Group Blog
 
 
มกราคม 2549
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
27 มกราคม 2549
 
All Blogs
 

บนเส้นทางสายน้ำตา...ที่พาไปสู่ความไส้แห้ง



หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินคำที่เขาเรียกนักเขียนด้วยความยกย่องแกมประชดว่า “นักประพันธ์ไส้แห้ง” กันมาบ้างแล้ว
มันช่างดูเป็นอาชีพที่ยึดถือเป็นอาชีพไม่ได้เอาเสียเลยเนื่องจากคำว่า ไส้แห้ง นั้น หมายถึงความไม่มีจะกินหรือจนนั่นเอง
ตั้งแต่เล็กจำความได้ ฉันมีความใฝ่ฝันที่จะเป็นนักเขียน ครู และนักโบราณคดี ไปพร้อม ๆ กัน หลาย ๆ คนได้ยินเข้าก็หัวเราะขำ คิดว่าเด็กยังไม่จบประถมปีที่หนึ่งดีจะรู้จักนักเขียนและนักโบราณคดีได้อย่างไร
เด็กเหงาอย่างฉันมีแต่หนังสือเป็นเพื่อน อ่าน อ่าน และอ่าน จินตนาการในโลกของหนังสือทำให้ฉันลืมความจริงอันปวดร้าวของชีวิต ฉันหัวเราะ ร้องไห้ ยิ้มหัวไปกับบทบาทของตัวละครในหนังสือนิยาย ฉันตื่นเต้นไปการการค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทราบมาก่อนด้วยหนังสือสารคดี ประวัติศาสตร์ ฯลฯ ไม่มีที่ไหนจะอบอุ่นเท่ากับการได้ท่องโลกส่วนตัวไปกับหนังสือเพื่อนรักของฉัน

อยู่มาวันหนึ่ง ฉันก็ลุกขึ้นมาเขียนเรื่องส่งไปลง “สตรีสาร” เมื่อยังไม่ครบเจ็ดขวบเต็ม การเล่าเรื่องประกอบภาพของฉันประสบความสำเร็จ ตั้งแต่นั้นมาฉันเฝ้าเขียน เขียน แล้วก็ชื่นชมกับผลงานของตัวเอง ค่าตอบแทนที่เด็ก ๆ อย่างฉันได้รับคือหนังสือนิทาน สมุดคำศัพท์ ฯลฯ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการ ตัวหนังสือของฉันที่ปรากฏบนหน้ากระดาษต่างหากเล่า เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันภูมิใจในตัวเองที่สุด ฉันไม่เคยต้องการให้ใครมายกย่องว่าฉันเก่งที่เขียนหนังสือแล้วได้ตีพิมพ์ในนิตยสาร แต่ฉันจะมีความสุขอย่างที่สุดเมื่อมีคนมาบอกว่าชอบอ่านเรื่องของฉันมาก สนุก มันทำให้ฉันปลื้มใจสุด ๆ และมีกำลังใจที่จะเขียนเรื่องต่อ ๆ ไป

เมื่อฉันเริ่มเรียนมัธยม พ่อก็ได้จากไป ทิ้งฉันไว้ให้อยู่กับแม่ ฐานะความเป็นอยู่ลำบากมากขึ้นเพราะแม่ไม่เคยทำงานมาก่อน เป็นแต่แม่บ้านที่ดีที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็น ฉันหมกตัวอยู่กับหนังสือมากขึ้นในขณะที่ก็พยายามตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด พ่อเคยพูดกับฉันว่า อาชีพที่ฉันอยากทำล้วนแต่เป็นอาชีพที่ค่าตอบแทนน้อยนิด นักเขียน ครู หรือนักโบราณคดี ก็ดี จะทำให้ฉันลำบากเพราะหาเงินได้น้อย โดยเฉพาะการเป็นนักเขียนนั้น ฉันอาจไม่ได้เงินเลยก็ได้ หรือได้ก็แต่น้อย แต่จะได้ “กล่อง” แทน พ่อย้ำเสมอว่าถ้าพ่อเป็นอะไรฉันต้องดูแลแม่ให้ดีเท่าที่พ่อเคยทำ “กล่อง” จะทำให้แม่ไม่มีความสุขเพราะเราจน

ฉันยังทยอยเขียนหนังสือไปเรื่อย ๆ ผลงานก็มีประปรายลงในนิตยสารต่าง ๆ เช่น สตรีสารเจ้าเก่า และแพรวทั้งเล่มใหญ่และสุดสัปดาห์ แต่ก็ยังเป็นบทความเกี่ยวกับผู้หญิง ๆ หรือเรื่องสั้นบ้าง มีหนังสือเกิดขึ้นมาเยอะและดับไป ไม่ต้องบอกก็ทราบว่ามีหลายต่อหลายครั้งที่ฉันไม่ได้รับค่าตอบแทนเพราะหนังสือปิดตัวไป หรือทางหนังสือบอกตามตรงว่า ยังไม่ “สะดวก” ซึ่งฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะใจมันรักเสียแล้ว

