#โรงพยาบาลบ้า
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2551
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
242526272829 
 
18 กุมภาพันธ์ 2551
 
All Blogs
 

คำไทย และความหมายของคำ






"คำ" ความหมายของคำ

คำ เป็นกลุ่มเสียงที่ประกอบด้วยเสียงพยัญชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์ที่ปรากฏได้โดยอิสระและมีความหมาย

คำ ต้องเป็นกลุ่มคำที่มีความหมายเสมอ ส่วนพยางค์ เป็นกลุ่มเสียงเช่นกัน ประกอบด้วยเสียงพยัญชนะ เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์ พยางค์ 1 พยางค์ ถ้ามีความหมายก็เป็นคำ 1 คำ ถ้าพยางค์ 1 พยางค์ ไม่มีความหมายก็ไม่ถือว่าเป็นคำ คำพยางค์จึงเป็นส่วนหนึ่งของคำ เช่น
ดี 1 พยางค์ = 1 คำ
สัปดาห์ 2 พยางค์ = 1 คำ

ชนิดของคำ
ตามหลักภาษาไทยแบ่งได้ 7 ชนิด คือ
1. คำนาม
2. คำสรรพนาม
3. คำกริยา
4. คำวิเศษณ์
5. คำบุพบท
6. คำสันธาน
7. คำอุทาน

โดยหลักของคำแต่ละชนิดนั้น อธิบายได้ดังนี้
1. "คำนาม"
คำนาม คือ คำที่ใช้เรียกชื่อคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ อาคาร สภาพ และลักษณะทั้งสิ่งมีชีวิต และไม่มีชีวิต ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม คำนามแบ่งออกเป็น 5 ชนิด คือ
1. สามานยนาม คือ คำนามสามัญที่ใช้เป็นชื่อทั่วไป หรือเป็นคำเรียกสิ่งต่างๆ โดยทั่วไป ไม่ชี้เฉพาะเจาะจง เช่น คน รถ หนังสือ กล้วย เป็นต้น สามานยนามบางคำมีคำย่อยเพื่อบอกชนิดย่อยๆของสิ่งต่างๆ เรียกว่า สามานยนามย่อย เช่น คนไทย รถจักรายาน หนังสือแบบเรียน กล้วยหอม เป็นต้น ตัวอย่างเช่น
- ดอกไม้อยู่ในแจกัน
- แมวชอบกินปลา
2. วิสามานยนาม คือ คำนามที่เป็นชื่อเฉพาะของคน สัตว์ สถานที่ หรือเป็นคำเรียกบุคคล สถานที่เพื่อเจาะจงว่าเป็นคนไหน สิ่งใด เช่น ธรรมศาสตร์ วัดมหาธาตุ รามเกียรติ์ เป็นต้น ตัวอย่างเช่น
- นิดและน้อยเป็นพี่น้องกัน
- อิเหนาได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดของกลอนบทละคร
3. ลักษณนาม คือ คำนามที่ทำหน้าที่ประกอบนามอื่น เพื่อบอกรูปร่าง ลักษณะ ขนาดหรือปริมาณของนามนั้นให้ชัดเจนขึ้น เช่น รูป องค์ กระบอก เป็นต้น ตัวอย่างเช่น
- คน 6 คน นั่งรถ 2 คน
- ผ้า 20 ผืน เรียกว่า 1 กุลี
4. สมุหนาม คือ คำนามบอกหมวดหมู่ของสามานยนาม และวิสามานยนามที่รวมกันมากๆ เช่น ฝูงผึ้ง โขลงช้าง กองทหาร เป็นต้น ตัวอย่างเช่น
- กองยุวกาชาดมาตั้งค่ายอยู่ที่นี่
- พวกเราไปต้อนรับคณะรัฐมนตรี
5. อาการนาม คือ คำเรียกสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ไม่มีขนาด จะมีคำว่า "การ" และ "ความ" นำหน้า เช่น การกิน การนอน การเรียน ความสวย ความคิด ความดี เป็นต้น ตัวอย่างเช่น
- การวิ่งเพื่อสุขภาพไม่ต้องใช้ความเร็ว
- การเรียนช่วยให้มีความรู้
ข้อสังเกต คำว่า "การ" และ "ความ" ถ้านำหน้าคำชนิดอื่นที่ไม่ใช่คำกริยา หรือวิเศษณ์จะไม่นับว่าเป็นอาการนาม เช่น การรถไฟ การประปา ความแพ่ง เป็นต้น คำเหล่านี้จัดเป็นสามานยนาม

