อมตะมหานิพพาน ผู้เบิกบาน-ผู้รู้-และผู้ตื่น ไม่มีกลางวันและกลางคืน แสนสดชื่นบรมสุขอยู่ทุกยาม คิดดี-พูดดี-ทำดี สร้างบารมีให้งดงาม สดใสใต้ฟ้าคราม ทำหน้าที่ตราบวันตาย ฯ
Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2550
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
14 กรกฏาคม 2550
 
All Blogs
 
ภาพและเรื่องราวปาฏิหาริย์แห่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่วัดวรเชษฐ์ อยุธยา

ภาพและเรื่องราวปาฏิหาริย์แห่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่วัดวรเชษฐ์ อยุธยา



ภาพปาฏิหาริย์ที่พระเจดีย์บรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่วัดวรเชษฐ์ อยุธยา




๐ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้แสดงปาฏิหาริย์ให้ผู้ปฏิบัติธรรม เห็นพระองค์ทุกส่วน เป็นเหตุให้ได้รู้อย่างชัดเจนว่า พระองคฺทรงมีญาณบารมี และพลังอานุภาพ สถิตอยู่ ณ พระปรางค์ หรือมหาเจดีย์ ที่บรรจุพระบรมอัฐิของพระองค์ ที่วัดวรเชษฐ์(ร้าง)นอกเกาะ ต.บ้านป้อม อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา.....


๐ นายพรมปรีชา เคหะนารท นักปฏิบัติธรรมจากจังหวัดสุพรรณบุรี ได้ไปตามวัดต่างๆ และสถานที่ต่างๆที่เกี่ยวกับ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ไม่มีร่องรอย หรือปรากฏการณ์ใด ที่แสดงถึง ญาณบารมีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เขาได้ไปปฏิบัติธรรมที่ วัดวรเชษฐ์(ร้าง) โดยตั้งใจที่จะอยู่ปฏิบัติธรรม 7 วัน เพื่อแสวงหาสมเด็จพระนเรศวรมหาราชต่อ ครั้นแล้วเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2550 ตรงกับวันขึ้น 7 ค่ำเวลาหลังเที่ยงคืน ขณะที่เขานั่งภาวนาอยู่ใต้ต้นปีบ ใกล้เจดีย์บรรจุพระบรมอัฐิสมเด็จพระสังฆราชแตงโม(สมเด็จพระพนรัตน์) ก็มีเสียงบอกคาถาให้บริกรรมว่า"อุสุ มิตตัง มะกะฏัง ยันติ" ครั้นเขาบริกรรมอยู่ ก็ปรากฏรังสีวูบวาบ ทำให้เขาตกใจ จึงลืมตาเพ่งดู ก็เห็นเป็นรังสีพุ่งขึ้นข้างบน แล้วลงมาข้างล่าง เห็นสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ลอยพระองค์ แล้วจึงเสด็จลงประทับยืนพร้อมกับรับสั่งว่า......

"ข้าอยู่นี่ ดีแล้ว แกมาปฏิบัติธรรมอยู่นี่ ดูสิบ้านเรือนข้าเลอะเทอะ สกปรก ไม่มีใครมาทำความสะอาด ไม่อายให้แขกต่างบ้านต่างเมืองเขาบ้างหรือ? คนมากันมากมายทั้งต่างประเทศต่างแดน ครั้นเขามาเห็น จะว่าอย่างไร? ช่วยทำความสะอาดบ้านข้าให้ด้วย รีบทำนะ เดี๋ยวจะมีคนมาเป็นจำนวนมาก".....




๐ เมื่อได้รับฟังกระแสพระราชดำรัสดังนั้น คุณพรมปรีชา ก็เร่งเก็บกวาดด้วยตัวเอง บริเวณพระเจดีย์และพระปรางค์ทั้ง 4 องค์ ขณะเก็บกวาดยังไม่ทันเสร็จ ก็มีรถบัสใหญ่ 2 คันเข้ามาจอดที่ลานเจดีย์ แล้วคนในรถก็ลงมาสักการะบูชาพระเจดีย์ จุดที่ สมเด็จพระนเรศวรเสด็จออกก่อนหน้านั้น ในจำนวนนั้น มีผู้ลงจากรถแล้ว แสดงอาการร้องไห้เสียงดัง 2 ท่าน บอกจะขออยู่ ณ ที่นี้ไม่ยอมไปไหน เพราะได้พบกับพระองค์ท่านแล้ว หลังจากนั้น จึงได้ทราบชัดเจนว่า ดีใจจนร้องไห้ เพราะได้พบสมเด็จพระนเรศวรมหาราชจริงๆ หลังจากนั้น ก็มีอีกหลายคณะที่ไปบวงสรวง ก็ได้พบกับพระองค์ทุกคณะ เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