ปีสุดท้ายของการเรียนที่บพิตรพิมุข ฉันได้แรงบันดาลใจมากขึ้นเพราะเลือกเรียนมัคคุเทศก์เป็นวิชาเอกในปีสุดท้าย ได้เรียนประวัติศาสตร์ศิลป์ ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ตลอดจนเยี่ยมชมโบราณสถาน พิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ ได้เห็นโบราณวัตถุทั้งสวยงามและที่ถูกทำลายด้วยมือมนุษย์ และด้วยกาลเวลา ฉันตั้งใจแน่วแน่ว่าฉันจะต้องเป็นนักโบราณคดีให้จงได้ ฉันจะสอนเด็กรุ่นหลังให้รักและภูมิใจในประเทศของเรา ประวัติศาสตร์ของเรา และฉันจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เพื่อทำให้คนสนใจในประวัติศาสตร์ของเรามากขึ้น ฉันต้องทำ.....

ในที่สุด เรื่องสั้นขนาดยาวอิงแนวประวัติศาสตร์ “อรรธนารีศวร” ก็ได้รับการตีพิมพ์ในสกุลไทย ความภาคภูมิใจของฉันตอนนั้นยังจำได้ว่าสำหรับเด็กอายุ ๑๗ มันแทบทะลักออกมานอกทรวงอก ค่าตอบแทนที่ได้ฉันให้แม่จนหมด ถึงแม้จะไม่มากนักแต่ก็ถือว่าพอสมควรสำหรับนักเขียนเรื่องสั้นหน้าใหม่ แม่ยิ้มกริ่ม ฉันรู้ว่าแม่ดีใจที่ฉันเอาเงินค่าเขียนเรื่องให้แม่มาโดยตลอด แต่แม่ก็ไม่ได้ชื่นชมอะไรมากมายในเรื่องผลงานเพราะแม่อ่านหนังสือได้น้อย ไม่ค่อยแตกฉานนั่นเอง

ฉันอยากเขียนนิยาย ฉันจะเขียนนิยายเรื่องยาวให้ได้ พอทีสำหรับเรื่องสั้น ฉันจะพิสูจน์ให้ได้ว่าคำพูดของพ่อไม่เป็นความจริง ดังนั้นเมื่อสกุลไทยเปิดรับนิยายเรื่องยาวจากนักเขียนหน้าใหม่ ๓๐ ตอนจบ ฉันจึงส่งนิยายแนวลึกลับ สยองขวัญ อิงบรรยากาศจากสมัยอยุธยาเรื่อง “หุ่นหลวง” ไปทางไปรษณีย์ ผลก็คือ เรื่องของฉันได้ลงเป็นเรื่องสุดท้าย ฉันเดินทางไปรับเงินค่าเรื่องมือสั่นเทา เงินที่ได้ฉันนำมาให้แม่มากกว่าครึ่ง ที่เหลือเก็บไว้เป็นค่าเทอมส่งตัวเองเรียนมหาวิทยาลัย ฉันมีโอกาสได้คุยกับบรรณาธิการสกุลไทย ได้ทราบว่ามีคนชื่นชมผลงานของฉันมาก ทั้ง ๆ ที่ฉันเป็นเด็กแค่อายุ ๑๘ ทุกคนให้กำลังใจให้ฉันเขียนต่อไปในแนวนี้ แม้จะต้องค้นคว้าอ้างอิงและเป็นงานเขียนที่ใช้เวลานานกว่านิยายรัก แต่ก็มีประโยชน์ต่อผู้อ่านโดยเฉพาะเยาวชนทั้งหลาย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคำพูดของคุณสุแห่งสกุลไทยทำให้ฉันตัวแทบลอยไม่ติดพื้น ฉันจะได้เป็นนักเขียนเต็มตัวแล้ว

เมื่อเรื่องของฉันตีพิมพ์เป็นตอน ๆ จนจบลง ตามปรกติก็ต้องมีการรวมเล่มพิมพ์ ฉันเฝ้ารอและรอแต่ก็ไม่มีใครติดต่อมา ไม่เหมือนนิยายก่อนหน้าที่ลงไป ๒ เรื่อง รอนานมาก ๆ เข้า ด้วยความอยากเห็นนิยายเล่มแรกของตัวเอง ฉันจำต้องออกเดินหน้าไปหาสำนักพิมพ์ต่าง ๆ เพื่อให้เขารวมเล่มนิยายตัวเอง ไม่ต้องบอกก็คงทราบว่า เขาไม่พิมพ์เรื่องของฉัน เพราะมัน “ขายยาก” “ตลาดชอบเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ” หรือ “เรื่องผีด้วยอิงสมัยโบราณด้วย ใครเขาจะอ่าน” ฯลฯ ฉันก็เดินหน้าต่อด้วยถือคติว่า “ตระกร้าสร้างนักเขียน” แต่ไม่ว่าจะเดินก้าวหน้าไปเท่าไหร่ ฉันก็ยังก้าวไปไม่ได้ ไม่มีใครอยากได้เรื่องของฉันแม้ว่ามันจะมาจากสกุลไทยซึ่งในสมัยนั้นถือว่าเป็นสุดยอดแห่งหนังสือรายสัปดาห์ที่มีนิยายเด็ด ๆ

