Group Blog All Blog
|
สรุป : การปฏิบัติธรรม .งามในเบื้องต้น. .งามในท่ามกลาง. .งามในบั้นปลาย การปฏิบัติธรรมมีความเป็นเบื้องต้น ท่ามกลาง และบั้นปลายเนื่องจากความเป็น ตัวเรา มีความเป็นธรรมชาติ การปฏิบัติธรรมคือการแก้ไขความเป็นธรรมชาติของตัวเอง ดังนั้นการปฏิบัติธรรมก็คือการฝืนความเป็นธรรมชาติของตัวเรานั่นเอง การปฏิบัติในเบื้องต้น จึงจะเป็นการปฏิบัติที่ไม่ฝืนความเป็นธรรมชาติมากนักเช่น การทำบุญ ให้ทาน ผู้ให้ก็ย่อมเป็นสุข การทำบุญ ให้ทานจึงอย่าไปหวังผลตอบแทน เพราะมันจะกลายเป็นความทุกข์ แต่จงมีความสุขจากการให้ โดยหวังผลจากจิตตัวเอง ในท่ามกลาง ก็คือการรักษาศีล คือการมีธรรมะประจำใจอยู่เสมอผู้ที่เห็นธรรม ก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความรู้สึกได้เห็นความเป็นสาระเกิดขึ้น การสำรวมระวังทำให้เราพ้นไปจากความเศร้าหมอง คือมีจิตที่ละเอียดขึ้น ความละเอียดอ่อนทางจิตนั่นเองคือผลที่เกิดทางความรู้สึก ความเป็นกุศลจึงนำความสุขมาให้จึงเป็นรูปแบบของชีวิตที่ควรจะเป็นไม่ปล่อยตัวเองตามยถากรรม เพราะการมีความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนนั่นเองทำให้เรามีความรู้สึกที่เป็นสุข การเห็นความเป็นเหตุผลนี้ทำให้เราก้าวขึ้นไปสู่ระดับสูงได้ ในบั้นปลาย เราจะเกิดความเห็นว่ากิเลสนั้นแท้จริงคือการผูกมัด เป็นสิ่งร้อยรัด จึงเห็นว่าควรจะละวาง แต่การละวาง ก็เป็นสิ่งที่เราต้องค้นหาว่าจะทำอย่างไรจึงจะละวางความเป็นธรรมชาติของตัวเองได้ จึงมีวิธีการที่หลากหลาย แต่ใน อภิธรรม อธิบายความเป็นธรรมชาติของตัวเราไว้อย่างชัดเจนแล้ว จึงต้องปฏิบัติในแนวทางที่สอดคล้องกับความเป็นธรรมชาติของตัวเรานั่นเองเราจึงจะแก้ไขความเป็นธรรมชาติของตัวเราได้... แต่ต้องมีวิธีการที่แยบคาย ทีจะให้การหยุดความรู้สึกนั้นเป็นความชอบธรรมคือมีความเป็นเหตุผลเกิดขึ้น แต่การหักด้ามพร้าด้วยหัวเข่า ก็พบว่าเป็นวิธีการหนึ่งที่ทำให้ความเป็นเหตุผลเกิดขึ้นได้ คือการทำความรู้สึกให้หายไปให้มีแต่กายทำงานอยู่เท่านั้นฝึกอยู่เสมอจนมีความเป็นธรรมชาติหรือมองความรู้สึกหรือจิตในความเป็น"อนัตตา"ไม่มีอยู่จริงมันเป็นเพียงพลังงานของกายเท่านั้นที่เราคิดว่ามันมีอยู่เพราะเกิดจากการปรุงแต่งของกายจึงเกิดความรู้สึกว่าเป็นตัวเรา เพราะความเป็นตัวเรามันทำงานตามสัญชาตญาณทางธรรมชาตินั่นเองจึงต้องหยุดที่ความเป็นสัญชาตญาณของความเป็นธรรมชาติ
........แต่ในบล็อกนี้ เสนอแนวทางตามที่พระพุทธเจ้าแนะนำพุทธสาวก ซึ่งจะเห็นว่ามันมีความสอดคล้องกับความเป็นธรรมชาติของตัวเรานั่นเองซึ่งเห็นว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วจึงอธิบายตามแนวทางของพระพุทธเจ้า
...... และเราจะพบความสุขจากการละวางความเป็น อัตตานี้
ความจริง!