หน้าที่ของคำนาม
1. ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค เช่น น้องร้องเพลง ครูชมนักเรียน นกบิน
2. ทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค เช่น แมวกินปลา ตำรวจจับผู้ร้าย น้องทำการบ้าน
3. ทำหน้าที่เป็นส่วยขยายคำอื่น เช่น สัตว์ป่าต้องอยู่ในป่า ตุ๊กตาหยกตัวนี้สวยมาก นายสมควรยามรักษาการเป็นคนเคร่งครัดต่อหน้าที่มาก
4. ทำหน้าที่ขยายคำกริยา เช่น แม่ไปตลาด น้องอยู่บ้าน เธออ่านหนังสือเวลาเช้า
5. ทำหน้าที่เป็นส่วนเติมเต็มของคำกริยาบางคำ เช่น เขาเหมือนพ่อ เธอคล้ายพี่
วนิดาเป็นครู เธอคือนางสาวไทย มานะสูงเท่ากับคุณพ่อ
6. ทำหน้าที่ตามหลังบุพบท เช่น เขาเป็นคนเห็นแก่ตัว พ่อนอนบนเตียง ปู่ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล
7. ทำหน้าที่เป็นคำเรียกขาน เช่น คุณครูคะหนูยังไม่เข้าใจเลขข้อนี้ค่ะ คุณหมอลูกดิฉันจะหายป่วยไหม นายช่างครับผมขอลากิจ 3 วัน

2. "คำสรรพนาม"
คำสรรพนาม คือ คำที่ใช้แทนนามในประโยคสื่อสาร เราใช้คำสรรพนามเพื่อไม่ต้องกล่าวคำนามซ้ำๆ
ชนิดของคำสรรพนาม แบ่งเป็น 7 ประเภท ดังนี้
1. สรรพนามที่ใช้ในการพูด (บุรุษสรรพนาม) เป็นสรรพนามที่ใช้ในการพูดจา สื่อสารกัน ระหว่างผู้ส่งสาร (ผู้พูด) ผู้รับสาร (ผู้ฟัง) และผู้ที่เรากล่าวถึง มี 3 ชนิด ดังนี้
1) สรรพนามบุรุษที่ 1 ใช้แทนผู้ส่งสาร (ผู้พูด) เช่น ฉัน ดิฉัน ผม ข้าพเจ้า เรา หนู เป็นต้น
2) สรรพนามบุรุษที่ 2 ใช้แทนผู้รับสาร (ผู้ที่พูดด้วย) เช่น ท่าน คุณ เธอ แก ใต้เท้า เป็นต้น
3) สรรพนามบุรุษที่ 3 ใช้แทนผู้ที่กล่าวถึง เช่น ท่าน เขา มัน เธอ แก เป็นต้น
2. สรรพนามที่ใช้เชื่อมประโยค (ประพันธสรรพนาม) สรรพนามนี้ใช้แทนนามหรือสรรพนามที่อยู่ข้างหน้าและต้องการ จะกล่าวซ้ำอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ยังใช้เชื่อมประโยคสองประโยคเข้าด้วยกัน ตัวอย่างเช่น บ้านที่ทาสีขาวเป็นบ้านของเธอ (ที่แทนบ้าน เชื่อมประโยคที่ 1 บ้านทาสีขาว กับ ประโยคที่ 2 บ้านของเธอ)
3. สรรพนามบอกความชี้ซ้ำ (วิภาคสรรพนาม) เป็นสรรพนามที่ใช้แทนนามที่อยู่ข้างหน้า เมื่อต้องการเอ่ยซ้ำ โดยที่ไม่ต้องเอ่ยนามนั้นซ้ำอีก และเพื่อแสดงความหมายแยกออกเป็นส่วนๆ ได้แก่ คำว่า บ้าง ต่าง กัน ตัวอย่างเช่น
นักศึกษาต่างแสดงความคิดเห็น
สตรีกลุ่มนั้นทักทายกัน
นักกีฬาตัวน้อยบ้างก็วิ่งบ้างก็กระโดดด้วยความสนุกสนาน
4. สรรพนามชี้เฉพาะ (นิยมสรรพนาม) เป็นสรรพนามที่ใช้แทนคำนามที่กล่าวถึงที่อยู่ เพื่อระบุให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ได้แก่คำว่า นี่ นั่น โน่น โน้น ตัวอย่างเช่น
นี่เป็นหนังสือที่ได้รับรางวัลซีไรต์ในปีนี้
นั่นรถจักรายานยนต์ของเธอ
5. สรรพนามบอกความไม่เจาะจง (อนิยมสรรพนาม) คือ สรรพนามที่ใช้แทนนามที่กล่าวถึงโดยไม่ต้องการคำตอบ ไม่ชี้เฉพาะเจาะจง ได้แก่คำว่า ใคร อะไร ที่ไหน ผู้ใด สิ่งใด ใครๆ อะไรๆ ใดๆ ตัวอย่างเช่น
ใครๆ ก็พูดเช่นนั้น
ใครก็ได้ช่วยชงกาแฟให้หน่อย
ใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง
ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้

