกดัง กึกๆ กับกลิ่นของเชื้อเพลิงที่ถูกเผาไหม้แล้วปล่อยออกมาที่ท่อท้าย   มันมีล้อ 19   นิ้วที่สวยงามกับยางต่างไซส์ที่เน้นให้ล้อหลังซึ่งเป็นล้อขับเคลื่อนมีความ อวบอ้วนมากยิ่งขึ้น มันมีเครื่องยนต์สูบนอน 6 กระบอกสูบขนาด 3.4 ลิตร 335   แรงม้าที่ทรงประสิทธิภาพ   เวลาที่ผ่านมาถึงกว่าครึ่งทศวรรษขัดเกลาให้รูปทรงของ 911   รุ่นล่าสุดมีทั้งความแบนเตี้ยและกว้าง   สัดส่วนที่คล้ายกับนักกีฬาที่แข็งแกร่งจะยิ่งสื่อสารได้ดีมากขึ้นเมื่อก้าว  เข้าไปนั่งในตำแหน่งคนขับ เบาะที่โอบรัด ห้องโดยสารแบบสปอร์ตบนแนวทางของ   Porsche ที่ไม่มีใครเหมือน นาฬิกา Chronometer   พวงมาลัยสามก้านหนังครึ่งอัลลอย   ตำแหน่งที่ดีของการนั่งขับกับความเป็นชาติพันธุ์ของ 911   มันส่งสัมผัสที่แทบจะไม่แตกต่างจากรุ่น S   มีเพียงการเร่งความเร็วเท่านั่นที่ด้อยกว่าเล็กน้อย โดยภาพรวมแล้ว 911   รุ่นมาตรฐานสีน้ำเงินคันนี้   เหมาะมากกับชายและหญิงที่ต้องการรถสปอร์ตซึ่งมีการขับขี่ที่ดี   แต่ไม่ต้องการกำลังมากมายอะไรนัก แม้จะมีเพีียงแค่ 335 แรงม้า   แต่การเร่งความเร็วบน 911 รุ่นปกติให้ความสนุกสนานมากจนเกินความต้องการ   มันเป็นรถที่สามารถใช้ขับขี่ได้ทุกวันเท่าที่คุณพอใจ   ซึ่งจะทำให้คุณดูดีจากระบบรองรับการขับขีี่กับระบบช่วงทรงตัวและชุดส่งกำลัง   ขั้นเทพที่จะทำให้นักขับธรรมดาทั่วไปกลายเป็นคนที่มีฝีมือในการควบคุมรถได้ ไม่ยากเย็นนัก ต้องของคารวะ AAS Auto และ Porsche AG   ที่กล้าหาญชาญชัยในการจัดงานใหญ่ ซึ่งนำเอารถสปอร์ตราคาแพงมาให้ลองกันถึง   23 คัน งานที่มีแต่รถแรงราคาสูงให้สื่อมวลชนกับลูกค้าของ Porsche   ได้ทดลองกันถึง 12 วันเต็มๆ




ผม ลงจาก 911  รุ่นปกติด้วยความรู้สึกที่ดี   แม้จะเริ่มเหนื่อยขึ้นมาบ้างแล้วแต่การขับทดสอบในภาคเช้ายังเหลือตัวแรงตัว หล่อให้ลงไปอัดในพีระเซอร์อีกเพียบ พี่แมน ทัศไนย ไรวา บก.ของ Car Thai   Edition ขอตัวเข้าไปพักทานน้ำทำให้ผมต้องหวดเจ้า Boxster S คนเดียวโดดๆ ถึง  4  รอบสนาม นี่คือ Porsche คันเล็กแบบเปิดประทุนที่มี DNA เชื่อมโยงกับ  New  Cayman แบบแยกกันไม่ออก ผมชอบโป่งล้อที่มีล้อลายสวยขอบ 19   นิ้วติดมาให้จากโรงงานสำหรับรุ่น Boxster S   สัดส่วนของตัวถังถูกปรับแก้มากมายเริ่มจากฐานล้อที่ถูกขยายขึ้นอีก 60   มิลลิเมตร วิศวกรของ Porsche   ให้คำแนะนำว่ามันช่วยให้รถมีความเป็นไดนามิกมากยิ่งขึ้นจากการทรงตัวที่ดี   กระจกบานหน้าต่ำลงอีก 40   มิลลิเมตรและมีองศาที่ลาดเอียงมากยิ่งขึ้นเพื่อความลู่ลม ตัวถังสั้นลง 13   มิลลิเมตร