ฉันใช้เวลาเพียงแค่ ๓ ปีก็เรียนจบปริญญาตรี เอกวรรณคดีอังกฤษ ฉันเริ่มหางานทำ ขณะเดียวกันก็ไม่ล้มเลิกความคิดที่จะเป็นนักเขียนไปด้วย ฉันเปลี่ยนงานไปมา พยายามหาที่เงินเยอะ ๆ เพื่อเอามาใช้จ่ายและเลี้ยงแม่ ทุกครั้งที่จะลงมือเขียนเรื่อง ฉันนึกถึงสิ่งที่พ่อเคยพูดเสมอว่าให้ดูชีวิตของ ป.อินทรปาลิตเอาไว้ให้ดี ดูให้เป็นตัวอย่าง งานเขียนของท่านมีมาก “พล นิกร กิมหงวน” เป็นหัสนิยายที่ดีที่สุด คนรู้จักมากที่สุด พิมพ์ไม่รู้ว่ากี่ครั้ง แต่ท่านไม่ได้ร่ำรวยอะไรเลย (หรือเรียกอีกอย่างว่าจนก็ได้) ต่อเมื่อท่านตายไปแล้วคนถึงมาเชิดชูผลงาน และยังนักเขียนต่างประเทศอีกหลาย ๆ ท่าน ที่เจ็บปวดที่สุดคือพ่อฉันพูดถึงจิตรกรอย่างแวนโกห์กับผลงานและชีวิตอันแสนเศร้าของเขา และสุดท้ายเขาก็ฆ่าตัวตายเนื่องจากวิปลาส ไม่มีใครเข้าใจในผลงานของเขา

อย่าเข้าใจผิดนะว่าฉันเทียบตัวเองกับศิลปินระดับโลกอย่างเขา แต่พ่อเคยบอกฉันว่า หากฉันเขียนงานแบบ “พาณิชย์ศิลป์” ฉันอาจจะทำมาหาเลี้ยงตัวได้ แต่งานเขียนของฉันที่ต้องทำการอ่าน ค้นคว้า อ้างอิง และรอแรงบันดาลใจนั้น มันจะพาไปสู่ความเป็นคนไส้แห้งและทำให้ฉันเสียใจได้

ฉันคิดว่าจะลองเขียนเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ หวานแหววดูกับเขาบ้าง ฉันก็ทำได้แต่ต้องฝืนใจเต็มที เรื่องรักน้ำเน่าของฉันได้พิมพ์เป็นพ็อคเกตบุคเล็ก ๆ เล่มละ ๑๐ บาทในสมัยนั้น แต่ฉันทำได้เพียงแค่ ๒ เรื่องก็รู้สึกไม่ไหว แล้วใครเล่าที่ว่าค่าตอบแทนดี มันไม่จริงเลย

ฉันถอดใจแล้ว....ฉันเสียใจมามากพอแล้ว ผิดหวังพอแล้วกับอุดมการณ์โง่ ๆ ของฉัน ฉันเบนสายเข้าทำงานในบริษัทต่างชาติหลังจากนั้น ทำงานด้วยความขยันขันแข็งตั้งใจ ทำให้ก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ ฉันแต่งงานและมีลูกสาวคนหนึ่ง พอกันทีกับความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง ฉันขอเป็นมนุษย์เงินเดือน ทำเก็บ ทำกิน เลี้ยงลูกและแม่ไปเรื่อย ๆ ดีกว่า แม้ใจจะทุกข์แต่ฉันต้องอยู่กับความจริง แม้แต่ความฝันมันก็ทำให้ฉันเจ็บปวด

ฉันตัดสินใจเรียนต่อเพื่อเพิ่มวุฒิให้ตัวเอง หน้าที่การงานเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ แม่พลอยปลื้มใจมีหน้ามีตา มีเงินใช้ไปกับลูก แม่มักจะคุยเขื่องให้ญาติ ๆ ฟังเรื่องความเก่งกาจในการทำงานของฉันอย่างภาคภูมิใจ (ฉันไม่เคยได้ยินว่าแม่ชมฉันว่าเขียนหนังสือสนุกหรืออะไรทำนองนี้เลย) แม่เคยพูดครั้งหนึ่งกับฉันว่า “ถ้าแกเป็นนักเขียน ฉันว่าป่านนี้แกกับฉันคงนั่งกินแกลบ” แล้วแม่ก็หัวเราะ แต่ฉันอึ้ง แม้จะเห็นด้วยแต่ก็พูดไม่ออก มันเจ็บลึกจริง ๆ แต่ฉันก็คิดว่าฉันเป็นลูกที่ดีคนหนึ่งที่ดูแลและหาเลี้ยงแม่เท่าที่ฉันจะทำได้

