Group Blog |
การ สมมุติ กับ ความจริงทางธรรมชาติ มารู้จักการ สมมุติ กับ ความจริงทางธรรมชาติ จากปรัชญาทางศาสนาพุทธที่กล่าวว่า ตัวเรา คือการรวมกันอยู่ของ ธาตุทั้งสี่ ที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า อนุภาค หรือ พลังงานที่ก่อตัวเป็น มวลสาร นั่นคือการให้คำาจำากัดวามที่แสดงความเป็นจริงทางธรรมชาติ ดังนั้น ตัวเรา จึงเป็นการรวมกันอยู่ของธาตุสี่ ,อนุภาค หรือ พลังงาน นั่นเอง ไม่เว้นแม้แต่ความรู้สึกของเราที่ก่อตัวเกิดเป็นอาการต่างๆอยู่. เมื่อพิจารณาการเกิดเป็นรูป(ร่าง) ตัวเรา คือ กองกระดูก , เลือด , เนื้อ , น้ำเลือด , นำาเหลือง , และความรู้สึกที่สมมุตเป็นตัวเองอยู่เท่านั้น มีกายและความรู้สึก (ธาตุรู้) คือสมบัติที่แท้จริงคือเป็นธรรมชาติ การปรุงแต่งทางความรู้สึกทำให้มีสิ่งต่างๆเกิดขึ้น ความรู้สึกของเราสมมุติสิ่งต่างๆขึ้นมา โดยที่มันไม่มีจริงในทางธรรมชาติจึงเรียกว่าเป็นการสมมุติ คือการเกิดภาพหรือเกิดอาการทางความรู้สึก จึงทำให้มีเรา , มีเขา , มีสิ่งนั้น,สิ่งนี้เกิดขึ้น มันเป็นการสมมุติขึ้นมาทางความรู้สึกนั่นเอง พิจารณาให้ถ่องแท้จึงจะเห็นได้ว่าเราหลงสมมุติทางความรู้สึกของตนเองอยู่ ถ้าจะให้เข้าใจได้ ต้องไล่เรียงมาจากสิ่งที่เห็นได้ชัดเจน เช่น การเป็นสามี-ภรรยา , บุตร , พ่อ -แม่, พี่ , น้อง , ญาติ- มิตร ไม่มีอยู่จริงในธรรมชาติเพราะมันเป็นการสมมุติทางความรู้สึก ดังนั้นเราจึงต้องแยกให้ออกระหว่างการเป็นสิ่งสมมุติ กับความจริงทางธรรมชาติ ดังนั้นตัวเราก็เป็นการสมมุติทางความรู้สึกเช่นกันเพราะแท้จริงมันคือธาตุสี่ อนุภาค หรือพลังงานนั่นเอง.และการปรุงแต่งทางความรู้สึกทำให้เกิดภาพสมมุติต่างๆได้อีกมากมาย นั่นคือโลกของการปรุงแต่งทางความรู้สึกจึงทำให้มีตัวตน,มีภพหรือ มิติ เกิดขึ้น การเข้าใจความเป็นธรรมชาติของ "ตัวเรา" ต้องคอยสังเกตุอาการของจิตอยูเสมอ คือเรียกรู้จากจิตของตนเองนั่นเอง ซึ่งมันเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ไม่อยู่นิ่งนั่นคือธรรมชาติของจิต นั่นเอง. ****แต่ถ้าเราไม่ปรุงแต่งทางความรู้สึก เราจึงจะเห็นภาพมายาที่เกิดจากความรู้สึกของเราได้ นั่นจึงเป็นที่มาของการเรียนรู้ ความเป็นธรรมชาติของตัวเราเอง จึงจะเข้าใจ การสมมุติ กับ ความจริงทางธรรมชาติได้ **** .............................................................................................................................................. ****ดูกรภิกษุทั้งหลาย ... เมื่อเดือนสุดท้ายแห่งฤดูร้อนยังอยู่ พยับแดดย่อมเต้นระยิบระยับในเวลาเที่ยง บุรุษผู้มีจักษุพึงเห็น เพ่งพิจารณา พยับแดดนั้นโดยแยบคาย เมื่อบุรุษนั้นเห็น เพ่งพิจารณาอยู่โดยแยบคาย พยับแดดนั้นพึงปรากฏเป็นของว่างเปล่า ฯลฯ สาระในพยับแดดนั้นพึงมีได้อย่างไร แม้ฉันใด. สัญญา อย่างใดอย่างหนึ่ง ฯลฯ ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล. ........................................................................... |
ไพรสณฑ์
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?] การปฏิบัติธรรม... คือการมีสติรู้ความจริงของชีวิต ชีวิตคือความเป็นธรรมชาตินั่นเอง การมองชีวิตในมุมกลับจึงเห็นความจริงว่ามันคือการเกิด-ดับของความเป็นธรรมชาตินั่นเองที่เป็นอยู่คือการยึดมั่น... ...การเห็นความจริงนี้จึงเป็นการเห็น"สัจจะธรรม"จึงพบคำตอบเกิดขึ้นว่าพวกเรามาทำธุระอะไรกันอยู่บนโลกใบนี้. แท้จริงมันคือการเกิด-ดับของความเป็นธรรมชาติเท่านั้น...คือความจริงที่จะต้องทำความเข้าใจ เพราะการเข้าใจว่าเป็น "ตัวเรา"มันเป็นการหลงอยู่ในการปรุงแต่งของความเป็นธรรมชาติเท่านั้น. ...การเข้าใจมันตามจริง.... จึงเห็นความเป็นเหตุผลเกิดขึ้น..."ตัวเรา"เป็นเพียงการสมมุติของธรรมชาติเท่านั้น จึง เกิดความวิเวก วังเวง เพราะมันเป็นความจริงนั่นเอง
Friends Blog
Link |