จุดศูนย์ถ่วงถูกดึงลงให้ต่ำอีก 13 มิลลิเมตร   ตัวถังทนแรงบิดได้ดีขึ้น 40%   ซึ่งนับว่ายอดเยี่ยมมากสำหรับรถเปิดประทุนที่ไม่มีความแข็งของหลังคามาช่วย  เสริมรับแรงบิดตัวเมื่อเข้าโค้งแรงๆ รถทดสอบ Boxster S   คันนี้มีชุดส่งกำลังแบบ PDK-7 ที่ทำให้มันเบาลงอีก 30   กิโลกรัมเมื่อเปรียบเทียบกับรถรุ่นเก่า   อัตราเร่งและความเร็วปลายที่ดีขึ้นมากกลายเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญของเจ้า กบตัวเล็กคันนี้ ตำแหน่งที่ต่ำลงของเบาะมากถึง 10 มิลลิเมตร   เมื่อผมปรับเบาะให้ต่ำสุดๆ   ท่านั่งที่จมลงไปในตัวรถสร้างความมั่นคงในการขับทดสอบบนสนามแข่งที่ต้องใช้ ความเร็วมากกว่าการขับทดสอบบนท้องถนนทั่วไป   คอนโซลกลางปุ่มและสวิตช์ได้รับแนวคิดมาจาก Panamera   แม้คอนโซลจะมีขนาดเล็กกว่ามาก ที่โดดเด่นมากคือเครื่อง 3.4 ลิตรแบบ 6   กระบอกสูบ นอนยันชักข้างหายใจด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาระบบอัดอากาศ   เครื่องยนต์ถูกวางไว้กลางลำแบบที่ผมชอบมากที่สุด   ผมกดปุ่มที่เป็นรูปท่อไอเสียที่ติดตั้งอยู่ใกล้ๆ  กับซุ้มเกียร์เพื่อให้เสียงของมันเร้าใจมากขึ้น   หลังคาผ้าใบแบบสองชั้นมีน้ำหนักเบากว่าหลังคาโลหะทุกแบบและทำงานด้วยความ เร็วเพียงแค่ 9 วินาทีเท่ากันกับ 911 รุ่นเปิดประทุน




พวง มาลัยไฟฟ้าให้สัมผัสที่ดีและทำให้มันมีชุดบังคับเลี้ยวที่เบาลงมาก   เมื่อทำงานร่วมกับช่วงล่างและระบบช่วยทรงตัวผมขอบอกได้คำเดียวว่าสุดยอด   พวงมาลัยแบบใหม่ทำให้ New Boxster   ไม่ต้องมีท่อไฮดรอลิกยาวเป็นเมตรวิ่งไปมาใต้ท้องรถ   น้ำหนักที่ลดลงและต้นทุนที่ต่ำลงมาคือเรื่องที่ดีในการพัฒนารถรุ่นใหม่ให้ ประสบความสำเร็จ การทำงานของเกียร์ PDK-7 เหมือนกับรถรุ่นพี่ 911 ทุกประการ   อัตราทดที่จัดจ้านทำให้มันไล่กวดรถที่แรงกว่าได้อย่างไม่ลดละ   ความเร็วตอนเข้าโค้งและแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลางหรือแรงจีทำให้ผมรู้สึกดีมาก  แต่ก็เหนื่อยมากเช่นกัน ในสนามพีระเซอร์กิตกับรถสปอร์ตเครื่องวางกลางลำ   คุณไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นพระเอกด้วยการโชว์แมนขับแบบบ้าระห่ำ   หากคุณคุ้นเคยกับการขับแบบลากรอบ   ก็ลองกดโหมดสปอร์ตใช้งานไปตลอดทางเมื่อขับเจ้า New Boxster S   เกียร์ที่ลดลงต่ำให้หนึ่งเกียร์ก่อนเข้าโค้งกับเสียงเครื่องยนต์ที่แผดดัง  เมื่อรอบกวาดขึ้นและความมั่นคงเมื่อพุ่งทะยานออกจากปลายโค้ง 100R   รอบแล้วรอบเล่า ประสิทธิภาพของแซสซีส์   เครื่องยนต์และระบบส่งกำลังหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวจนคุณแทบจะไม่มีความจำ เป็นที่จะต้องไปเสียเงินกับรุ่นที่แพงกว่าอย่าง 911 เปิดประทุน ช่วงเวลา 4   รอบสนามจบลงอย่างรวดเร็วเมื่อวิ่งครบและต้องเปลี่ยนรถอีกครั้ง   สิ่งที่ผมจำได้อย่างแม่นยำเมื่อได้ลองขับทดสอบ New Boxster S   คือเมื่ออัดเข้าโค้งหนักๆ   มันไม่เพียงเปลี่ยนทิศทางได้อย่างฉับพลันทันทีในช่วงออกจากโค้ง   แต่ยังให้สัมผัสที่หนักแน่นเวลากระแทกเบรกก่อนหัวโค้งเมื่อใส่มาสุดๆ แล้ว  หมุนพวงมาลัยทับไลน์ของรถคันนำซึ่งเป็น 911/997 Carrera GTS   ซึ่งหากวัดกันในโค้งแล้ว New Boxster S   ไม่มีจุดไหนเลยที่แสดงออกถึงความอ่อนด้อยด้านประสิทธิภาพ




ใกล้ เที่ยงบนสนามพีระในเดือนมีนาคมช่วงต้นฤดูร้อนมีอุหภูมิที่ดุเดือดไม่ต่างจาก  รถทดสอบของ Porsche ผมลงจาก Boxster S   แล้วย้ายกลุ่มมาขับทดสอบรถที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ด้วยรถทดสอบ Panamera และ   Cayenne ที่มีมาให้อัดกันแบบครบทุกรุ่น ผมและคุณทัศไนย   ไรวากำลังง่วนอยู่บนพาหนะหรูหราระดับสูงของผู้บริหารที่เป็นพวกบ้าความเร็ว  อย่างแท้จริง คันแรกในกลุ่มรถใหญ่ของ Porsche ที่เราทั้งคู่ได้ลิ้มลองคือ   Panamera Turbo S ที่สุดของรถในประเภท Gran Turismo ซึ่งวางเครื่องยนต์แบบ   V8 ทวินเทอร์โบ พลัง 550 แรงม้า กับแรงบิดในระดับนรกแตกที่ 750 นิวตันเมตร   รถคันนี้มีน้ำหนักตัวที่ 1,995 กิโลกรัม   วางเครื่องยนต์ไว้ที่ด้านหน้าโดยมีเกียร์และเพลาถ่ายเทแรงบิดทั้งหมดเฉลี่ย  ไปยังล้อทุกล้อได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้จะตัวอ้วนแต่เจ้า Panamera Turbo S   สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 ได้ในเวลาเพียง 3.8 วินาที   ความเร็วสูงสุดที่เคลมไว้คือ 190.1 ไมล์ต่อชั่วโมงหรือ 306   กิโลเมตรต่อชั่วโมง มันคือซุปเปอร์คาร์ในร่างทรงของรถ 5   ประตูที่หรูหราสุดขั้วจากวัสดุและอุปกรณ์ที่ Porsche   ขนมาใส่ชนิดเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวบางลำยังอาย เครื่องยนต์แบบ V8   ระบายความร้อนด้วยน้ำ   อัดอากาศผ่านเทอร์โบสองตัวซึ่งรับหน้าที่ตัวละสี่สูบแบบฝั่งใครฝั่งมัน   เพลาลูกเบี้ยว 4 ชุด กลไกวาล์วแบบ Vario Cam Plus   ฉีดเชื้อเพลิงด้วยระบบไดเรคอินเจคชั่น   พร้อมระบบจ่ายกระแสไฟฟ้าแรงดันสูงด้วยคอยล์จุดระเบิดถึง 8 ตัว   เครื่องยนต์มีปริมาตรความจุ 4,806 ซีซี มีอัตราส่วนแรงม้าต่อลิตรที่ 114.4   แรงม้า/ลิตร   เครื่องยนต์และชุดส่งกำลังถูกยึดติดอย่างแน่นหนาเพื่อให้เป็นหน่วยขับ  เคลื่อนเดียวกัน สำหรับระบบขับเคลื่อนของ Panamera Turbo S   เป็นชุดขับเคลื่อน 4 ล้อที่มีการกระจายแรงบิดผ่านชุดควบคุมอีเล็คทรอนิสกส์   PTM กลไกล็อคเฟืองท้ายกับเพลาท้ายควบคุมด้วยสมองกลไฟฟ้า แรงบิด 750   นิวตันเมตรจะถูกเฉลี่ยผ่านระบบกระจายแรงบิดชนิดพิเศษของ Porsche   ซึ่งเรียกกันติดปากว่า PTV Plus กับเกียร์ Porsche Dopplkupplungsgetriebe   หรือเกียร์ PDK-7 อันลือลั่น   พลังที่ส่งให้ตัวรถพุ่งทะยานได้อย่างเหลือเชื่อพร้อมระบบขับเคลื่อนทุกล้อ  แบบ Hang-on กับคลัตช์แบบหลายแผ่นทับซ้อนกันทำหน้าที่กระจายแรงแบบตายตัว   ทำให้การตอบสนองบนเรือนร่างน้องๆ ยักษ์ที่หนักถึง 2   ตันปลิวไปตามกระแสลมได้อย่างใจนึก รถ Panamera Turbo S คันนี้ ยังใช้ Sport   Chrono Package Turbo   สำหรับการปรับระบบกันสะเทือนกับชุดส่งกำลังโดยสั่งงานผ่านปุ่ม Sport +   ซึ่งเป็นโหมดสูงสุดของการขับขี่ ระบบดังกล่าวเสริมแรงบิดขึ้นไปอีกที่ 800   นิวตันเมตร   ทำให้การเร่งความเร็วแทบจะอยู่เหนือรถทุกรุ่นในกลุ่มรถขนาดใหญ่ของ Porsche   เมื่อลงคันเร่งลึกสุดในช่วงทางตรง   แรงดึงกดตัวผมให้จมลงไปในเบาะพร้อมกับรอบเครื่องยนต์และความเร็วที่เพิ่ม  ขึ้นอย่างรวดเร็วแบบล้นทะลัก   มันคือเครื่องจักรสังหารในคราบของผู้ดีมาดเนี้ยบขี้โอ่ ล้อขนาด 20   นิ้วกับยาง Michelin รุ่น Pilot Super Sport ล้อหน้า 255/40/ZR20   และล้อหลังขนาด 295/35/ZR20 เกาะหนึบยังกับตุ๊กแก   สองรอบสนามกับความหฤหรรษ์ที่ยากจะลืมเลือนบนพาหนะที่มีทั้งพลังและความหรูใน  ระดับสุดขั้วคันนี้ ผมและพี่แมนต่างลงความเห็นว่า  Panamera Turbo S   เป็นรถสปอร์ตสองบุคลิกที่ทั้งสุภาพนุ่มนวลและดิบเถื่อนดุดันได้ในคันเดียว




คัน ต่อมาเป็น Cayenne GTS ยนตกรรม SUV   สีเขียวปีกแมลงทับสุดสวยพร้อมชุดแต่งแนวดิบ   กระจังหน้าที่คล้ายกับรุ่นเทอร์โบรวมถึงชุดไฟหน้าก็ยังใช้ร่วมกับรุ่น  เทอร์โบ เครื่องยนต์ของเจ้า Cayenne GTS เป็นเครื่อง V8 ขนาด 4.8 ลิตร 420   แรงม้า กับแรงบิด 515 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 ใน 5.7 วินาที   ความเร็วสุงสุด 261 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เครื่องยนต์ V8   ตัวนี้มีความเหนือชั้นจากการปรับแต่งให้สามารถเค้นพลังด้วยแรงบิดแทบจะทันที  ที่กดคันเร่งออกจากจุดหยุดนิ่ง   เสียงของเครื่องยนต์ดังคล้ายกับรถสปอร์ตอเมริกันที่ให้เสียงทุ้มๆ คำรามไป  ตลอดเมื่อลงคันเร่งลึกๆ ระบบ Twin flow Sound Symposer   ซึ่งนับเป็นระบบล่าสุดที่รวบรวมเสียงอะคูสติกไว้สองช่องทางแล้วปลดปล่อยออก มา