Free TextEditor ***การหยุดปรุงแต่ง คือการที่ จิต กับ กาย ไม่ทำงานร่วมกัน... พิจารณาแยก จิต จาก กาย โดย พิจารณาว่าเราอาศัยอยู่ในกาย กายไม่ใช่ของเราแต่เป็นเรือนร่างที่เราอาศัยอยู่เท่านั้น ความรู้สึกหรือจิตจะแยกออกไปจากกาย ให้พิจารณาความรู้สึกที่เกิดขึ้น เพื่อให้จำได้ว่าเมื่อจิตแยกจากกายมีอาการเป็นอย่างใดมีความรู้สึกอย่างใดเกิดขึ้น เพื่อเราจะเข้าใจได้เมื่อมันทำงานร่วมกันอยู่...คือมันไม่มีสติรู้อาการนี้นั่นเอง ความรู้สึกว่าเป็น จิต ที่เราคิดว่ามันคือ"ตัวเรา"นั้นแท้จริงมันปรุงแต่ง ให้เป็นตัวเราอยู่ ความจริงมันเป็นพลังงานคือเป็นธาตุรู้ ซึ่งสิ่งที่มีชีวิตมีพลังงานควบคุมร่างกายที่เราเรียกว่า "จิต" เราจึงต้องพิจารณาจิตในความเป็น"ธาตุรู้ " หรือเป็น"พลังงาน"ไม่ใช่ความเป็น "ตัวเรา" เมื่อมันไม่ปรุงแต่งมันจึงเป็นพลังงานหรือเป็นธาตุรู้เท่านั้นไม่มีความเป็นตัวเรา พิจารณาให้เห็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นซึ่งจะเห็นว่ามันมีความว่างเกิดขึ้น...มีสติรู้ในอาการของมันได้ว่าอาการที่มันว่างเป็นอย่างใดเพื่อเราจะรู้ตัวเองได้ว่าขณะนั้นจิตกำลังปรุงแต่งอยู่หรือไม่(อาการของจิต) ..........ซึ่งเป็นการพิจารณาให้เห็นการทำงานของจิตกับกายในความเป็นธาตุธรรมชาติที่ปรุงแต่งให้เกิดความรู้สึกที่เป็น "ตัวเรา" เป็นการแยกแยะการทำงานของ "จิต"กับ"กาย" ให้เห็นความเป็นองค์ประกอบทางธรรมชาติของมัน ซึ่งเป็นการรู้มันตามจริงไม่ใช่การสมมุติ. การปฏิบัติอย่างนี้จึงเป็นการแยกแยะสิ่งที่ปรุงแต่งให้เกิดเป็นตัวเราว่ามันมีการทำงานอยู่อย่างใด ซึ่งเป็นการเรียนรู้ความเป็นตัวเองนั่นเอง จึงจะเห็นได้ว่าที่สุดแล้วมันไม่มีความเป็นตัวเราแต่เป็นการทำงานของธาตุธรรมชาติเท่านั้น คือความเป็นธาตุตามธรรมชาติปรุงแต่งให้เกิดเป็นตัวเรา และความเป็นตัวเรานั้นปรุงแต่งให้เกิดเป็นอารมณ์เป็นความรู้สึกต่างๆ(เจตสิก)เกิดอยู่ โดยมีความจำ(สัญญา)เป็นตัวให้ข้อมูล ซึ่งเป็นการเรียนรู้ความเป็น "ตัวเรา"ตามที่มันเป็นจริงทางธรรมชาติ เราจึงจะเห็นสิ่งที่มันเป็นสมมุติทางความรู้สึกของเราได้.... .......ท่านจึงสรุปว่ามันเป็นการทำงานของ"ธาตุธรรมชาติ"อยู่เท่านั้นคือความจริงของมัน การเข้าใจความรู้สึกนี้ได้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่ก็มีความเป็นเหตุผลในทางธรรมชาติ ที่เราจะเข้าใจแบบสรุปได้ว่าความจริงมันเป็นอย่างนั้นจริง แต่ความรู้สึกของเราอาจจะขัดแย้ง มันจึงเป็นสิ่งที่เราจะต้องทำความเข้าใจตัวเอง. โดย: ไพรสณฑ์ (ไพรสณฑ์ ) วันที่: 2 สิงหาคม 2553 เวลา:6:46:26 น.
ขออนุโมทนาสาธุครับ ขออนุญาติเป็นกัลยาณมิตรนะครับ เพราะการได้กัลยาณมิตรเช่นท่าน เป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์ จริงๆ
โดย: shadee829 วันที่: 1 มิถุนายน 2554 เวลา:19:28:40 น.
|
ไพรสณฑ์
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?] การปฏิบัติธรรม... คือการมีสติรู้ความจริงของชีวิต ชีวิตคือความเป็นธรรมชาตินั่นเอง การมองชีวิตในมุมกลับจึงเห็นความจริงว่ามันคือการเกิด-ดับของความเป็นธรรมชาตินั่นเองที่เป็นอยู่คือการยึดมั่น... ...การเห็นความจริงนี้จึงเป็นการเห็น"สัจจะธรรม"จึงพบคำตอบเกิดขึ้นว่าพวกเรามาทำธุระอะไรกันอยู่บนโลกใบนี้. แท้จริงมันคือการเกิด-ดับของความเป็นธรรมชาติเท่านั้น...คือความจริงที่จะต้องทำความเข้าใจ เพราะการเข้าใจว่าเป็น "ตัวเรา"มันเป็นการหลงอยู่ในการปรุงแต่งของความเป็นธรรมชาติเท่านั้น. ...การเข้าใจมันตามจริง.... จึงเห็นความเป็นเหตุผลเกิดขึ้น..."ตัวเรา"เป็นเพียงการสมมุติของธรรมชาติเท่านั้น จึง เกิดความวิเวก วังเวง เพราะมันเป็นความจริงนั่นเอง
Friends Blog
Link |
ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ไพเราะที่สุด...งดงามที่สุด....ดีที่สุด...
โชคดีที่เราได้มาพบพระพุทธศาสนา...ได้เกิดบนแผ่นดินไทย...
..HappY BrightDaY To You..