เวลาผ่านไปจากวันที่นิยายเล่มแรกของฉันได้ลงเป็นเวลาถึง ๑๙ ปี ฉันได้รับการติดต่อจากสำนักพิมพ์เล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่อยากนำเรื่อง “หุ่นหลวง” ของฉันไปตีพิมพ์รวมเล่ม ฉันรู้สึกราวกับฝันไป ในที่สุดความฝันของฉันก็เป็นจริง นิยายเล่มแรกของฉันได้ตีพิมพ์แล้ว แม้ค่าตอบแทนจะน้อยแต่ฉันรู้สึกดีที่สุด ฉันเป็นหนี้บุญคุณเจ้าของสำนักพิมพ์นี้ที่ติดตามอ่านเรื่องของฉันตั้งแต่เขายังเรียนอยู่ธรรมศาสตร์ เขาอยากรวมเล่มเพราะคิดว่าเป็นเรื่องที่สนุกที่สุดเรื่องหนึ่งที่เขาเคยอ่านมา ทุกวันอังคาร เขาเล่าว่าเขาจะตรงไปแผงหนังสือท่าพระจันทร์แล้วก็รีบเปิดเรื่องฉันอ่านก่อนเรื่องแรก ฉันปลื้มปิติมาก เขาขอให้ฉันช่วยไปในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ และเซ็นชื่อในหนังสือให้แก่ผู้ซื้อ อุแม่เจ้า....

ฉันพบกับคนอ่านหลาย ๆ คนที่ชื่นชมเรื่องของฉัน ส่วนมากก็ติดตามมาตั้งแต่สกุลไทย (ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอายุต้องเกินเลข ๓ ขึ้น) หลายคนถามว่าทำไมฉันเพิ่งมารวมเล่ม ทำไมหยุดเขียนหนังสือ ทำไมไม่มีคนเขียนเรื่องแนวนี้มาก ๆ ล้วนแต่เป็นคำถามที่ฉันตอบไม่ได้จริง ๆ

ฉันยังมีนิยายอีก ๑ เล่มทีรอการพิมพ์แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีวันนั้นหรือไม่ หลังจากการแต่งงานครั้งที่สอง สามีใหม่ฉันเข้าใจฉันดีและรู้ถึงความเจ็บปวดของฉัน เขาได้หยิบยื่นโอกาสนี้ให้ฉันอีกครั้ง เขาบอกว่าเขาจะหาเลี้ยงฉันเอง ขอให้ฉันทำตามความฝันเพราะเขาอยากเห็นฉันมีความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่ฉันรัก เขาเสียใจที่ครอบครัวของฉันไม่เคยเป็นกำลังใจให้ฉันเลย เขาภูมิใจมากที่มีภรรยาเป็นนักเขียนมากกว่าที่จะเป็นผู้จัดการอันเก่งกาจสามารถจบการศึกษาระดับปริญญาโทจากศศินทร์ ตอนที่ฉันจากเมืองไทยมา เงินเดือนเดือนสุดท้ายของฉันนั้นมากโขอยู่ คิดแล้วน้อยกว่าเงินเดือนของเขาที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์แค่ไม่กี่พันบาทเท่านั้นเอง แต่ฉันก็ทิ้งมันมาได้....ฉันอยากกลับไปเป็นนักเขียน

สำนักพิมพ์บอกเรื่องของฉันพอ”ขายได้” เรื่อย ๆ เขายังไม่มีทุนรอนพิมพ์เล่มใหม่ ต้องไปพิมพ์ของคนที่ดัง ๆ ก่อนจะได้เลี้ยงตัวเองได้ ฉันก็พอเข้าใจอยู่ เขาว่าผู้จัดละครหลายคนขอเรื่องไปอ่าน จากนั้นก็ไม่กล้าทำเพราะกลัว “อาถรรพณ์” หุ่นทศกัณฐ์บ้าง ละครแนวนี้ทำยากบ้าง สารพัดจะพูด เป็นอันว่ากลับเข้ามาแนวเดิม เรื่องแนวนี้ตลาดไม่นิยม

ฉันท้ออีกแล้ว เรื่องที่รอคิวอยู่ก็ยังไม่ได้พิมพ์ เรื่องใหม่ที่ฉันใช้เวลาค้นคว้า ขุดแงะ แถมด้วยแรงบันดาลใจอันแรงกล้านี่อีกล่ะ หากฉันเขียน แล้วมันไม่ได้พิมพ์อีกเพราะมันไม่ใช่แนวตลาด ฉันจะเป็นอย่างไร ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าเสียใจแค่ไหน เสียน้ำตาแค่ไหน แล้วฉันอาจจะทำให้สามีฉันผิดหวังอีก ฉันจะทำอย่างไรดี