๐ คุณพรมปรีชา เคหะนารท ผู้ประสบสิ่งอัศจรรย์ใจ เล่าว่า พอดีในขณะที่ภาวนา มีเสียงกระซิบว่า คาถาที่เจ้าได้นั้น ยังไม่จบ ต้องหาให้ได้ครบ เป็นคาถา ซึ่งมีอยู่ 4 บาท เมื่อคุณพรมปรีชา จดจำคาถาที่ได้มา เล่าให้พระอาจารย์ ดร.สิงห์ทน นราสโภ และคุณ ภิรมย์ ทองอร่าม ทราบ ในที่สุด พระอาจารย์ ดร.สิงห์ทน ก็เขียนคาถาให้จนจบ 4 บาท รวมเป็นหนึ่งคาถา มีใจความว่า

"อุสุ มิตตัง นะ พาลานัง อนุกัมปัง มะกะฏัง ยันติ"

ซึ่งมีความหมายว่า คนเราจะทำอะไรสำเร็จ อย่าลืมผู้มีพระคุณ วัวควายที่ช่วยให้เรามีข้าวรับประทาน อย่าทำตัวเป็นคนพาล อย่าคบคนพาล ต้องมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รักเพื่อนมนุษย์ เหมือนกับรักตัวเอง ให้ว่องไวเหมือนลิง ในการกระทำทุกอย่างด้วยปัญญา".....

ก็เป็นเรื่องที่ชัดเจน เมื่ออ่านจากหนังสือ"เสียงสะท้อนจากสื่อ" ของวัดวรเชษฐ์ มีใจความดังนี้.....



๐เรื่องของวัดป่าแก้ว และวัดวรเชษฐ์ ที่แท้จริง ซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานแห่งสมเด็จพระพนรัตน์(สมเด็จพระสังฆราชแตงโม) และ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ผู้กอบกู้เอกราช ช่วยให้คนไทยมีแผ่นดินอยู่อาศัย มีพระรัตนตรัยเป็นที่เคารพนับถือ ถูกทอดทิ้งเป็นวัดร้างที่ทรุดโทรม ให้เป็นไปตามเจตนาของผู้ที่คิดร้ายต่อทั้ง 2 พระองค์



๐ เปลี่ยนชื่อวัดเจ้าชาย คือ อนุสรณ์พระเอกาทศรถ เป็น วัดกระชาย เปลี่ยนวัดเจ้าเชษฐ์ ซึ่งพระเอกาทศรถสร้างเป็นอนุสรณ์แด่พี่ชายผู้ประเสริฐ เป็น วัดประเชต เปลี่ยน วัดพระมหาเถรคันฉ่อง ซึ่งเป็นพระอาจารย์ที่ทั้ง 2 พระองค์ นับถือเทิดทูนบูชา เป็นวัดลอดช่อง



๐ เป็นการทำลายวัดสำคัญในประวัติศาสตร์ชาติไทยให้สูญสิ้นไปจากแผ่นดินไทย ไม่ให้ใครได้รับรู้ความสำคัญของวัดทั้งสาม ทั้งนี้ คงเป็นผลมาจากยุคหลังจาก สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นยุค เสวยบุญเก่า ที่ได้สร้างมาโดย พระนเรศวรมหาราช พระเอกาทศรถ สมเด็จพระพนรัตน์ และพระมหาเถรคันฉ่อง วัดทั้งสาม จึงเป็นที่สถิตของเทพ พรหม และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พวกใจบาปหยาบช้า จึงมีความหวาดกลัวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเทพ พรหม จะมาลงโทษ จึงร่วมกันทำลายเสียเลย



๐ ความจริง สิ่งที่ทำลายได้ มันเป็นวัตถุเท่านั้น พลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และพลังเทพ พรหม ไม่สามารถทำลายได้ มันเป็นพลังสถิตที่คงอยู่ตามสภาวะของมันเอง เมื่อมีเหตุปัจจัยถึงพร้อม มันก็จะแสดงออกมา ดังเช่นพลังสถิตทั้ง 3 วัด เป็นตัวอย่าง ซึ่งเป็นรูปพีรามิด เมื่อแห่งหนึ่งถูกเปิดเผย ที่อื่นๆก็จะถูกเปิดเผยตามกันมา



๐ ศูนย์พลังที่ชัดเจนที่สุด ก็คือ บริเวณพระอุโบสถ จนกระทั่งถึงเจดีย์ โดยเฉพาะตรงจุดที่มีหินศักดิ์สิทธิ์อยู่ เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะเกิดก็ต่อเมื่อมีศรัทธาเท่านั้น เป็นเสมือนการเปิดเครื่องรับกระแสพลัง