6. สรรพนามที่เป็นคำถาม (ปฤจฉาสรรพนาม) คือ สรรพนามที่ใช้แทนนามเป็นการถามที่ต้องการคำตอบ ได้แก่คำว่า ใคร อะไร ไหน ผู้ใด ตัวอย่างเช่น
ใครหยิบหนังสือบนโต๊ะไป
อะไรวางอยู่บนเก้าอี้
ไหนปากกาของฉัน
ใครมาหาฉัน ?
อะไรอยู่ใต้โต๊ะ ?
ไหนเป็นบ้านของเธอ ?
7. สรรพนามที่เน้นตามความรู้สึกของผู้พูด สรรพนามชนิดนี้ใช้หลักคำนามเพื่อบอกความรู้สึกของผู้พูดที่มีต่อบุคคล ที่กล่าวถึง ตัวอย่างเช่น
คุณพ่อท่านเป็นคนอารมณ์ดี (บอกความรู้สึกยกย่อง)
คุณจิตติมาเธอเป็นคนอย่างงี้แหละ (บอกความรู้สึกธรรมดา)

หน้าที่ของคำสรรพนาม
1. ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค เช่น ใครมา แกมาจากไหน นั่นของฉันนะ เป็นต้น
2. ทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค เช่น เธอดูนี่สิ สวยไหม เป็นต้น
3. ทำหน้าที่เป็นส่วนเติมเต็ม เช่น เสื้อของฉันคือนี่ สีฟ้าใสเห็นไหม เป็นต้น
4. ทำหน้าที่ตามหลังบุพบท เช่น เธอเรียนที่ไหน เป็นต้น


3. "คำกริยา"
คำกริยา คือ คำที่แสดงอาการของนามหรือสรรพนามเพื่อให้รู้ว่า นามหรือสรรพนามนั้นทำหน้าที่อะไร หรือเป็นการแสดงการกระทำของประธานในประโยค
3.1 ชนิดของคำกริยา
คำกริยาแบ่งได้ 5 ชนิด คือ
1. อกรรมกริยา คือ กริยาที่ไม่ต้องมีกรรมมารับก็ได้ใจความสมบูรณ์ เช่น
ฉันยืนแต่แม่นั่ง
ไก่ขัน แต่หมาเห่า
พื้นบ้านสกปรกมาก
คำลักษณะวิเศษณ์ที่บอกลักษณะต่างๆ ทำหน้าที่เป็นตัวแสดงในภาคแสดงของประโยค ถือว่าเป็นกริยาของประโยค เช่น
ฉันสูงเท่าพ่อ
ดอกไม้ดอกนี้หอม
พื้นสะอาดมาก
2. สกรรมกริยา คือ กริยาที่มีกรรมมารับจึงจะได้ใจความสมบูรณ์ เช่น
ฉันกินข้าว
แม่หิ้วถังน้ำ
พ่อขายของ
กริยาบางคำต้องมีกรรมตรงและกรรมรอง เช่น
ให้ ฉันให้ดินสอน้อง หมายถึง ฉันให้ดินสอแก่น้อง
แจก ครูแจกดินสอนักเรียน หมายถึง ครูแจกดินสอให้นักเรียน
ถวาย ญาติโยมถวายอาหารพระภิกษุ หมายถึง ญาติโยมถวายอาหารแด่พระภิกษุ
ดินสอ อาหาร เป็นกรรมตรง
นักเรียน พระภิกษุ น้อง เป็นกรรมรอง
3. วิกตรรถกริยา เป็นกริยาที่ไม่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง ต้องอาศัยคำนาม สรรพนาม หรือคำวิเศษณ์มาเติมข้างหลังหรือมาขยายจึงจะได้ใจความ ได้แก่กริยาคำว่า ว่า เหมือน คล้าย เท่า คือ เสมือน ประดุจ แปลว่า เช่น
นายสีเป็นพ่อค้าข้าว
เธอคล้ายฉัน
ทำได้เช่นนี้เป็นดีแน่
4. กริยานุเคราะห์ คือกริยาช่วย เป็นคำที่ช่วยให้กริยาอื่นที่อยู่ข้างหลังได้ความครบ เพื่อบอกกาลหรือบอกการกระทำให้สมบูรณ์ ได้แก่ กำลัง คง จะได้ ย่อม เตย ให้ แล้ว เสร็จ กริยานุเคราะห์จะวางอยู่หน้าคำกริยาสำคัญหรือหลังคำกริยาสำคัญก็ได้ เช่น
เขาย่อมไปที่นั่น
เขาถูกครูดุ
พ่อกำลังมา
น้องทำการบ้านแล้ว
ฉันต้องไปกับคุณแม่วันพรุ่งนี้
5. กริยาสภาวมาลา คือ กริยาที่ทำหน้าที่เป็นคำนาม จะเป็น ประธาน กรรม หรือ บทขยายของประโยคก็ได้ เช่น
นอนหลับเป็นการพักผ่อนที่ดี ( ประธานของประโยค )
ฉันชอบไปเที่ยวกับเธอ ( เป็นบทกรรม )
ฉันมาเพื่อดูเขา ( เป็นบทขยาย )
3.2 หน้าที่ของคำกริยา
1. คำกริยาจะทำหน้าที่เป็นภาคแสดงของประโยค จะมีตำแหน่งในประโยคดังนี้
ก. อยู่หลังประธาน เช่น เธอกินข้าว
ข. อยู่หน้าประโยค เช่น เกิดน้ำท่วมฉับพลัน
2. คำกริยาทำหน้าที่เป็นส่วนขยายคำนาม เช่น
- เด็กเร่ร่อนยืนร้องไห้
เร่ร่อน เป็นกริยาขยายคำนามเด็ก
- ปลาตาย ไม่มีขายในตลาด
ตาย เป็นกริยาขยายคำนามปลา
3. คำกริยา ทำหน้าที่เป็นกริยาสภาวมาลาเป็นประธานกรรมหรือบทขยาย เช่น
- อ่านหนังสือ ช่วยให้มีความรู้
อ่านหนังสือ เป็นประธานของกริยาช่วย
- แม่ไม่ชอบนอนดึก
นอนดึก เป็นกรรมของกริยาชอบ

