ชีวิตคือการเดินทาง

****หมายเหตุ***ห้ามผู้ใดนำข้อความ และ ภาพในบล๊อกนี้ไปใช้หรือนำไปตัดต่อดัดเเปลงโดยไม่ได้รับอนุญาติจากเจ้าของเป็นอันขาด หากละเมิดจะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ******

This road is mine
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




ชีวิตคือการเดินทางบนถนนที่เราเลือกเอง เลือกที่จะเป็น ขอให้ทุกคนมีความสุขที่ได้เดินบนเส้นทางของตัวเอง เเล้วคุณจะรู้ว่าทางเดินนี้มันสวยงามเพียงใด
New Comments
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2550
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
25 พฤษภาคม 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add This road is mine's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 
"ไกลกว่าที่ตามองเห็น" ...จากหนังสือ"ความฝันโง่ๆ"ของวินทร์ เลียววาริณ

เป็นเรื่องหนึ่งที่อ่านเเล้วรู้สึกประทับใจ เลยอยากจะเอามาให้คนอื่นได้อ่านกัน หวังว่าคงจะสร้างเเรงเเละกำลังใจให้กับชีวิตใครบางคนที่เผอิญเปิดผ่านมาในหน้านี้ ....




Father Than the Eye Can See

-1-


เเอริค วีเลนไมเยอร์ อุ้มลูกสาวอายุเก้าเดือน ชื่อเอ็มมา เขาพยายามนึกภาพหน้าตาของเด็กน้อยว่าเป้นอย่างไร เขานึกไม่ออก เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าใบหน้าของเขาเเละของภรรยาตอนเป้นผู้ใหญ่เป้นอย่างไร

เเอริค วีเลนไมเยอร์ เป้นคนตาบอด

ส่งลูกสาวต่อให้ภรรยาอุ้ม หลังจากนั้นชายตาบอดก็ออกเดินทางไปปีนเขาที่สูงที่สุดในโลก


-2-


แอริค วีเลนไมเยอร์ เกิดมาพร้อมกับโรค Retinoschisis โรคทางพันธุกรรมหายากที่ทำให้เขาตาบอดตอนอายุสิบสาม พ่อของเขารู้ตัวดีว่าลูกชายไม่มีวันหนีพ้นสภาพตาบอดเเน่นอน เเละเตรียมตัวรับมือมันเนิ่นๆ พ่อว่า"สิ่งที่เเย่ที่สุดที่คุณทำคือการเลี้ยงเด็กตาบอดเเบบไข่ในหิน" ดังนั้นพ่อจึงส่งเสริมให้เขากล้าลองสิ่งใหม่ๆ ยากๆ กล้าเสี่ยงในสิ่งที่พอรับมือได้

ก่อนอายุสิบสาม ภาพรอบตัวของเขาเริ่มหายไปที่ละสิ่ง ทางเดิน ตัวหนังสือ ทุกอย่างค่อยๆเลือนหายไป วันหนึ่งเขาเดินตกลงไปในหนองน้ำ เเละรู้ตัวว่าเขากลายเป้นคนตาบอดเเล้ว

เเอริคไม่มีทางเลือกนอกจากเริ่มเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับการเป้นคนตาบอด เเทนที่จะครุ่นคิดในสิ่งที่เขาทำไม่ได้ เขาหันไปเพ่งกับสิ่งที่เขาทำได้ เเม้ชีวิตจะไม่มีวันเหมือนเดิม เเต่ทัศนคติที่ว่า การเปลี่ยนเเปลงเป้นการผจญภัยอีกครั้ง เป็นสิ่งที่เขาต้องมีก่อนที่จะดำเนินชีวิตต่อไปได้ เขาเลือกทาง "น้ำเต็มครึ่งเเก้ว" เเทนที่จะเป็น "น้ำพร่องครึ่งเเก้ว"

แอริคเขียนในหนังสืออัตชีวประวัติของเขาเองว่า "พ่อเป็นไม้กวาดที่กวาดเขาออกมาสู่โลกกว้าง เเม่เป็นที่โกย เก็บชิ้นส่วนต่างๆที่เเตกร้าวเเละประกอบพวกมันเข้าด้วยกันอีกครั้ง"

หลังเเม่ตาย ครอบครัวของเขาไปเดินป่าในเปรู เเอริคเดินป่าระยะทาง 27 ไมล์โดยใช้ไม้เท้า เเละติดใจการผจญภัยในป่าเเต่นั้นมา ต่อมาพวกเขาก็เดินท่องสเปน ปากีสถาน ปาปัวนิวกินี การเดินป่าด้วยกัน เป็นทางหนึ่งที่ช่วยยึดครอบครัวที่ไม่มีเเม่เข้าด้วยกัน