๐ ผู้ที่เป็นต้นเหตุเปิดเผย มีทั้งฝรั่ง และคนไทย เริ่มจากมีผู้เอาพระเครื่องวัดกระชาย ไปให้พระอาจารย์สิงห์ทน อาจารย์จึงให้ฝรั่งจับดู เพื่ออยากรู้ประวัติความเป็นมา ก็มีเสียงสะท้อนมาว่า พระนี้ข้าฯเป็นผู้สร้าง ข้าฯคือใคร? ข้าฯ คือ ผู้สร้างวัดนี้(ขณะนั้น อยู่ที่หอสวดมนต์นเรศวร) ใครคือผู้สร้างวัดนี้ ? ไม่รู้จักพระเอกาทศรถ หรือ? บางท่านอาจมีความสงสัยว่า พระเอกาทศรถ ยังไม่ไปผุดไปเกิดหรือ? ตามความเป็นจริง พระองค์ได้ไปเกิดทันทีที่สวรรคต ไม่ว่าจะไปเกิดในภพภูมิไหนก็ตาม จะมีกายเนื้อและกายทิพย์ ที่มาแสดงตามที่ปรากฏเป็นกายทิพย์ เรื่องนี้ฝรั่งเขามีเครื่องมือพิสูจน์ได้แล้ว เขาจึงเชื่อกัน



๐ ครั้นแล้ว ท่านก็รับสั่งต่อว่า คนไทยอกตัญญูต่อข้าฯและพี่ชาย ดูซิ วัดของข้าฯ และพี่ชาย ถูกทอดทิ้งเป็นวัดร้าง ที่ดินของวัด ก็ถูกนำไปขายหมด คนไทยอกตัญญูต่อข้าฯ และพี่ชาย อย่างนี้ มีอะไรก็ขอให้ข้าฯและพี่ชายช่วย สมควรจะช่วยหรือไม่? ดูต่อไปซิ อะไรจะเกิดขึ้นกับเมืองไทย?



๐ อาจมีความสงสัยกันว่า พระสิงห์ทน อวดอุตริมนุสสธรรม ท่านได้อธิบายว่า ท่านมิได้พูดเอง ฝรั่งกับเพื่อนของเขาพูดเหมือนกัน พวกเขาล้วนแต่ได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่า มีอภิญญาจริง สิ่งที่จะสืบทอดญาณ และเก็บสั่งสมพลังงาน คือ อัฐิ ดังที่เราเคารพบูชาพระบรมอัฐิของพระพุทธเจ้า หรือที่เรียกว่า พระบรมสารีริกธาตุ อรหันตธาตุ พระธาตุของพระเกจิฯ แต่แล้วที่บรรจุพระบรมอัฐิของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกลับถูกลืม!!!



๐ เมื่อรับรู้กระแสรับสั่งเช่นนี้ ต่างก็ขวนขวายช่วยกันกระจายข่าวนี้ออกไป จึงเป็นเหตุให้เกิดการบวงสรวงขึ้นที่วัดวรเชษฐ์นอกเกาะ เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2549 หลังจากนั้น ก็เหมือนการเปิดวัดใหม่ ได้มีผู้คน ทั้งชาวไทย และต่างประเทศ ได้พากัน มาเยี่ยมชม มาสักการะบูชา เทิดทูนบุญคุณของผู้มีพระคุณต่อประเทศชาติ และพระศาสนา ตามที่ปรากฏตามภาพของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2550 จากเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการด้วย



๐ พระอาจารย์สิงห์ทน ยกตัวอย่างให้ฟังว่า มีสตรีผู้หนึ่ง อยู่ที่เชียงใหม่ ได้ไปศึกษาต่อที่เท็กซัส สหรัฐอเมริกา แล้วได้แต่งงานกับฝรั่ง พอดีพ่อเสียชีวิต จึงได้ชวนสามีฝรั่งมาเผาศพพ่อที่เมืองไทย เสร็จจากการเผาศพ ก็พากันไปเที่ยวชมอุทยานประวัติศาสตร์อยุธยา พอไปถึงจุดหนึ่ง สามีฝรั่งร้องไห้ พร้อมกับไม่ยอมไปจากที่นั่น เขาบอกให้ภรรยาทราบว่า เขาตายตรงนั้น และร่างของเขา ก็อยู่ที่นั่น ภรรยาจึงจ้างคนมาขุด ก็เจอร่างของสามี เมื่อจัดการทำบุญตามธรรมเนียมไทย จึงเดินทางออกจากที่นั่นได้ การที่ระลึกชาติได้อย่างนี้ เรียกว่า ชาติอนุสสรณญาณ จะเกิดเมื่อเหตุปัจจัยถึงพร้อม ซึ่งผิดกับ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ซึ่งได้จากการบำเพ็ญเพียรภาวนาตามระบบ ฝรั่งยังเล่ารายละเอียดว่า ชาติก่อนเขาเป็นคนไทย อยู่ที่อยุธยา ตอนนั้นฝรั่งได้รับเกียรติ ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี จึงคิดอยากจะเป็นฝรั่ง พอดีนักเลงสองพวกตะลุมบอนกัน เขาอยู่ท่ามกลาง จึงถูกฆ่าตาย แล้วร่างของเขาก็ถูกฝังไว้ตรงนั้น !!!.....



ส่วนต่างๆของร่างกายเท่านั้น ที่สามารถบรรจุญาณ และพลังสถิตไว้ได้ ดังเช่น เกสาธาตุ ทันตธาตุ เป็นต้น เพราะฉะนั้น ญาณและพลังของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จะสถิตอยู่ ณ ชิ้นส่วนพระวรกายเท่านั้น!!!!



ขณะนี้ ผู้ที่ระลึกชาติได้แบบนี้ ต่างก็หลั่งไหลกันมาที่วัดวรเชษฐ์นอกเกาะ วันเสาร์-อาทิตย์แทบจะไม่มีที่จอดรถ........



ชัย กรุงศรี

Chai_Krungsri@yahoo.com

//www.buddhapoem.com













Create Date : 14 กรกฎาคม 2550
Last Update : 14 กรกฎาคม 2550 17:22:40 น. 14 comments
Counter : 2792 Pageviews.

 
ขอบคุณสำหรับเรื่องเตือนใจดีๆ นี้ค่ะ


โดย: ศศิกัณห์ วันที่: 14 กรกฎาคม 2550 เวลา:19:51:37 น.  

 
ถ้ามีโอกาสก็ขอไปวัดนั้นบ้างผมอยู่ ม.2 อายุ 14ปี เลื่อมใส่พระศาสดามาก ถ้าได้ไปจะเป็น บุญอย่างสูงเสียดายบ้านผมอยู่สกลนคร


โดย: boomskr2/9 IP: 203.113.61.68 วันที่: 4 สิงหาคม 2550 เวลา:19:46:08 น.  

 
ขอบคุณครับ

จากคนอยุธยา


โดย: Mr.ใหม่_01 วันที่: 4 สิงหาคม 2550 เวลา:20:54:28 น.  

 
มีบุญแล้วที่ได้อ่านเจอ จะไปทำบุญที่วัดนี้ค่ะ


โดย: ทิปปี้ IP: 124.121.109.19 วันที่: 4 กันยายน 2550 เวลา:19:07:13 น.  

 
ไปทำบุญ นะอย่าไปซื้อวัตุมงคล พระนั่งเรือ ราคา ๙๙๙ บาท มันไม่ได้บุญดอก อย่างมงาย ทำบุญต้องมีปัญญา พิจารณา เดี๋ยวนี้พวกเหลือบศาสนามีมาก


โดย: ป้อม IP: 58.136.52.38 วันที่: 3 ตุลาคม 2550 เวลา:9:07:12 น.  