4. "คำวิเศษณ์" คำวิเศษณ์ เป็นคำที่ใช้ประกอบคำนาม สรรพนาม กริยา และคำวิเศษณ์ เพื่อให้ข้อความนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น
คนอ้วนต้องเดินช้า คนผอมเดินเร็ว ( ประกอบคำนาม " คน " )
เขาทั้งหมด เป็นเครือญาติกัน ( ประกอบคำสรรพนาม " เขา " )
เขาเป็นคนเดินเร็ว ( ประกอบคำกริยา " เดิน " )
ชนิดของคำวิเศษณ์
คำวิเศษณ์แบ่งเป็น 10 ชนิด
1. ลักษณวิเศษณ์ เป็นคำวิเศษณ์ที่บอกลักษณะต่างๆ เช่น บอกชนิด สี ขนาด สัณฐาน กลิ่นรส บอกความรู้สึก เช่น ดี ชั่ว ใหญ่ เล็ก ขาว กลม หวาน ร้อน เย็น
น้ำร้อนอยู่ในกระติกเขียว
จานใบใหญ่ราคาแพงกว่าจานใบเล็ก
ผมไม่ชอบกินขนมหวาน
2. กาลวิเศษณ์ เป็นคำวิเศษณ์บอกเวลา เช่น เช้า สาย บ่าย เย็น อดีต โบราณ อนาคต
คนโบราณเป็นคนมีความคิดดีๆ
ฉันไปก่อน เขาไปหลัง
3. สถานวิเศษณ์ เป็นคำวิเศษณ์บอกสถานที่ เช่น ใกล้ ไกล บน ล่าง เหนือ ใต้ ซ้าย ขวา
เธออยู่ใกล้ ฉันอยู่ไกล
รถเธอแล่นทางซ้าย ส่วนรถฉันแล่นทางขวา
* คำวิเศษณ์นี้ ถ้ามีคำนามหรือสรรพนามอยู่ข้างหลัง คำดังกล่าวนี้จะกลายเป็นบุพบทไป
เขานั่งใกล้ฉัน เขายืนบนบันได เขานั่งใต้ต้นไม้
4. ประมาณวิเศษณ์ เป็นคำวิเศษณ์บอกจำนวน หรือปริมาณ เช่น หนึ่ง สอง สาม สี่มาก น้อย ที่หนึ่ง ที่สอง หลาย ต่าง บรรดา บ้าง กัน คนละ
เขามีสุนัขหนึ่งตัว
พ่อมีสวนมาก
บรรดาคนที่มา ล้วนแต่กินจุทั้งสิ้น
5. นิยมวิเศษณ์ เป็นคำวิเศษณ์บอกความชี้เฉพาะ เช่น นี่ นั้น โน้น ทั้งนี้ ทั้งนั้น เอง เฉพาะ เทียว ดอก แน่นอน จริง
วิชาเฉพาะอย่างเป็นวิชาชีพ
คนอย่างนี้ก็มีด้วยหรือ
ฉันจะมาหาเธอแน่ๆ