-3-


พวกเขาเดินทางไปกันสิบคน

ความจริงการปีนป่ายขึ้นเอเวอเรสต์ครั้งนี้เป็นทั้งเรื่องส่วนตัวเเละส่วนรวม องค์กรสหพันธ์คนตาบอดเเห่งชาติอยากจะประชาสัมพันธ์ให้คนในประทศรู้ว่า 70% ของคนตาบอดในอเมริกาว่างงาน แอริคเข้าใจความขมขื่นเเละอุปสรรคของคนตาบอด จึงยินดีเป็นส่วนหนึ่งของงานนี้ เเต่บางทีเขาอาจพิสูจน์ว่ากำลังใจมนุษย์อยู่เหนือความทุพพลภาพ

แอริค วีเลนไมเยอร์ ยืนอยู่ระหว่างกลางเเผ่นดินกับสวรรค์ เขามองไม่เห็นอะไรเลย เเต่สัมผัสความเวิ้งว้าง ความเย็นเยือกของอากาศรอบตัว เเละเสียงเเห่งภูเขา เขานึกสงสัยว่าเอ็มมากำลังทำอะไรอยู่ เธอโตขึ้นมากเเค่ไหน? กำลังคลานหรือเริ่มหัดเดินเเล้ว?

เขานึกถึงอุปสรรคมากมายที่เขาฟันฝ่ากว่าจะมายืนอยู่ตรงจุดนี้และมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ไกลออกไป

หลายคนถามเขา "ทำไมถึงปีนเขาในเมื่อคุณมองไม่เห็นอะไรเลย?" เขาบอกว่า "คุณไม่ได้ปีนเขาเพื่อดูวิว ไม่มีใครทรมานตัวเองบากบั่นปานนี้เพื่อขึ้นไปดูวิว ความสวยงามที่เเท้จริงของชีวิตอยู่ที่ข้างภูเขา ไม่ใช่บนยอด"

เขาเคยดิ่งพสุธาเดี่ยวมากว่าห้าสิบครั้ง เคยเป็นนักมวยปล้ำ วิ่งมาราธอน เป็นนักสกี นักดำน้ำ เเต่คนตาบอดที่ปีนภูเขาที่สูงที่สุดในโลก? มันเป็นเรื่องที่ตลก หลายคนว่าเป็นความบ้า ความโง่เง่าที่สุด

หลายคนเห็นว่าเป็นความบ้าที่ปีนเอเวอเรสต์ ภูเขาที่นักปีนเขาตาดีจำนวนมากทิ้งชีวิตเอาไว้ แอริครู้ เเละมันกลับทำให้เขาระวังตัวมากขึ้น ความฝันที่ไม่ใช้สมองเลยอาจเป้นความโง่ เเต่คนฉลาดคือคนที่กล้าฝันเเละคิดหาหนทางทำให้ฝันเป้นจริงได้อย่างรอบคอบ อย่างที่ภรรยาของเขาเคยบอก "การปีนเขาเป็นเกมของจิตใจมากกว่าร่างกาย"

นานหลายปีก่อนขึ้นเอเวอรเรสต์ เขาเริ่มจากวิ่งขึ้นบันไดตึกสูงห้าสิบชั้นโดยเเบกเป้หนัก 70 ปอนด์ที่หลัง เขาฝึกฝนอย่างหนักหน่วง หลังจากนั้นก็ไต่เขาทีละลูก ภูเขาเเม็คคินลีย์ที่อะเเลสกา ภูเขาอคอนคากัวที่อาร์เจนตินา ภูเขาวินสันที่เเอนตาร์คติกา ภูเขาคิลิมันจาโรที่เเทนซาเนีย

อันตรายของการไต่ภูเขาเเม็คคินลีย์คือพื้นหิมะบางที่บดบังหล่มลึกเบื้องล่าง ชายตาบอดใช้ไม้เท้าจิ้มหาความหนาของหิมะก่อนก้าวไปข้างหน้า เรียนรู้การสร้างถ้ำจากหิมะ ให้นักปีนเขานัยน์ตาดีที่เดินหน้าเขาเเขวนกระดิ่งขนาดเล็ก ทำให้เขาสามารถตามทางไปได้โดยไม่พลาด ไม้เท้านี้ยังช่วย"มอง"รอยเท้าที่นักเดินเขาก่อนหน้าเขาทิ้งไว้

สันเขาที่เเคบที่สุดของภูเขาเเม็คคินลีย์กว้างเพียงไม่กี่ฟุต ด้านหนึ่งเป็นเหวลึกหนึ่งพันฟุต อีกด้านหนี่งเป็นเหวลึกเก้าพันฟุต มิพักเอ่ยถึงคนตาบอด การก้าวพลาดเพียงก้าวเดียวอาจหมายถึงความตาย แอริคผ่านด่านนั้นมาได้ เเละทำให้เกิดความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น