อีกเหตุผลหนึ่งที่ฉันไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ญาติ เพื่อนฝูง บรรดาคนที่รู้จักมักจะเอ่ยปากขอหนังสือ “ฟรี” จากฉัน ฉันก็อยากให้อยู่หรอกนะ แล้วก็ให้คนที่เคารพนับถือชอบพอไปนับสิบได้ ทำไมคนไทยจึงเป็นเช่นนี้ ทำไมไม่ช่วยสนับสนุนผลงานด้วยการซื้อ มันจะทำให้นักเขียนอยู่ได้ ทุกคนก็อยากได้ของฟรีฉันเข้าใจ พวกเขามองว่าการเขียนไม่ได้เป็นการลงทุนลงแรงอะไร ไม่มีต้นทุนมีแต่การได้ ฉันดีใจที่เรามีหน่วยงานลิขสิทธ์หรือทรัพย์สินทางปัญญา ไม่เช่นนั้นคงแย่ไปกว่านี้ เพื่อนชาวฝรั่งเศสของฉันกับภรรยาชาวนิวซีแลนด์ที่มาทำงานในเมื่องไทยกลับเป็นอีกอย่างหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่เขาอ่านเขียนไทยไม่ได้ พอรู้ว่าฉันเขียนนิยายแนวนี้ เขาเที่ยวเอานิยายฉันไปโชว์กับเพื่อน ๆ คนไทยของเขาและขอร้องให้ช่วยกันซื้อเพื่อสนับสนุนผลงานของฉัน แล้วจะให้ฉันคิดยังไงกันนี่ หลายคนถึงกับหาว่าฉันเป็นคนขี้งกที่ไม่แจกหนังสือ แค่เล่มละสองร้อยบาทเอง ฯลฯ

วันนี้ฉันท้อเหลือเกิน ได้แต่หวังว่า ฉันจะมีกำลังใจลุกขึ้นมาเขียนนิยายเรื่องใหม่ของฉันต่อไป ฉันจะต้องไม่ยอมแพ้ ถึงวันนี้ไม่มีใครอ่าน อีกยี่สิบปีข้างหน้าซึ่งฉันอาจจะตายไปแล้วก็ได้ คนคงจะอ่านเรื่องของฉัน วันนี้ฉันพร้อมแล้วที่จะเป็นนักเขียนไส้แห้งอย่างที่พ่อว่า ฉันพอใจที่จะทำงานบนเส้นทางนี้ แม้มันจะทำให้ฉันต้องเสียน้ำตามามากก็ตามที ลูกอย่างฉันได้ทำหน้าที่ของตนจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว เมื่อแม่เสียชีวิตไปได้ปีหนึ่ง ฉันไม่มีแม่ต้องเลี้ยงดูแล้ว ฉันคงกลับมาเป็นนักเขียนได้

ฉันได้แต่หวังว่าเมื่อแม่ได้พบพ่อ แม่จะได้เล่าให้พ่อฟังว่าฉันได้เลี้ยงดูแม่อย่างดีที่สุดตามที่พ่อเคยพูดเอาไว้ ฉันเรียนหนังสือจบ ทำงานดีไม่มีอะไรต้องห่วง ฉันรู้ว่าแม่คงไม่เล่าเรื่องงานเขียนของฉันให้พ่อฟังหรอก แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ฉันจะรอจนถึงวันที่ฉันมีโอกาสได้พบพ่อและแม่ ฉันจะเล่าให้ท่านฟังว่าชีวิตวัยกลางคนของนักเขียนไส้แห้งของฉันเป็นอย่างไรบ้าง แล้วพ่อก็คงจะหัวเราะเช่นเคย พร้อมกับมาตรวจดูว่าหูฉันยังอยู่ครบไม่เหมือนแวนโกห์

รอฟังเรื่องของหนูนะพ่อ......








 

Create Date : 27 มกราคม 2549
20 comments
Last Update : 27 มกราคม 2549 2:28:48 น.
Counter : 1728 Pageviews.

 

วันนี้ผมอ่านบล็อกของคุณแล้วรู้สึกขนลุก,

ผมยังไม่ได้ดูล็อกอินของคุณเลยว่าชื่ออะไร เข้ามาเพราะชื่อเรื่องที่ว่า "บนเส้นทางสายน้ำตา...ที่พาไปสู่ความไส้แห้ง"
ผมคิดว่าต้องเกี่ยวกับเรื่องการเป็นนักเขียนแน่เลย

