กำกับ/เขียนบท : Ki-duk Kim
นำแสดง : Ki-duk Kim, Yeong-su Oh, Jong-ho Kim, Yeo-jin Ha
ความยาว : 103 นาที
ระดับความชอบ : 8.5/10
เป็นหนังที่ได้ยินชื่อและตามหาแผ่นมานาน จนสุดท้ายคนที่แนะนำนั่นแหละเป็นผู้ส่งแผ่นมาให้ เขาบอกว่าเป็นหนังในดวงใจเลยนะ ขอขอบคุณคุณกะว่าก๋าสำหรับหนังเรื่องนี้
เปิดเรื่องมาก็เป็นฤดู Spring เณรน้อยอยู่กับหลวงตาในวัดกลางทะเลสาบ ภาพสวยทีเดียว
หากมีเวลาก็พายเรือมาเก็บสมุนไพรบนฝั่ง เจ้าเณรน้อยแกล้งสัตว์ต่างๆ และก็โดนสั่งสอนจากหลวงตาจนถึงกลับปล่อยโฮเลยทีเดียว
เปลี่ยนฤดู จากเณรน้อยก็เป็นนักบวชหนุ่ม วันหนึ่งคุณแม่พาลูกสาวมาพักรักษาใจที่วัด หลวงตาก็รับไว้
นักบวชผู้ไม่เคยเจอสตรีก็ออกอาการหื่น
หนังแรงเลยครับช่วงนี้ สันดานดิบของคนแสดงออกมาชัดเจน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหน การควบคุมอารมณ์ ความต้องการก็ใช่ว่าจะสำเร็จเสมอไป
ผมยังสงสัยว่าเขาเอาหนังเรื่องนี้ฉายที่สวนโมกข์กรุงเทพฯ คนชมคงต้องมีวิจารณญานเพียงพอนะ ไม่งั้นอาจยี้เอาง่ายๆ
หรือหากเรื่องนี้ทำในประเทศด้อยพัฒนา รับรองโดนแบน
หมดฤดู สาวน้อยโดนส่งกลับบ้าน ได้ยาดี หายแล้ว หลวงพ่อว่างั้น
นักบวชหนุ่มทนไม่ไหวหนีออกไปตามหา พกพระพุทธรูปไปด้วย
แต่แล้วก็ไปไม่รอด ต้องซมซานกลับวัด
หลังจากนี้เนื้อหาชักจะยาก ดูไม่ค่อยเข้าใจ หลวงพ่อเผาตัวเองทำไม งง ใครรู้ช่วยบอกที
แล้วเด็กน้อย คุณแม่ งงเข้าไปใหญ่
แต่ไม่ได้ถึงกับดูไม่รู้เรื่องนะครับ แต่อาจจะตีความไม่ค่อยออกเท่านั้นเอง
บทสรุปทำให้พอเห็นว่าวงจรนี้เกิดขึ้นครบรอบ แท้ที่จริงหลวงพ่ออาจเคยทำผิดแบบเณรน้อยและนักบวชหนุ่ม สุดท้ายนักบวชหนุ่มเลยต้องมาเป็นหลวงพ่อต่อไป เวียนว่ายอย่างนี้ไม่มีมี่สิ้นสุด จนกว่าจะปลดกรรมที่ทำไว้ จึงจะหลุดพ้นและจากไปได้แบบหลวงพ่อ
หนังลึกซึ้งตีความได้ต่างๆ นานา โดยบทอัศจรรย์เป็นเพียงแค่ทางผ่านเท่านั้นเอง
ดูแล้วนึกถึงเรื่อง
Samsara ที่ฉากรักเร่าร้อนกลายเป็นเพียงทางผ่านเมื่อดูหนังทั้งเรื่อง
เหนือชั้นทั้งสองเรื่องครับ ขอแนะนำให้หามาชม
สิ่งต่างๆ ที่เราทำจะตอบแทนเราเท่าที่เรากระทำครับ
มีทางเดียวที่จะไม่ต้องชดใช้กรรมคือมุ่งไปสู่นิพพานให้ได้
มิฉะนั้นฤดูกาลก็จะย้อนกลับมาหาเราซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะมันเป็นธรรมชาติของมันนั่นเอง
ตัดกิเลสให้ได้ แม้จะยาก แต่ก็ต้องพยายาม
เพราะหากตัดไม่ได้ก็จะเวียนว่ายตายเกิดกันต่อไป
มีความสุขทุกคนครับ
ปล. เคยได้ยินคำว่า "ตั้งเป้่าไว้ที่ดวงจันทร์ หากพลาดเป้าอย่างน้อยเราก็อยู่ท่ามกลางดวงดาว"
เลยต่อยอดว่า "ตั้งเป้าว่าเราจะถึงนิพพาน หากพลาดเป้าเราก็ยังอยู่บนทางสายเอก"
ผมว่าจะเขียนถึงหนังเรื่องนี้
ยังไม่มีโอกาสสักทีครับ
ดูไปสองรอบในระยะเวลาห่างกันประมาณ 5 ปี
การรับรู้ก็ต่างกัน
การตีความก็ต่างไป
รอบแรกผมชอบฉากรัก
ส่วนล่าสุดที่เพิ่งดูไปเมือ่ต้นปี
ผมชอบฉากที่ตัวเอกของเรื่องนั่งแกะคาถาปรัชญาปารมิตาสูตร
บนพื้นศาลากลางน้ำ
พระสูตรนี้พูดถึงการข้ามฝั่งไปสู่นิรวาณหรือนิพพาน
สุดท้ายตัวเอกก็ข้ามฝั่งกลับมาสู่โลก
แล้วท้ายที่สุดก็กลับคืนไปสู่วัดกลางน้ำอีกครั้งในที่สุด
เรือในเรื่องทำให้ผมนึกถึงสังขารสมมติของเราครับ
เมื่อใช้เสร็จก็ต้องวางด้ามพาย
เรือจะไปไหนก็เรื่องของเรือ
เรื่องนี้กับ Samsara ผมชอบพอๆกันเลยครับ
โหวตบล็อกหนังให้พี่ด้วยนะครับ