เมื่อผู้ขับขี่กดปุ่มสัญลักษณ์รูปท่อไอเสียใกล้กับคอนโซลกลาง   เสียงและแรงสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงบริเวณเสาหน้าสร้างความตื่นเต้นจากท่อ ระบายไอเสียแบบ Sport Exhaust System   ประกอบไปด้วยเครื่องฟอกไอเสียเชิงเร่งปฏิกิริยา 2 ตัวและหม้อพัก 2 ชุด   เมื่อกดปุ่ม Sport Button   หม้อพักทั้งสองจะทำงานเพื่อให้เสียงอคูสติกเต็มรูปแบบ แผ่นปีกของท่อใน   Cayenne GTS   จะอยู่ระหว่างหม้อพักไอเสียด้านหลังและที่ปิดปลายท่อไอเสียที่จะทำงานทันที  เมื่อกดปุ่มดังกล่าว ฟังก์ชั่นการทำงานของมันผ่านการประเมินผลจากความเร็ว   น้ำหนักของตัวรถ ความเร็วรอบเครื่องยนต์และชุดส่งกำลัง   เมื่อมันทำงานด้วยการเปิดแผ่นปีก   หมายถึงการเพิ่มประสิทธิภาพของการไหลลื่นของก๊าซได้มากขึ้น   ผลลัพธ์ที่ได้คือเสียงของเครื่องยนต์ที่เต็มไปด้วยความสปอร์ตและทรงพลัง   เสียงทั้งจากเครื่องยนต์และท่อท้ายดังกรอกหูผมไปตลอดสองรอบสนาม   มันให้ความสาแก่ใจเมื่อได้ยินเครื่องยนต์ทำงานอย่างหนักเพื่อการวิ่งแบบ  เกือบเต็มพิกัด ระบบส่งกำลังใน Cayenne GTS วางเกียร์อัตโนมัติ 8 อัตราทด   โดยออกแบบให้อัตราทดของเกียร์ใน Cayenne GTS  สั้นและกระชับครอบคลุมทุกๆ  ย่านของแรงบิดกระจายไปยังล้อทั้งสี่ได้อย่างสมดุล สูงสุด  ความฉลาดของโปรแกรมใช้งานในเกียร์ 8   สปีดลูกนี้ยังช่วยให้ผู้ขับขี่ลดภารกรรมในการควบคุมที่ย่านความเร็วสูงผ่าน  อัตราเร่งและแป้นคันเร่งไฟฟ้า   แป้นคันเร่งที่ตอบสนองได้อย่าว่องไวช่วยให้เปลี่ยนเกียร์ได้เร็วจนไม่ต้อง  ทำการ Kickdown เมื่อถอนเท้าออกจากคันเร่ง เช่นก่อนการขับเข้าโค้ง   ระบบจะช่วยไม่ให้เกิดการเปลี่ยนเข้าสู่เกียร์ที่สูงกว่า   แถมยังช่วยไม่ให้รถที่มีมิติตัวถังใหญ่โตอวบอ้วนคันนี้เปลี่ยนเกียร์กลางคัน  ระหว่างอยู่ในโค้งอีกด้วย หากทำการเบรกอย่างรุนแรงระบบ Tiptronic S   จะลดระดับเกียร์ด้วยความรวดเร็วเพื่อสร้าง Engine Brake   ควบคู่ไปกับการลดความเร็วด้วยแป้นเบรก สำหรับโหมด Sport เกียร์ 7-8   จะถูกยกเลิกการทำงานซึ่งระบบจำทำการคำนวณความเร็วของการขับขี่และจะลดเกียร์  ลงให้ทันทีที่เบรคหรือเมื่ออยู่ในช่วงความเร็วต่ำ   สีเขียวสว่างสดใสของมันโดดเด่นมากในกลุ่มรถใหญ่ของ Porsche


Create Date : 21 มีนาคม 2556
Last Update : 21 มีนาคม 2556 13:16:00 น. 0 comments
Counter : 1950 Pageviews.

amulet108
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 96 คน [?]








Friends' blogs
[Add amulet108's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.