 
ข้อสรุป
๑. วัดวรเชษฐ์ (นอกเกาะ) อยู่ฝั่งตะวันตกของเกาะเมือง อยู่ในเขตการปกครองของ ตำบลบ้านป้อม อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา คือวัดวรเชษฐ์ที่กล่าวในคำให้การชาวกรุงเก่าและคำให้การขุนหลวงหาวัด และมีชื่อปรากฏอยู่ในบัญชีวัดร้างด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของพระยาโบราณราชธานินทร์(พร เตชะคุปต์) เดิมเคยชื่อวัดป่าแก้ว ตามข้อสันนิษฐานของ น.ณ ปากน้ำ และสันนิษฐานตามหลักฐานที่ปรากฏว่า สมเด็จพระเอกาทศรถได้ใช้เป็นที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ส่วนชื่อวัดวรเชษฐ์น่าจะรับได้รับพระราชทานชื่อใหม่จากสมเด็จพระเอกาทศรถ หากอ่านหนังสือให้ดี ๆ ก็จะพบว่าในคำให้การชาวกรุงเก่าก็ค่อนข้างชัดเจนอยู่แล้วว่าแล้ว ดังข้อความที่ว่า “ จึงให้ทำพระเมรุถวายพระเพลิงพระเชษฐาธิราช แล้วทรงสร้างวัดอุทิศพระราชกุศลถวายพระเชษฐาธิราช วัด ๑ พระราชทานนามว่า วัดวรเชษฐ์ แล้วให้หล่อพระพุทธรูปใหญ่สูง ๑๘ ศอก พระองค์ ๑ หุ้มด้วยทองคำหนัก ๑๗๙ ชั่ง ถวายพระนามว่าพระศรีสรรเพชญ์ ครั้นสำเร็จแล้วให้สร้างวัดในเมืองอีก ๒ วัด คือ วัดราชวงศ์ วัด ๑ วัดโพธาราม วัด ๑”
ข้อความว่าวัดในเมืองอีก ๒ วัด ดังนั้นวัดที่กล่าวมาก่อนแล้วก็ต้องเป็นวัดที่มีที่ตั้งอยู่นอกเมือง คือวัดวรเชษฐ์ (นอกเกาะ) ซึ่งในปัจจุบันมีทางหลวงหมายเลข ๓๒๖๓ ผ่านด้านทิศเหนือของวัดซึ่งเป็นถนนสาย อยุธยา – สุพรรณบุรี ส่วนวัดวรเชษฐาราม(ในเกาะ) ไม่ใช่วัดวรเชษฐ์ ที่สมเด็จพระเอกาทศรถพระราชทานนาม หากดูชื่อก็แตกต่างกันแล้ว ผู้คนในสมัยรัตนโกสินทร์เองต่างหากที่ทำให้สับสนจึงควรเรียกชื่อให้ถูกต้อง ไม่ใช่วัดวรเชษฐ์มี ๒ วัด แต่มีเพียงวัดเดียวเท่านั้น คือวัดวรเชษฐ์ (นอกเกาะ ) ส่วนวัดวรเชษฐาราม ที่อยู่หลังพระราชวังหลวง อยู่ติดกับวัดวรโพธิ์ นั้น ประทุม ชุ่มเพ็งพันธ์ ก็ยังมีข้อสันนิษฐานว่าไม่ใช่วัดวรเชษฐ์ที่สมเด็จพระเอกาทศรถ พระราชทานนาม
๒. ถนนโบราณ เป็นถนนเพื่อใช้ลากราชรถ ควรจะใช้ชื่อใหม่ว่าถนนวรเชษฐ์ ซึ่งเป็นถนนที่ก่อสร้างด้วยการก่ออิฐสอปูนลาดปูนบนดินที่ถูกบดอัด สันนิษฐานว่าเป็นถนนที่ใช้ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ถนนนี้ แนวแกนของถนนเฉียงออกจากแนวทิศตะวันออก – ตะวันตกประมาณ ๑๕ อาศาเช่นเดียวกับ กลุ่มอาคารในวัดวรเชษฐ์ และได้พิจารณาแล้วว่าผู้สำรวจในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้เลือกจุดก่อสร้างที่สั้นที่สุดคือถนนเกือบตั้งฉากกับแม่น้ำเจ้าพระยา ลาดที่พบจากภาพถ่ายทางอากาศบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งได้ไปดูด้วยตนเองแล้วปรากฏว่าตลิ่งบริเวณริมแม่น้ำจ้าพระยาต่ำจริง ๆ ส่วนอิฐที่ใช้ปูถนนถูกรื้อออกไปเมื่อครั้งสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ ถนนนี้เดิมจรดแม่น้ำเจ้าพระยามีความยาวประมาณ ๑๒๐๐ เมตร กว้างประมาณ ๔๐ เมตร ส่วนผิวจราจรกว้างประมาณ ๒๐ เมตร บางห้วงเป็นรูปกากบาทสันนิษฐานว่าเป็นที่ตั้งพลับพลาใหญ่ หากวัดความกว้างทั้งหมดรวมร่องน้ำ ข้างทางด้วย ถนนโบราณนี้กว้าง ๑๐๐เมตรในปัจจุบันยังคงปรากฏหลักฐานของอิฐที่ใช้ปูถนน และพบว่าดินมีปูนขาวผสมอยู่ที่หน้าดินด้วย และได้พบอิฐสอปูนคล้ายขอบถนนอยู่อีกหลายแห่งถูกไถไปรวมกันตามโคนต้นไม้ ซึ่งควรทำการศึกษาดินบนถนนนี้เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับส่วนผสมของดิน ว่าเคยมีปูนขาวผสมอยู่ตามข้อสันนิษฐานหรือไม่ และถนนนี้นี่เองที่ทำให้มีพื้นที่จัดงานพระราชพิธีที่ใหญ่โตได้ สามารถก่อสร้างศาลารายและพลับพลาต่าง ๆ ได้ในช่วงบ่ายก็จะไม่ร้อนเพราะถนน วางตัวตามทิศตะวันออก – ตะวันตก วัดวรเชษฐาราม(ในเกาะ) พื้นที่มีนิดเดียวประกอบพิธีอะไรไม่ได้เลย ส่วนวัดใหญ่ชัยมงคลนั้นก็มีที่ตั้งไกลจากวังหลวงไม่เหมาะที่จะเป็นที่ถวายพระเพลิง หากนำเรือพระราชพิธีไปก็ไม่สะดวก เรืออื่น ๆไปก็ลำบากแล้วคลองไปสู่วัดก็เล็ก ไม่ใช่สถานที่อันเหมาะสม ( กรุณาดูแผนที่)
๓. เนินดินที่อยู่หน้าวัดวรเชษฐ์ เป็นเนินดินที่ได้รับการถมดินขึ้นมาปัจจุบันมีความสูง ๖.๖๕ เมตร กว้าง๒๗เมตรยาว ๔๕ เมตร โดยประมาณ ด้านบนสอบเข้าหากัน ลานด้านบนพังทะลายแล้วแต่พอมองเห็นได้ว่าเคยเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกว้าง ๓ เมตร ยาว ๒๕ เมตร ส่วนความสูงเดิมน่าจะเป็น ๗ เมตร และหน้าเนินดินซึ่งปัจจุบันเป็นสนามยิงปืนของนักศึกษาวิชาทหารจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่หน้าเนินดินนี้ได้พบตอหม้อก่ออิฐสอปูนโบกปูน จำนวน ๓ ต้น ในตอหม้อที่พบจำนวน ๒ ต้นฝังอยู่ในเนินดินมีสภาพดีพอสมควรแต่ก็ถูกกระสุนปืนยิงมีความเสียหายบ้างเล็กน้อยอีก ต้นหนึ่งหลุดออกมาอยู่หน้าเนินดิน และได้พบในภายหลังจากทหารสรรพวุธที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้เข้าไปดำเนินการกำจัดวัชพืชที่ปกคลุมเนินดินแห่งนี้บางส่วนเพื่อง่ายต่อการขึ้นไปชมของประชาชน พบว่าตอหม้อต้นที่ ๔ ไม่ทราบว่าหลุดจากที่ใด ถูกไถขึ้นไปกองรวมกับเศษอิฐบริเวณบนลาดเนินดินด้านทิศใต้ สันนิษฐานว่าตอหม้อที่พบทั้ง ๔ ต้นนี้เป็นที่ใช้ตั้งเสาพระเมรุมาศ เพื่อตั้งเครื่องไม้บนตอหม้อซึ่งอยู่บนเขาพระสุเมรุ ตามประวัติในงานถวายพระเพลิง พระเมรุสูงเส้น ๑๗ วา (น่าจะสูงเพียง ๑๗ วา เท่ากับ ๓๔ เมตร) มาวิเคราะห์ ความสูงเนินดิน ปัจจุบันสูง ๖.๖๕ เมตร ในอดีตเมื่อ ๔๐๐ ปีมาแล้วน่าจะสูง ๗ เมตรเป็นอย่างต่ำ หรือ ๘ - ๑๐ เมตรเป็นอย่างมาก เนินดินเป็นรูป สี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านบนยาว ๒๕ เมตร กว้าง ๓ เมตร ซึ่งด้านบนนี้ในอดีตอาจมีขนาดมากกว่านี้ คณะตั้งข้อสันนิษฐานว่าเป็นที่ตั้งปราสาทลักษณะเช่นเดียวกับบุษบกสามหลัง ระหว่างปราสาทแต่ละองค์มีช่องว่างห่างกันหลังละ ๓ เมตร ตรงกลางเป็นปราสาทขนาดกว้าง ๔เมตร ยาว ๔ เมตร สูง ๒๕ เมตร ด้านทิศเหนือ ทิศใต้มีเกริน เช่นเดียวกับบุษบกในพระที่นั่งสรรเพชญ์ปราสาท