6. อนิยมวิเศษณ์ เป็นคำวิเศษณ์ที่ประกอบบอกความไม่ชี้เฉพาะ เช่น ใด อื่นๆ กี่ ไหน อะไร
เธออ่านหนังสืออะไรก็ได้
เธอพูดอย่างไร คนอื่นๆก็เชื่อเธอ
เธอจะนั่งเก้าอี้ตัวไหนก็ได้
7. ปฤจฉาวิเศษณ์ เป็นคำวิเศษณ์บอกความถาม หรือ ความสงสัย เช่น ใด ไร ไหน อะไร ทำไมอย่างไร
เธอจะทำอย่างไร
สิ่งใดอยู่บนชั้น
เธอจะไปไหน
8. ประติชญาวิเศษณ์ เป็นคำวิเศษณ์ใช้แสดงการขานรับหรือโต้ตอบ เช่น ครับ ขอรับ ขา คะ จ๋า โว้ย
หนูขา หนูจะไปไหนคะ
คุณครูครับ ผมส่งงานครับ
ปลิวโว้ย เพื่อนคอยแล้วโว้ย
9. ประติเษธวิเศษณ์ เป็นคำวิเศษณ์แสดงความปฏิเสธ หรือไม่ยอมรับ เช่น ไม่ ไม่ใช่ มิใช่ มิได้ หาไม่ หามิได้ ใช่
เขาไม่ทำก็ไม่เป็นไร เพราะเขามิใช่ลูกฉัน
ร่างกายนี้หาใช่สัตว์ ใช่บุคคล ใช่ตัวตนเราเขา
ของนี้ไม่ใช่ของฉัน ฉันจึงรับไปไม่ได้
10. ประพันธวิเศษณ์ เป็นคำวิเศษณ์ประกอบคำกริยาหรือคำวิเศษณ์ เพื่อเชื่อมประโยคให้มีความเกี่ยวข้องกัน เช่น ที่ ซึ่ง อัน อย่างที่ชนิดที่ ที่ว่า เพื่อว่า ให้
เด็กคนนี้เป็นเด็กฉลาดอย่างที่ไม่ค่อยได้พบ
เขาพูดให้ฉันได้อาย
เขาทำงานหนักเพื่อว่าเขาจะได้มีเงินมาก
* ที่ ซึ่ง อัน เป็นคำประพันธวิเศษณ์ต่างกับคำประพันธสรรพนาม ดังนี้
ที่ ซึ่ง อัน ที่เป็นประพันธสรรพนาม จะใช้แทนนามที่อยู่ข้างหน้า และวางติดกับนามหรือสรรพนาม ที่จะแทนและเป็นประธานของคำกริยาที่ตามมาข้างหลัง เช่น
คนที่อยู่นั้นเป็นครูฉัน
ต้นไม้ซึ่งอยู่หน้าบ้านควรตัดทิ้ง
ส่วน ที่ ซึ่ง อัน ที่เป็นประพันธวิเศษณ์ จะใช้ประกอบคำกริยาหรือคำวิเศษณ์ จะเรียงหลัง คำอื่นที่ไม่ใช่เป็นคำนามหรือคำสรรพนามดังตัวอย่างข้างต้น

หน้าที่ของคำวิเศษณ์
หน้าที่ของคำวิเศษณ์ใช้เป็นส่วนขยายจะขยายนาม สรรพนาม กริยา หรือ คำวิเศษณ์ และยังทำหน้าที่เป็นตัวแสดงในภาคแสดงของประโยคได้แก่
1. ทำหน้าที่ขยายนาม
- คนหนุ่มย่อมใจร้อนเป็นธรรมดา
- บ้านใหญ่หลังนั้นเป็นของผม
2. ทำหน้าที่ขยายสรรพนาม
- ใครบ้างจะไปทำบุญ
- ฉันเองเป็นคนเข้ามาในห้องน้ำ
3. ทำหน้าที่ขยายคำกริยา
- เขาพูดมาก กินมาก แต่ทำน้อย
- เมื่อคืนนี้ฝนตกหนัก
4. ทำหน้าที่ขยายคำวิเศษณ์
- ฝนตกหนักมาก
- เธอวิ่งเร็วจริงๆ เธอจึงชนะ

5. "คำบุพบท"
คำบุพบท คือ คำที่เชื่อมคำหรือกลุ่มคำให้สัมพันธ์กันและเมื่อเชื่อมแล้วทำให้ทราบว่าคำ หรือกลุ่มคำที่เชื่อมกันนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างไร ได้แก่ ใน แก่ จน ของ ด้วย โดย ฯลฯ

หน้าที่ในการแสดงความสัมพันธ์ของคำบุพบท
1. แสดงความสัมพันธ์เกี่ยวกับสถานที่ เช่น คนในเมือง
2. แสดงความสัมพันธ์เกี่ยวกับเวลา เช่น เขาเปิดไฟจนสว่าง
3. แสดงความสัมพันธ์เกี่ยวกับการเป็นเจ้าของ เช่น แหวนวงนี้เป็นของฉัน
4. แสดงความสัมพันธ์เกี่ยวกับเจตนาหรือสิ่งที่มุ่งหวัง เช่น เขาทำเพื่อลูก
5. แสดงความสัมพันธ์เกี่ยวกับอาการ เช่น เราเดินไปตามถนน

หลักการใช้คำบุพบทบางคำ
" กับ" ใช้แสดงอาการกระชับ อาการร่วม อาการกำกับกัน อาการเทียบกัน และแสดงระดับ เช่น ฉันเห็นกับตา
"แก่" ใช้นำหน้าคำที่เป็นฝ่ายรับอาการ เช่น ครูให้รางวัลแก่นักเรียน
"แด่" ใช้แทนตำว่า "แก่" ในที่เคารพ เช่น นักเรียนมอบพวงมาลัยแด่อาจารย์
"แต่" ใช้ในความหมายว่า จาก ตั้งแต่ เฉพาะ เช่น เขามาแต่บ้าน
"ต่อ" ใช้นำหน้าแสดงความเกี่ยวข้องกัน ติดต่อกัน เฉพาะหน้าถัดไป เทียบจำนวน เป็นต้น เช่น เขายื่นคำร้องต่อศาล
คำบุพบท เป็นคำที่ใช้หน้าคำนาม คำสรรพนาม หรือคำกริยาสภาวมาลา เพื่อแสดงความสัมพันธ์ของคำ และประโยคที่อยู่หลังคำบุพบทว่ามีความเกี่ยวข้องกับคำหรือประโยคที่อยู่ข้างหน้าอย่างไร เช่น
- ลูกชายของนายแดงเรียนหนังสือไม่เก่ง แต่ลูกสาวของนายดำเรียนเก่ง
- ครูทำงานเพื่อนักเรียน
- เขาเลี้ยงนกเขาสำหรับฟังเสียงขัน
ชนิดของคำบุพบท คำบุพบทแบ่งเป็น 2 ชนิด
1. คำบุพบทที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำต่อคำ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างคำนามกับคำนาม คำนามกับคำสรรพนาม คำนามกับคำกริยา คำสรรพนามกับคำสรรพนาม คำสรรพนามกับคำกริยาคำกริยากับคำนาม คำกริยากับคำสรรพนาม คำกริยากับคำกริยา เพื่อบอกสถานการณ์ให้ชัดเจนดังต่อไปนี้