อันดับแรกผมอยากบอกว่าคุณโชคดีที่สามีคุณเข้าใจและสนับสนุนให้เป็นนักเขียน

อันดับสอง คุณเขียนหนังสือได้,ส่วนขายได้หรือไม่ได้นั้นคุณยังไม่ต้องไปคิดหรอกครับ,
การเขียนหนังสือได้นั้นเป็นคุณสมบัติของนักเขียนที่ดีที่สุดแล้ว,ประการสำคัญคุณเขียนิยายได้ คุณเขียนิยายได้ก็ต้องถือว่าเก่งแล้วครับ

ไหนคุณบอกว่าคุณรักการเขียน คุณได้ทำในสิ่งที่คุณรัก อันดับแรกก็นับว่าเป็นความสุขแล้ว ส่วนเรื่องต่อๆมาก็ค่อยว่ากัน

อย่าเพิ่งถอดใจไปเสียก่อน,
ผมก็รักการเขียน และเขียนด้วยความรักเช่นกัน,ถามว่าไส้แห้งไหม ? (ไม่ตอบว่าแห้งหรือเปล่า)

แต่ถามว่ามีความสุขไหม ?ในการที่ได้ทำงานที่ตัวเองรัก, มีความสุขครับ

อยากคุยกับคุณอีกครับ

ป.ล. ถ้าผมเจอหนังสือเล่มนี้ของคุณผมจะซื้อมาอ่านทันทีเลยครับ

 

โดย: พ่อพเยีย 27 มกราคม 2549 9:25:13 น.  

 

เป็นกำลังใจให้อีกหนึ่งคนครับ
สู้ๆนะครับ

 

โดย: mon (พื้นที่เป็นสุข ) 27 มกราคม 2549 11:48:25 น.  

 

จิตรกรอย่างแวนโกห์กับผลงานและชีวิตอันแสนเศร้าของเขา และสุดท้ายเขาก็ฆ่าตัวตายเนื่องจากวิปลาส ไม่มีใครเข้าใจในผลงานของเขา

>>> อันนี้เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะเพราะสะท้อนให้เห็นแล้วว่ามันเป็นความเจ็บปวดและขมขื่นขนาดไหน ทั้งคำดูถูกดูแคลนของคนอื่น ไหนเลยจะเทียบเท่ากับเพื่อนฝูงและครอบครัวที่มองสิ่งที่เรารักเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ เรียกว่าจิตวิญญาณแตกสลายเลยก็ว่าได้

เราเป็นคนหนึ่งที่เขียนงาน และแม้ยังไม่มีชื่อเสียง ไม่มีแม้แต่รายได้ แต่ก็จะเขียนต่อไปอย่างแลกด้วยชีวิต

ปล.ความรู้สึกของแวนโก๊ะนั้น เราจึงเข้าใจดีค่ะว่าเป็นเช่นไร และถ้าเกิดใครสักคนที่วิปลาสแล้วไล่ทำร้ายคนอื่นเนี่ย ก็ยิ่งน่ากลัวค่ะ

ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจเพื่อคุณนะคะ

 

โดย: กาญจน์ฏีบ่ได้ log in IP: 203.113.45.68 28 มกราคม 2549 14:21:52 น.  

 

เป็นกำลังให้นะคะ..
ขอให้ประสบความสำเร็จไวๆ

 

โดย: immuno 31 มกราคม 2549 15:35:02 น.  

 

สนับสนุนเป็นกำลังใจให้เขียนงานดีๆออกมาอีกนะคะ

 

โดย: ตรีนุช3903 IP: 195.146.251.88 3 กุมภาพันธ์ 2549 6:01:24 น.  

 

ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ ตอนนี้กำลังทำพลอตเรื่องใหม่ แก้แล้ว แก้อีก อยากจะเขียนให้คนอ่านชอบน่ะค่ะ สำนักพิมพ์ไม่ชอบ ผู้จัดละครไม่ชอบก็ไม่สน นักเขียนคนนี้แคร์คนอ่านเสมอมาค่ะ

 

โดย: Amber n the Gang 3 กุมภาพันธ์ 2549 20:52:54 น.  

 

รออ่านนะคะ ขอเป็นกำลังใจ ให้นักเขียน คนเก่ง อีกแรงนึง

อยากอ่านเรื่องหุ่นหลวงมากๆ ค่ะ กลับเมืองไทย จะไปหาให้เจอ แล้วจะส่งไปเซ็นต์ นะคะ

 

โดย: *พิณ* 16 กุมภาพันธ์ 2549 19:16:23 น.  