รวมความสูงจากพื้นดินรวมเป็น ๓๒ เมตร ถือว่าใกล้เคียงความจริงมาก ปลายยอดปราสาทเป็นทรงพุ่มข้าวบินฑ์ หากเป็นที่วัดวรเชษฐาราม (ในเกาะ)มีพื้นที่เพียง ๖๒ คูณ๖๒ เมตรหรือ ๓๘๔๔ ตารางเมตร แค่นั้น เพียงแค่สร้างพระเมรุก็สร้างไม่ได้แล้ว ทั้งพระทั้งคนที่มาร่วมงานถวายความจงรักภัคดีแก่เจ้าเหนือหัวเป็นครั้งสุดท้ายรวมกันอาจเป็นแสนคน พลับพลาอีกจะไปตั้งที่ไหน ราชรถอีก ไม่ทราบว่าจะเข้าไปได้อย่างไร ไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง ถ้าที่วัดวรเชษฐ์ (นอกเกาะ) มีความสมเหตุผล มีพื้นที่กว้างขวางสามารถรองรับงานขนาดใหญ่ ๆ ได้
แม้จะมีบางท่านมีข้อโต้แย้งว่าการถวายพระเพลิงสมเด็จพระนเรศวรมหาราชอาจกระทำที่ใดก็ได้แล้วนำพระบรมอัฐิไปบรรจุไว้ที่วัดวรเชษฐาราม (ในเกาะ) ก็มีความเห็นผิดโดยสิ้นเชิง การสันนิษฐานเช่นนี้ทำให้หลงทาง เพราะ ผิดตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งต้องค้นก่อนว่าวัดวรเชษฐ์ที่สมเด็จพระเอกาทศรถพระราชทานนามอยู่ที่ใด แล้วหาให้พบ แต่ถ้าหาแล้วผิดที่ โอกาสอื่นก็พลาดไปทั้งหมด บางท่านก็พยายามกล่าวว่าพระบรมอัฐิของพระมหากษัตริย์จะต้องบรรจุอยู่ในเกาะเหมือนพระมหากษัตริย์องค์อื่น ๆ ไม่ทราบว่าเอาหลักการอะไรมา ถ้าสมเด็จพระเอกาทศรถสร้างวัดวรเชษฐ์ถวายอุทิศพระราชกุศลให้สมเด็จพระนเรศวรมหาราชแล้ว พระบรมอัฐิก็ควรบรรจุอยู่ที่วัดนั้น
วัดวรเชษฐาราม (ในเกาะ)ตำบลประตูชัย อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นวัดเล็ก ๆ มีพื้นที่เพียงนิดเดียว การสร้างวัดเพื่ออุทิศพระราชกุศลถวายให้แก่พระมหากษัตริย์พระองค์นั้น สร้างถวายให้ในที่เล็ก ๆ เช่นนั้นย่อมมีความหมายมีนัยสำคัญ มีความเหมาะสมว่าถวายให้กับยุวกษัตริย์ คือสมเด็จพระเชษฐาธิราช พระมหากษัตริย์ ลำดับที่ ๒๒ ซึ่งครองราชสมบัติในกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ.๒๑๗๑ การเขียนให้ในครั้งนี้ก็จะได้เป็นการสันนิษฐานให้ปรากฏเป็นตัวหนังสือ เพราะไม่มีคนกล้าสันนิษฐานกันแม้แต่คนเดียว นักประวัติศาสตร์นักโบราณคดีไปอ่านหนังสือพระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่มหนึ่ง ของกรมศิปลากร พิมพ์ ปี ๒๕๔๘ ก็เชื่อเลย มักจะมีแต่เอาอิฐกับปูนมากล่าวอ้างว่าเป็นสมัยนั้นสมัยนี้ ประมาณพุทธศตวรรษ ที่ ๒๒ เป็นต้น ชาวบ้านอ่านแล้วเกิดความรำคาญ อีกอย่างที่ควรทราบไว้ก็คือผู้คนในอดีตไม่ชอบทำจารึก จึงเป็นข้อเสีย นี่ยังดีที่ไม่มีใครมาตั้งข้อสันนิษฐานอีกว่าในสมัยกรุงศรีอยุธยาไม่มีตัวหนังสือใช้ เพราะตามโบราณสถานไม่ค่อยปรากฏให้เห็นเลย ยังพอโชคดีที่มีเอกสารตังหนังสือไทยสมัยอยุธยาไปปรากฏที่ประเทศฝรั่งเศส และตัวอักษรจารึกที่ชัดมากคือที่วัดจุฬามณี อ.เมือง จ.พิษณุโลก มีจารึกในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ปรากฏอยู่ นักสันนิษฐานเพื่อให้เป็นเท็จจึงต้องหมดอาชีพไป ดังนั้นจึงไม่ใช่มีแต่พวกขอมเท่านั้นที่ชอบทำจารึก คนไทยก็ทำ แต่ทำน้อยไปหน่อย