- บอกสถานภาพความเป็นเจ้าของฉันซื้อสวนของนายฉลอง ( นามกับนาม )
บ้านของเขาใหญ่โตแท้ๆ ( นามกับสรรพนาม )
อะไรของเธออยู่ในถุงนี้ ( สรรพนามกับสรรพนาม )
- บอกความเกี่ยวข้อง
เธอต้องการมะม่วงในจาน ( นามกับนาม )
พ่อเห็นแก่แม่ ( กริยากับนาม )
ฉันไปกับเขา ( กริยากับสรรพนาม )
- บอกการให้และบอกความประสงค์
แกงหม้อนี้เป็นของสำหรับใส่บาตร ( นามกับกริยา )
พ่อให้รางวัลแก่ฉัน ( นามกับสรรพนาม )
- บอกเวลา
เขามาตั้งแต่เช้า ( กริยากับนาม )
เขาอยู่เมืองนอกเมื่อปีที่แล้ว ( นามกับนาม )
- บอกสถานที่
เธอมาจากหัวเมือง ( กริยากับนาม )
- บอกความเปรียบเทียบ
เขาหนักกว่าฉัน ( กริยากับนาม )
เขาสูงกว่าพ่อ ( กริยากับนาม )

2. คำบุพบทที่ไม่มีความสัมพันธ์กับคำอื่น ส่วนมากจะอยู่ต้นประโยค ใช้เป็นการทักทาย มักใช้ในคำประพันธ์ เช่น
ดูกร ดูก้อน ดูราช้าแต่ คำเหล่านี้ใช้นำหน้าคำนามหรือสรรพนาม
ดูกร ท่านพราหมณ์ ท่านจงสาธยายมนต์บูชาพระผู้เป็นเจ้าด้วย
ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย การเจริญวิปัสสนาเป็นการปฏิบัติธรรมของท่าน
ดูกร สหายเอ๋ย ท่านจงทำตามคำที่เราบอกท่านเถิด
ช้าแต่ ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ายินดีมากที่ท่านมาร่วมงานในวันนี้


ข้อสังเกตการใช้คำบุพบท
1. คำบุพบทต้องนำหน้าคำนาม คำสรรพนาม หรือคำกริยาสภาวมาลา เช่น
- เขามุ่งหน้าสู่เรือน
- ป้ากินข้าวด้วยมือ
- ทุกคนควรซื่อสัตย์ต่อหน้าที่
2. คำบุพบทสามารถละได้ และความหมายยังคงเดิม เช่น
- เขาเป็นลูกฉัน ( เขาเป็นลูกของฉัน )
- แม่ให้เงินลูก ( แม่ให้เงินแก่ลูก )
- ครูคนนี้เชี่ยวชาญภาษาไทยมาก ( ครูคนนี้เชี่ยวชาญทางภาษาไทยมาก )
3. ถ้าไม่มีคำนาม หรือคำสรรพนามตามหลัง คำนั้นจะเป็นคำวิเศษณ์ เช่น
- เธออยู่ใน พ่อยืนอยู่ริม
- เขานั่งหน้า ใครมาก่อน
- ฉันอยู่ใกล้แค่นี้เอง
ตำแหน่งของคำบุพบท ตำแหน่งของคำบุพบท เป็นคำที่ใช้นำหน้าคำอื่นหรือประโยค เพื่อให้รู้ว่าคำ หรือประโยคที่อยู่หลังคำบุพบท มีความสัมพันธ์กับคำหรือประโยคข้างหน้า ดังนั้นคำบุพบทจะอยู่หน้าคำต่างๆ ดังนี้
1. นำหน้าคำนาม
- เขาเขียนจดหมายด้วยปากกา
- เขาอยู่ที่บ้านของฉัน
2. นำหน้าคำสรรพนาม
- เขาอยู่กับฉันตลอดเวลา
- เขาพูดกับท่านเมื่อคืนนี้แล้ว
3. นำหน้าคำกริยา
- เขาเห็นแก่กิน
- โต๊ะตัวนี้จัดสำหรับอภิปรายคืนนี้
4. นำหน้าคำวิเศษณ์
- เขาวิ่งมาโดยเร็ว
- เธอกล่าวโดยซื่อ