 

สวัสดีค่ะ จำเกรพได้หรือเปล่าคะ เกรพเคยทำงานที่ศศินทร์ แต่ลาออกมาได้เกือบครึ่งปีแล้วค่ะ มาเจอบล็อคคุณแอมเบอร์เข้าโดยบังเอิญเพราะเกรพตามกลิ่นของกินมาน่ะค่ะ มาตกระกำลำบากอยู่ดูไบค่ะ ทำอาหารไม่ค่อยเป็นเลยต้องหาสูตรจากในเน็ทเนี่ยแหละค่ะ เป็นสุดยอดแหล่งความรู้จริงๆ เลย

เป็นกำลังใจให้อีกคนนะคะ เกรพไม่เคยเขียนอะไรเป็นเรื่องเป็นราว ขนาดไดอารีก็ยังไม่เขียนเลยค่ะ ได้แค่สามวันก็เบื่อ เป็นนักอ่านมากกว่าค่ะ อ่านทุกอย่างแม้แต่ถุงกล้วยแขก กลับเมืองไทยคราวหน้าจะไปลองหา "หุ่นหลวง" มาอ่านนะคะ ชอบเรื่องลึกลับสืบสวนแต่ไม่ค่อยชอบเรื่องผี สยองขวัญอะค่ะ กลัว -_-' อยู่คนเดียวแล้วชอบฟุ้งซ่านค่ะ

ขอให้งานเขียนที่รอคิวอยู่ได้ตีพิมพ์เร็วๆ และหวังว่าเราคงจะได้เจอกันตามงานสัปดาห์หนังสือบ้างนะคะ

 

โดย: เกรพ IP: 195.229.242.55 17 กุมภาพันธ์ 2549 22:43:17 น.  

 

สวัสดีค่ะน้องเกรพ...
จำได้ซิคะ ใครจะลืมน้องเกรพคนสวยของพี่ ๆ ได้ลง อิอิ
ไปทำอะไรอยู่ี่ที่ดูไบล่ะคะ พี่มีน้องน่ารักมาก ๆ คนนึงอยู่ดูไบ จะแนะนำให้มั้ยคะ จะได้มีเพื่อน

ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ พี่ก็หวังเช่นนั้นเหมือนกัน ไว้คุยกันใหม่นะคะน้องเกรพ
ดีใจจังที่เราได้คุยกันอีกค่ะ แหม..เสียดายวันที่พี่ ๆ จบ ไม่มีโอกาสได้ถ่ายรูปร่วมกันกับน้องเกรพนะคะ ก็เราเป็นรุ่นแรก ต้องเป็นประวัติศาสตร์คะ อิิอิ

 

โดย: Amber n the Gang 20 กุมภาพันธ์ 2549 2:04:50 น.  

 

สวัสดีค่ะ พี่แอมเบอร์ มุ้ยเองนะคะ จากดูไบ ตอนแรกเจอลิงค์ไก่กรอบครีมมะนาวที่ครัว เลยคลิ๊กมา เพิ่งทราบว่าพี่แอมเบอร์ก็มี Blog ด้วย อ่านไปมาเลยเจอเรื่องเกี่ยวกับงานเขียนของพี่ โอโห พี่สาวคนเก่งของมุ้ย เป็นนักเขียนมืออาชีพเสียด้วย ได้ทำอาชีพที่เป็นความฝันจองมุ้ยเลยนะคะ มุ้ยเองก็อยากเขียนหนังสือ อยากเป็นนักเขียนกับเค้าเหมือนกัน แต่ไปติดตรงคำว่า "นักเขียนไส้แห้ง" เหมือนที่เค้าว่า เลยเหมือนดับฝันตัวเองไป ตอนเด็กๆ ก็เขียนอะไรไปลงหนังสือพิมพ์คอลั่มเล็กๆ พอเค้าลงพิมพ์ก็ตัดเก็บไว้ ได้ของขวัญ ได้ตุ๊กตา กระเป๋า ส่งมาให้ ถึงตอนนี้ฝันยังอยู่แต่เหมือนแรงตามฝันมันลดลงไป ถ้าอยู่เมืองไทยมุ้ยไม่เคยพลาดเลยสัปดาห์หนังสือ เหมือนเป็นที่ๆเรามีความสุข มีแต่คนรักหนังสือเหมือนเรามารวมกัน ถ้ามีโอกาสมุ้ยจะไปหาซื้อมาเก็บไว้นะคะ หรือว่าพี่แอมเบอร์มีที่ๆมุ้ยจะสั่งซื้อได้ ก็ช่วยบอกมุ้ยด้วย มุ้ยเป็นกำลังใจให้นะคะ อย่างน้อยพี่แอมเบอร์ก็ได้เดินตามฝัน ล้มบ้างลุกบ้าง แต่อย่าหันหลังกลับค่ะ มีคนหลายๆคนภูมิใจกับพี่อยู่ มุ้ยก็เป็นอีกคนนึงค่ะ

 

โดย: มุ้ย IP: 213.42.2.22 5 เมษายน 2549 14:46:41 น.  

 


คุณแอมเบอร์นับว่าเป็นคนที่มีความสามารถสูง
เรียนหนังสือเก่ง เขียนหนังสือได้ลงนิตยสารตั้งแต่อายุน้อยๆ
ทำอาหาร ขนม ก็ทำออกมาได้ดี มีฝีมืออีกเหมือนกัน

แต่บางครั้งความสำเร็จก็ต้องรอเวลานะคะ อย่าเพิ่งท้อแท้ค่ะ
เอาใจช่วยค่ะ


 

โดย: [url=http://b.bbznet.com/recipes2friens]แมงเม่าฯ@recipes2friends[/url] IP: 125.25.128.223 12 เมษายน 2549 15:42:26 น.  