โดย: ให้อ่านเรื่องวัดวรเชษฐ์(นอกเกาะ) IP: 58.136.52.38 วันที่: 3 ตุลาคม 2550 เวลา:9:09:13 น.  

 
คนสลกนคร ก็มาได้ เก็บเงินไว้นะ แล้วสวดมนต์นึกถึงสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ขอมาชมสถานที่ แล้วจะโชคดี อาจมีคนให้ทุนมาที่วัดนี้ก็ได้ รายละเอียดของวัดนี้ไปหาอ่านได้ ค้นใน Google ก็ออกมาเพียบเลย หาอ่านเอาเถอะ
แต่ก่อนเราถูกหลอกมานานเดี๋ยวนี้เขารู้กันแล้ว มีคนไปดูกันทุกวัน


โดย: พี่ป้อม IP: 58.136.52.38 วันที่: 3 ตุลาคม 2550 เวลา:9:16:27 น.  

 
น่ามีภาพอื่นๆๆอีกอ่ะTT^TT


โดย: หนูน้อยเเห่งดวงจันทร์ IP: 124.157.212.106 วันที่: 12 มิถุนายน 2551 เวลา:16:33:03 น.  

 
บูชาพระองค์ดำไว้เหนือหัว


โดย: ลูกแหง่ IP: 125.25.104.159 วันที่: 23 สิงหาคม 2551 เวลา:8:46:59 น.  

 
ช่วยลงคาถา หรือ บทสวด บูชา องค์สมเด็จพระนเรศวร
มหาราช ให้ด้วยจะเป็นพระกรุณาอย่างยิ่งครับ ขอบคุณครับ


โดย: นาย กุญชร ธิวรรณลักษณ์ IP: 125.239.125.119 วันที่: 15 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:9:58:14 น.  

 
คาถา หรือ บทสวด บูชา องค์สมเด็จพระนเรศวร

อิติจิตตัง เอหิ เทวะตาหิจะมหาเตโช นะระปูชิโต โสระโส ปัจจายะทิปปะติ นเรโสจะ มหาราชา เมตตาจะกาโรติ
มหาลาภัง สะทาโสตถี ภะวันตุเม

บทนี้ชาวสํานักอาทมาฏนเรศวรใช้ประจำครับ


โดย: ศิษย์อาทมาฏนเรศวร IP: 119.46.55.74 วันที่: 11 มีนาคม 2552 เวลา:11:50:51 น.  

 
ได้พบแล้วได้เห็นจริงแล้ว ทหารผู้น้อยขอบูชาองค์สมเด็จพระนเรศวรไว้เหนือหัว


โดย: เด็กวัด 2509 IP: 113.53.48.161 วันที่: 16 กันยายน 2552 เวลา:18:22:08 น.  

 

เราเคารพนับถือ ศรัทธา และเลื่อมใส สมเด็จพระนเรศวรมหาราชมาก

ถ้าไม่มีพระองค์ คงไม่มีประเทศจนทุกวันนี้


ทำไมคนเลวๆต้องไปเปลี่ยนชื่อวัดว่ะ - -"
แล้วคนไทย ทำไมเด๋วนี้เห็นเงินจนลืมบ้านเกิดตัวเอง - -"
เราอายุเท่านี้ยังคิดได้ ทำไมคนที่อายุผ่านอะไรมาเยอะทำไมคิดไม่ได้
- -"

สักวันเราจะไปวัดวรเชษฐ์ไปกราบพระองค์ให้ได้


มีลูกมีหลานเราจะสอนให้เปนคนดีไม่ลืมบ้านเกิดตัวเองและรักชาติดั่งด้วยชีวิตและบูชาพระมหากษัตรย์เหนือหัว



.....



ดูเหตุการณ์บ้านเมืองตอนนี้แล้ว พระองค์รับรู้ได้คงรู้สึกเสียใจ ที่เห็นคนไทยแตกแยกเปนสีถึงขนาดนี้
พระองค์อตส่าสู้ทุกลมหายใจ จนสวรรคต ปกป้องรักษาเองกราชให้ลูกหลานเหลนโหลนไม่ต้องตกเปนเมืองขึ้น เปนทาสของใคร

แล้วดูตอนนี้สิ ... บ้านเมืองร้อนเปนไฟ
สงสารพระองค์ท่าน พระเจ้าอยู๋หัว และเหล่ากษัตริย์ บรรพบุรุษของเราจริงๆ

เมื่อไหร่หนอที่เหตุการร้ายๆจะผ่านพ้นไป
เมื่อไหร่คนไทยจะสามัคคี
เมื่อไหร่ความผิด คนผิด จะถูกเปิดเผย
เมื่อไหร่ความจริงจะปรากฎ
เมื่อไหร่..จะสำนึก



อยากให้คนหลายสีคิดได้จริงๆ ......


โดย: แป้ง IP: 124.121.198.214 วันที่: 20 กันยายน 2552 เวลา:16:00:42 น.  

 
อยากให้คนได้รู้จักวัดนี้ให้มากๆ


โดย: เกศสิรี วัฒนศิริพงศ์ IP: 183.89.231.75 วันที่: 29 กรกฎาคม 2553 เวลา:2:09:32 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

AmataMahaNippan
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




อภิมหาอมตะนิพพาน เหนือวิมานพรหมสวรรค์ ณ ชั้นไหน ?
บรมสุขแห่งนิพพานเบิกบานใจ ไม่เหมือนใครไหนเลยที่เคยมี....

บัวบาน บางเขน
Buaban_Bangkhen@hotmail.com
New Comments
Friends' blogs
[Add AmataMahaNippan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.