6. "คำสันธาน"
คำสันธาน คือ คำที่ทำหน้าที่เชื่อมคำกับคำ เชื่อมประโยคกับประโยค เชื่อมข้อความกับข้อความ หรือข้อความให้สละสลวย
คำสันธานมี 4 ชนิด คือ
1. เชื่อมใจความที่คล้อยตามกัน ได้แก่คำว่า กับ และ, ทั้ง…และ, ทั้ง…ก็, ครั้น…ก็, ครั้น…จึง, พอ…ก็ ตัวอย่างเช่น
พออ่านหนังสือเสร็จก็เข้านอน
พ่อและแม่ทำงานเพื่อลูก
ฉันชอบทั้งทะเลและน้ำตก
ครั้นได้เวลาเธอจึงไปขึ้นเครื่องบิน
2. เชื่อมใจความที่ขัดแย้งกัน ได้แก่คำว่า แต่, แต่ว่า, ถึง…ก็, กว่า…ก็ ตัวอย่างเช่น
กว่าตำรวจจะมาคนร้ายก็หนีไปแล้ว
เขาอยากมีเงินแต่ไม่ทำงาน
ถึงเขาจะโกรธแต่ฉันก็ไม่กลัว
เธอไม่สวยแต่ว่านิสัยดี
3. เชื่อมใจความเป็นเหตุเป็นผลกัน ได้แก่คำว่า จึง, เพราะ…จึง, เพราะฉะนั้น…จึง ตัวอย่างเช่น
เขาวิ่งเร็วจึงหกล้ม ฉันกลัวรถติดเพราะฉะนั้นฉันจึงออกจากบ้านแต่เช้า
เพราะเธอเรียนดีครูจึงรัก เขาไว้ใจเราให้ทำงานนี้เพราะฉะนั้นเราจะเหลวไหลไม่ได้
4. เชื่อมใจความให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่คำว่า หรือ หรือไม่ก็, ไม่เช่นนั้น, มิฉะนั้น ตัวอย่างเช่น
เธอต้องทำงานมิฉะนั้นเธอจะถูกไล่ออก
ไม่เธอก็ฉันต้องกวาดบ้าน
นักเรียนจะทำการบ้านหรือไม่ก็อ่านหนังสือ
คุณจะทานข้าวหรือก๋วยเตี๋ยว

หน้าที่ของคำสันธาน
1. เชื่อมคำกับคำ เช่น
ฉันเลี้ยงแมวและสุนัข นิดกับหน่อยไปโรงเรียน
2. เชื่อมข้อความ เช่น
คนเราต้องการปัจจัย 4 ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องประกอบอาชีพเพื่อให้ได้เงินมาซื้อ

3. เชื่อมประโยคกับประโยค เช่น
พี่สาวสวยแต่น้องฉลาด เพราะเขาขยันจึงสอบได้
4. เชื่อมความให้สละสลวย เช่น
เขาก็เป็นคนดีคนหนึ่งเหมือนกัน คนเราก็มีเจ็บป่วยบ้างเป็นธรรมดา

7. "คำอุทาน"
คำอุทาน คือ คำที่เปล่งออกมาเพื่อแสดงอารมณ์หรือความรู้สึกของผู้พูด มักจะเป็นคำที่ไม่มีความหมาย แต่เน้นความรู้สึก และอารมณ์ของผู้พูด เสียงที่เปล่งออกมาเป็นคำอุทานนี้ แบ่งเป็น 3 ลักษณะ
1. เป็นคำ เช่น โอ๊ย ว้าย แหม โถ เป็นต้น
2. เป็นวลี เช่น พุทโธ่เอ๋ย คุณพระช่วย ตายละว้า เป็นต้น
3. เป็นประโยค เช่น ไฟไหมเจ้าข้า ป้าถูกรถชน เป็นต้น

คำอุทานแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
1. อุทานบอกอาการ ใช้เปล่งเสียงเพื่อบอกอาการและความรู้สึกต่างๆของผู้พูด เช่น
• ร้องเรียก หรือบอกเพื่อให้รู้สึกตัว เช่น แน่น เฮ้ โว้ย เป็นต้น
- เร็วๆ หน่อยโว้ย รอนานแล้วนะ
• โกรธเคือง เช่น ชิชะ ดูดู๋
- ชิชะ ทำเป็นมาอวดดี เดี๋ยวพ่อตบฟันร่วงซะเลยหรอก
- ดูดู๋ ดูมันทำซิ น่าโมโหจริง .... เป็นต้น
• ตกใจ เช่น ตายจริง ว้าย โอ้ว!! พระเจ้าจอช มันยอดมาก! เป็นต้น
- ว้ายยยย ! รถชนเด็ก
• สงสาร เช่น อนิจจา โถ โธ่เอ๊ยไม่น่าเลย เป็นต้น
- อนิจจา เขาไม่น่าจากเราไปเร็วเช่นนี้เลย
• โล่งใจ เช่น เฮ้อ เฮอ วู้ เป็นต้น
- เฮ้อ นึกว่าจะไม่รอดซะแล้วเรา
• ขุ่นเคือง เช่น อุวะ แล้วกัน แง่งเอ๊ย เป็นต้น
- อุวะ เอ็งนี่พูดไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ
• ทักท้วง เช่น ฮ้า ไฮ้ เป็นต้น
- ไฮ้ อย่าทำอย่างนั้นมันไม่ดี
• เยาะเย้ย เช่น หนอย ชะ อุเหม่ เป็นต้น
- อุเหม่..มนุษย์บูชา ทำไมหนักหนาเงินทอง
• ประหม่า เช่น เอ้อ อ้า อ่า เป็นต้น
• ชักชวน เช่น นะ น่า เป็นต้น
- นะๆ ไปด้วยกันนะ