 

สวัสดีค่ะ พี่แอมเบอร์

ตามมาจากครัวไกลบ้านค่ะ ปกติรู้จักพี่จากห้องอาหารการกิน เกี่ยวกับเรื่องอาหารก็ชื่นชมในความเก่งด้านอาหาร เพิ่งจะรู้ว่ามีความสามารถด้านงานเขียนด้วย มีความสามารถหลายอย่างจังค่ะ

สนใจอยากได้หนังสือพี่มาอ่าน จะหาซื้อได้ที่ไหนคะ? ของสำนักพิมพ์ไหนขาย? เพราะแป๋วจะเข้าหารายชื่อหนังสือตามร้านหนังสือออนไลน์ แล้วก็ให้น้องซื้อให้จากเมืองไทยส่งมาที่นี่ จะได้ให้เขาให้ถูก

ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ

 

โดย: aalesund IP: 213.184.205.206 28 เมษายน 2549 23:20:12 น.  

 

พี่เเอมเบอร์คนสวย ไม่เห็นที่ครัวไกลบ้านตั้งนานเเล้ว สบายดีน่ะคะ่..

คิดถึงพี่เสมอน่ะค้า

 

โดย: มาราตี IP: 84.149.193.187 15 พฤษภาคม 2549 2:29:49 น.  

 

โปรดทราบ คิดถึงมากนะคะ เรียมก็ไม่ค่อยได้เข้าไปครัวหมูแดง เกือบเดือนนะพี่ เข้าไปอีกครั้งก็ไม่นาน ไม่เห็นพี่เลย ไม่ค่อยสบายยังคิดว่าพี่เป็นไงบ้างน้อป่านนี้ แต่พอได้รู้จากน้องมุ๋ยก็ดีใจพี่คงสบายดีนะคะวันนี้เข้าไปพอดีเจอที่น้องมุ้ยบอกเลยตามมา

 

โดย: เรียม IP: 209.145.112.75 24 พฤษภาคม 2549 8:08:28 น.  

 

สารภาพตามตรงว่าอ่านไปน้ำตาไหลไปค่ะ

ขอมาให้กำลังใจอีกคนนะคะ

 

โดย: เก๋ (เค้กหอม) IP: 58.9.142.76 7 กรกฎาคม 2550 18:29:26 น.  

 

ไม่รู้จริงๆ นะเนี่ยะ ว่าคุณ เอมเบอร์ เป็นนักเขียน อย่าท้อนะคะ สักวันหนึ่งต้องเป็นของเรา โลกมีกลางวันและกลางคึน มีมีดก็ต้องมีสว่าง นะคะ อย่าท้อ ตาจะเป็นกำลังใจให้อีกคนนะคะ

เลี่ยงมาเหมือนกันเลย รักเหมือนลูกเลยคะ

 

โดย: ผ้าไหมไทย 12 กรกฎาคม 2550 6:39:50 น.  

 

น่ารักจัง

 

โดย: ต้า IP: 117.47.88.36 19 ตุลาคม 2550 14:42:04 น.  

 

น่ารักจัง

 

โดย: ต้า IP: 117.47.88.36 19 ตุลาคม 2550 14:42:50 น.  

 

สวัสดีคร่า พี่แอมเบอร์

พอดีหนูหาสูตรทำน้ำซุปมิโสะ ก็เลยได้มาเจอกับ บนเส้นทางสายน้ำตา...ที่พาไปสู่ความไส้แห้ง
หนูว่าพี่เป็นคนเก่งคนหนึ่งนะคะ พ เก่งมากๆ เลยค่ะ พี่สู้ๆ นะคะ พี่มีความฝันเป็นของตัวเอง เยี่ยมมากเลยค่ะ พี่อย่าไปคิดมากนะคะ สู้ต่อไปค่ะ คิดว่าเราทำใสสิ่งที่เรามีความสุขก็พอค่ะ พี่โชคดีนะคะ ที่สามีเข้าใจพี่ เข้าใจในสิ่งที่พี่เป็น หนูจะเอาใจช่วยนะคะ และถ้าหนูเจอหนังสือเล่มนี้ หนูก็จะซื้อมาอ่านสักเล่มค่ะ ทำตามความฝันต่อไปนะคะ
เป็นกำลังใจให้ค่ะ

 

โดย: chengy IP: 125.26.218.83 29 ตุลาคม 2550 12:39:22 น.  

 

อยากอ่านจังค่ะ หาซื้อได้ที่ไหนละคะเนี่ย

 

โดย: nuetg 26 มกราคม 2552 9:24:11 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Amber n the Gang
Location :
สมุทรปราการ United Kingdom

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




Friends' blogs
[Add Amber n the Gang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.