ทัศนคติของเขาต่อการปีนเขาไม่ใช่เพื่อเอาชนะ แอริคบอกว่า "คุณไม่เอาชนะภูเขา คุณเป็นส่วนหนึ่งของมัน คุณปีนป่ายขึ้นไปเงียบๆเมื่อมันหลับใหล ถ้าคุณไม่ยอมรับเเละทำตามกติกา คุณจะถูกมันบดขยี้ ผมชอบความคิดนี้ ผมชอบที่จะรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ไม่ใช่เเปลกแยกจากมัน"

แอริค เขียนในหนังสือ Touch the Top of the World ท่อนหนึ่งว่า "ในช่วงปี 1920 เมื่อถูกถามว่า 'ทำไมคุณต้องการปีนเขาเอเวอเรสต์?' จอร์จ มัลเลอรี ตอบว่า 'ก็เพราะว่ามันอยู่ที่นั่น' เขาพูดถึงเพียงครึ่งสมการที่ไม่สำคัญ อีกครึ่งที่เขาไม่ได้พูดถึงคือ เราอยู่ที่นี่ การดิ้นรนบากบั่นเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ สร้างฝังในยีนของเรา"


-4-


วันที่ 25 พฤษภาคม 2001 แอริค วีเลนไมเยอร์ เป้นคนตาบอดคนเเรกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่ก้าวขึ้นไปถึงยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก

แอริค วีเลนไมเยอร์ เเสดงให้เราเห็นว่า " ไม่มีอะไรในโลกที่เป็นไปไม่ได้จริงๆ"

เเต่ที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ชัยชนะ หากคือความเข้าใจโลกที่เกิดมาจากการเดินทาง ระหว่างการไต่ขึ้นที่สูง แอริคพยายามจินตนาการภาพมาจากการบรรยายของเพื่อนร่วมทาง ภาพภูเขาในยามอาทิตย์ตก ภาพหิมะที่ถูกลมพัดบนยอดเขา ฯลฯ การเดินทางกับคนตาบอดทำให้เพื่อนนักไต่เขาซาบซึ้งกับนัยน์ตาที่พวกเขามีเเต่ไม่เคยสนใจ คุณค่าของชีวิตอยู่ไกลกว่าที่ตามองเห็น

-5-


อีกครั้ง แอริค วีเลนไมเยอร์ อุ้มลูกสาวในอ้อมอก

เขาพยายามนึกภาพว่าหน้าตาของเด็กน้อยเป็นอย่างไร ในที่สุดเขาก็ล้มเลิกความคิด เพราะความงามของชีวิตอยู่ที่ข้างภูเขา ไม่ใช่บนยอด







ปล. ในวันที่ 5 กันยายน 2002 แอริค วีเลนไมเยอร์ ยืนอยู่บนยอดเขา Kosciusko ในออสเตรเลีย เป็นภูเขาสูงลูกที่เจ็ด ในที่สุดเขาก็ปีนป่ายเจ็ดยอดเขาเเห่งเจ็ดทวีปสำเร็จ ทั่วโลกมีนักปีนเขาราวหนึ่งร้อยคนเท่านั้นที่ทำเช่นนี้สำเร็จ



วินทร์ เลียววาริณ
3 มิถุนายน 2549



Create Date : 25 พฤษภาคม 2550
Last Update : 10 มิถุนายน 2550 3:55:45 น. 6 comments
Counter : 939 Pageviews.

 
ชอบวินทร์เหมือนกันค่ะ

การปีนเขาเราไม่ได้ชนะยอดเขา
แต่เราชนะตัวเราเอง......



โดย: แตงไทยใส่น้ำแข็ง วันที่: 26 พฤษภาคม 2550 เวลา:10:07:49 น.  

 
สาวกวินทร์เหมือนกันเลย

เรื่องที่ผมเขียนก็ไดอิทธิพลจากวินทร์ล่ะครับ



โดย: เราหล่อมาก วันที่: 27 พฤษภาคม 2550 เวลา:12:13:23 น.  

 
เป็นหนังสือเล่มที่ชอบ
และได้เขียนเรื่องของวินทร์ ไว้ใน "เล่มโปรด"
ในบล็อกด้วยค่ะ

ถ้าว่าง ลองแวะไปอ่านนะคะ
แลกเปลี่ยนความคิดกันค่ะ

คลิกเพื่ออ่าน “ความฝันโง่ ๆ”


โดย: โสดในซอย วันที่: 27 พฤษภาคม 2550 เวลา:20:43:49 น.  

 


โดย: naigod วันที่: 29 พฤษภาคม 2550 เวลา:6:23:56 น.  

 
อืม...

วินทร์ เลียววาริณ



ขอบคุณนะคับ ที่เข้าไปช่วยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
ตอนนี้อัพใหม่เรื่องเดินขึ้นดอยสุเทพ
แต่เป็นแบบในด้านมืด โฮะๆๆๆ


โดย: UnEdiTED วันที่: 31 พฤษภาคม 2550 เวลา:11:51:29 น.  

 
เจ๋งว่ะๆๆๆ


โดย: NOTHING IP: 125.25.146.67 วันที่: 26 กรกฎาคม 2550 เวลา:5:06:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.