2. อุทานเสริมบท คือ คำพูดเสริมขึ้นมาโดยไม่มีความหมาย อาจอยู่หน้าคำ หลังคำหรือแทรกกลางคำ เพื่อเน้นความหมาย ของคำที่จะพูดให้ชัดเจนขึ้น เช่น สัญญิงสัญญา หนังสือหนังหา ลืมหูลืมตา กินน้ำกินท่า ตัวอย่างเช่น
- ฉันไม่เคยให้สัญญิงสัญญากับใครทั้งนั้น
- ใกล้จะสอบแล้วหนังสือหนังหายังไม่ได้อ่านเลย
และถ้าเนื้อความมีความหมายในทางเดียวกัน เช่น ไม่ดูไม่แล ร้องรำทำเพลง เราเรียกคำเหล่านี้ว่า คำซ้อน
นอกจากนี้ คำสร้อยในร้อยกรองบางชนิด เช่น โคลง ก็ถือเป็นอุทานเสริมบทด้วยเพื่อให้เกิดความสละสลวยและให้มีคำครบถ้วนตามที่ต้องการใช้ในคำประพันธ์นั้นๆ คำอุทานชนิดนี้ใช้เฉพาะในคำประพันธ์ ไม่นำมาใช้ในการพูดสนทนา ก็ถือเป็นคำอุทานเสริมบทชนิดหนึ่ง เช่นคำว่า โอ้ อ้า โอ้ว่า แล นา ฤๅ เอย แฮ เฮย ฯลฯ ตัวอย่างเช่น
เสียงฤๅเสียงเล่าอ้าง อันใด พี่เอย
เสียเนื้อเลือดหลั่งใหล ยอมสละ สิ้นแฮ
โอ้ว่าพระเชษฐา จากพารามาด้วยกัน
คำอุทานเสริมบทนี้ไม่ต้องมีเครื่องหมายอัศเจรีย์กำกับ เพราะไม่ต้องทำให้เหมือนเสียงพูดจริงๆ

------------------------------------------------------------
ผู้จัดได้อ่านและคัดลอกมาจากเวปดังนี้
//area.obec.go.th/patthalung1/lungebook/anubanpabon1/index.htm

//www.yupparaj.ac.th/department/thai/index.htm

//www.thailandcentral.com/Tlangpha5.html

//www.kru-itth.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=
178822&Ntype=4


//ecurriculum.mv.ac.th/thai/m.2/unit1/lesson4/sirajaruk/kum7.htm






 

Create Date : 18 กุมภาพันธ์ 2551
9 comments
Last Update : 18 กุมภาพันธ์ 2551 21:56:23 น.
Counter : 1679 Pageviews.

 

เวนกำกุหาผิดคับ

 

โดย: ปลื้ม IP: 117.47.32.222 26 พฤษภาคม 2551 17:53:50 น.  

 

Kangzen

 

โดย: Kangzen (mlmboy ) 16 ธันวาคม 2551 18:35:38 น.  

 

hy

 

โดย: h IP: 222.123.31.70 16 ธันวาคม 2551 19:59:58 น.  

 

very good for learning

 

โดย: 555za IP: 222.123.31.70 16 ธันวาคม 2551 20:00:57 น.  

 

ทำไมก๊อปปี้ไม่ได้นะ

 

โดย: ติ๊ก IP: 203.172.199.254 3 กุมภาพันธ์ 2552 11:34:34 น.  

 

ไอ้เน่า

ก๊อปไม่ได้จาเอามาลงหาพระแสง อะไร


สาดเอ้ย.......

 

โดย: เซ็ง IP: 125.26.89.202 9 กุมภาพันธ์ 2552 16:10:12 น.  

 

เผือก........- -

 

โดย: - - IP: 112.142.120.206 8 มิถุนายน 2552 18:08:15 น.  

 

หาผิดอ่ะค่ะ €นู๋เนยนะจร้า เราหา คำและความหมาย

 

โดย: เนยร้ากจ๊าบ IP: 125.27.213.22 25 กันยายน 2553 18:10:44 น.  

 

ขอบคุณมากๆค่ะ

 

โดย: นู๋ทราย IP: 125.27.210.109 23 พฤศจิกายน 2553 17:43:39 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


หมาฉันชื่อตะขบ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add หมาฉันชื่อตะขบ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.