หนังครู หนังโค้ช ที่ดูในช่วงนี้
นับจาก Dead Poet Society(1989) ที่ทำให้ชอบหนังครูมาก คงเป็นเพราะพ่อแม่เราเป็นครูเลยยิ่ง in เข้าไปใหญ่ ก็ตามหาหนังประเภทนี้มาตลอด ช่วงนี้หนังประเภทนี้ที่ดูได้แก่ 1. The chorus
เป็นหนังฝรั่งเศส ที่ครูต้องไปอยู่โรงเรียนประจำชายที่เฮี้ยว แต่ทางครูก็ให้นักเรียนร้องเพลงประสานเสียงทำให้เด็กเปลี่ยนไปในทางที่ดีได้ หนังจะดูยากตามสไตล์หนังยุโรป แต่เนื่องจากเนื้อเรื่องไม่ซับซ้อนเลยพอเข้าใจได้ง่าย
2. School of rock ดูง่ายขึ้นเพราะเป็นหนังฮอลลีวู๊ด ผู้กำกับเป็นคนที่กำกับ Before sunrise และ Before sunset (ไม่น่าเชื่อ) เปิดตัวด้วยความล้มเหลวของคุณครู และจับพลัดจับพลูเป็นครูในโรงเรียนประจำชื่อดัง แต่พกความฝันเรื่องวงร็อคมาตลอด แล้วก็เจอช่องทางตามฝัน และช่วยให้เด็กๆ ค้นพบตัวตนของแต่ละคนด้วย ฉากท้ายๆ ตอนคอนเสิร์ตดีมาก เพลงก็มันดี ดูแล้วอิ่มเอมดีครับเรื่องนี้
3. Coach carter เป็นเรื่องของนักธุรกิจที่เปิดร้านขายเครื่องกีฬาที่ประสบความสำเร็จ แต่ทนดูรุ่นน้องในโรงเรียนไม่ Work ไม่ได้เลยมาเป็นโค้ชให้ มีการขับเคี่ยวระหว่างลูกศิษย์และโค้ช มีการปลุกใจเป็นระยะ ผมชอบคำปลุกใจนี้ "Rich what?" "Richmond" มากเลย มันขลังและเท่ดี สุดท้ายตอนจบคงพอเดาได้ แต่น่าจะดูทางผ่านก่อนได้ดีของเด็ก เผื่อเอามาปรับใช้ได้บ้าง เท่าที่นึกออกช่วงนี้เกี่ยวกับหนังครู หนังโค้ช มีเท่านี้
สุดท้ายหากใครยังไม่ดู Dead Poet Society รีบไปหามาดู ขอบอก
Create Date : 26 สิงหาคม 2549 |
|
2 comments |
Last Update : 27 สิงหาคม 2549 16:51:07 น. |
Counter : 3784 Pageviews. |
|
|
|
เพิ่งได้ดู School of Rock ไปอีกรอบ ครับ :-) หลังจากดูมาแล้วประมาณ 3 รอบ โดยสรุป หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่เมื่อดูจบแล้วให้ความรู้สึกดีครับ แม้ว่าจะไม่ใช่ความรู้สึกแบบยอดเยี่ยมก็ตาม เป็นเรื่องของนักดนตรีร็อคที่จะตายมิตายแหล่เพราะมัวแต่อยู่กับความฝันของตัวเอง แต่จะว่าไปแล้วแกก็มีฝีมือนะครับ ไม่ใช่คนไร้ฝีมือ มีฝีมือพอตัว ไม่ใช่ระดับเอกอุแต่อย่างใด คนแบบนี้มีอยู่ทั่วไปในโลก ก็คิดดูแล้วกันขนาดพวกฝีมือเอกอุยังเอาตัวไม่รอบ คนฝีมือขนาดแกมันจะไปอยู่รอดได้อย่างไร
แต่อีตาดิวอี้นี่ก็ไม่ใช่ตัวดีครับ แกเป็นนักดนตรีเป๊ะๆเลย เจ้าอารมณ์ แล้วก็เอาเปรียบเพื่อนนิดๆ ดูสิ อยู่กับเจ้าชนีพลีย์ นอกจากจะไม่จ่ายค่าเช่าแล้ว ก็ยังไปกวนเพื่อนในวงอีกสารพัด-
จะมีดีก็ที่แกเป็นคนมีความฝัน แล้วก็ฝันว่า วงร็อคของแกจะประสบความสำเร็จในการสร้างวง หนังเรื่องนี้จึงออกมาในแบบ Underdog ใครๆก็ต้องดูว่าแล้ว ดิวอี้จะไปทางไหน
รอด เพื่อนก็ไล่ออกจากวง เพื่อนร่วมห้องก็กำลังจะไล่ออกจากห้อง เพราะตาดิวอี้ถังแตก ไม่มีเงินจ่าย แต่ก็อยู่ยังกับเจ้าของห้อง
ใครที่ชอบเพลงร็อค น่าจะชอบหนังเรื่องนี้ครับ แล้วก็คงพอรับได้กับท่าทีกันยียวนของ Jeft Back แกแสดงได้ถึงจริงๆครับ รอบแรกที่ดูนั้น อดไม่ได้ต้องปล่อยก๊ากไปหลายรอบ กับท่าทางอันยียวนของแก
ฟัง Smoke on the water ที่แกฝึกให้เด็กที่แกไปสอนหนังสือ แล้วมันส์ดีนะครับ นึกถึงสมัยยังวัยรุ่น (ผ่านมาไม่กี่ปี) สมัยนั้นผมชอบเฮฟวี่เหมือนกัน พวกร็อครุ่นเก่าๆนี่ เขามีลูก lick เด็ดๆดี
ส่วนดีของหนังคือ การแสดงให้เห็นว่า ดิวอี้ เข้าใจจิตวิทยาเด็กเป็นอย่างไร แกไม่ได้ หลอกใช้งานเด็กเลย แต่กลับส่งเสริมให้เด็กได้ใช้ความสามารถของตัวเอง
แถมยังปกป้องเด็กอีก เราอยู่วงเดียวกัน และหลักการก็คือ ต้องไม่โกหกเพื่อนร่วมวง!! ผมล่ะชอบประโยคนี้