Dokuz คำให้การจากตุรกี




Dokuz
คำให้การจากตุรกี

พล พะยาบ
คอลัมน์อาทิตย์เธียเตอร์ มติชนรายวัน 17 สิงหาคม 2551


*Dokuz หรือในชื่อสั้นๆ สำหรับเวทีต่างประเทศว่า 9 เป็นหนังตุรกีปี 2002 ผลงานของ อูมิต อูนาล หนุ่มใหญ่นักเขียน-คนเขียนบทหนัง-ผู้กำกับหนังโฆษณา ที่ขยับมากำกับหนังเป็นครั้งแรก ประสบความสำเร็จสูงสุดจากการคว้ารางวัลภาพยนตร์ตุรกียอดเยี่ยมแห่งปีจากเทศกาลภาพยนตร์อิสตันบูล และได้สิทธิไปชิงออสการ์หนังภาษาต่างประเทศในปี 2003

ทีเด็ดของ Dokuz อยู่ที่รูปแบบการนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมผ่านคำบอกเล่าของคนจำนวนหนึ่ง

หลายคนอาจนึกถึง Rashomon (1950) หรือหนังหลายเรื่องในแนวเดียวกันนี้ที่ผู้สร้างถ่ายทอดเรื่องราวฆาตกรรมตามคำบอกเล่าซึ่งต่างกันไปแต่ละตัวละคร โดยมีตัวละครอีกฝ่ายหนึ่งอาจเป็นผู้สืบสวนคดีคอยรับฟัง ส่วนผู้ชมจะมีสถานะไม่ต่างจากผู้สืบสวนคดี เพราะต้องติดตามและคิดตามเรื่องราวตามคำบอกเล่าซึ่งผู้สร้างได้ถ่ายทอดออกมาเป็นภาพเล่าเรื่องอีกชั้นหนึ่ง

แต่สำหรับ Dokuz นั้นแตกต่างออกไป เพราะแทนที่จะมี “ภาพเล่าเรื่อง” ในแต่ละมุมมอง หนังกลับมีแต่ภาพ “คนเล่าเรื่อง” มาร้อยเรียงกันตลอดเวลาร่วมชั่วโมงครึ่ง

ผลคือหนังเต็มไปด้วยบทพูด...พูด...พูด....และ..........พูด!

นอกจากนี้ ตัวละครยังมีแค่ฝ่ายผู้เล่าเรื่องฝ่ายเดียว ตัวละครฝ่ายค้นหาความจริงไม่มีเป็นตัวเป็นตน ไม่มีตัวละครเอก (พระ-นาง-ตัวร้าย) ไม่มีตัวละครหลักที่เป็นจุดศูนย์กลางหรือคอยดำเนินเรื่อง

สมมุติว่าหนังฆาตกรรมหลากมุมมองเรื่องหนึ่งประกอบด้วยตัวละครหลักอย่างนักสืบ ผู้ต้องสงสัย รวมถึงพยานหรือผู้เกี่ยวข้อง หนังเรื่อง Dokuz ก็มีแต่ "ผู้ต้องสงสัย" มานั่งให้การกันล้วนๆ

แล้วอย่างนี้หนังจะสนุกได้หรือ?!

เรื่องราวเกิดขึ้นในห้องสอบปากคำมืดทะมึน ตัวละครนั่งอยู่บนเก้าอี้ ไม่มีโต๊ะหรืออุปกรณ์อื่น นอกจากกระจกบานใหญ่ด้านหน้าของพวกเขา เป็นกระจกสองด้านซึ่งเห็นกันบ่อยๆ ในหนัง ภาพที่หนังนำเสนอจะมีทั้งการถ่ายตัวละครอยู่ภายในห้อง ถ่ายตัวละครจากด้านนอกผ่านกระจกห้องสอบปากคำ ภาพโทนฟ้าจากกล้องวงจรปิดในจอมอนิเตอร์ 2 จอที่อยู่หลังกระจกด้านนอก (ส่วนใหญ่เป็นภาพโคลส-อัพ) เห็นเงาหรือร่างของตำรวจผู้สอบปากคำเพียงเล็กน้อยนานๆ ครั้งในตำแหน่งฉากหน้าของภาพ โดยไม่เห็นหน้าหรือได้ยินเสียงแม้แต่ครั้งเดียว

ภาพอื่นนอกเหนือจากนี้เป็นภาพย่านที่อยู่อาศัยในอิสตันบูลซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุ กับภาพอิริยาบถต่างๆ ของหญิงสาวชื่อ สไปกี้ ก่อนถูกฆาตกรรม ใส่แทรกมาในช่วงต้นที่ตัวละครเท้าความถึงสถานที่และผู้เป็นเหยื่อ ส่วนช่วงท้ายของหนังจะมีภาพจากกล้องวิดีโอของตัวละครซึ่งเป็นหนึ่งในหลักฐานใส่แทรกมาประกอบคำให้การ

*เรื่องมีอยู่ว่า สไปกี้ หญิงสาวจรจัดหน้าตาดีแต่ท่าทางเหมือนคนไม่ปกติถูกพบเป็นศพเปลือยในเช้าวันหนึ่ง ตัวละครที่ถูกเรียกมาสอบปากคำประกอบด้วย

ซาลิฮา หญิงสูงวัยที่คนย่านนั้นรู้จักนับถือ มีลูกชายชื่อ คาย่า ซึ่งนางบอกว่าไม่ได้กลับบ้านนานกว่าสัปดาห์

ซาลิม ชายสูงวัยเจ้าของร้านหนังสือและเครื่องเขียน มีการศึกษาสูงกว่าคนอื่น

ตุน หนุ่มท่าทางเสเพล รักสนุก อวดดี เจ้าของร้านขายเนื้อสัตว์

ฟิรุส หนุ่มใหญ่ร่างใหญ่เจ้าของร้านถ่ายรูป ชอบถือกล้องวิดีโอบันทึกภาพชาวบ้านในย่านนั้น

อีกคนหนึ่งเป็นชายชาวตุรกีที่เคยไปอยู่สหรัฐอเมริกานานกว่าสิบปีจนชาวบ้านเรียกเขาว่า อเมริกัน มีเรื่องเล่าขานมากมายเกี่ยวกันชายคนนี้ เขาเหมือนคนสติไม่ดี ไม่มีบ้าน สร้างเพิงพักเป็นที่หลับนอน และให้สไปกี้มาอยู่ด้วย

คนสุดท้ายเป็นเจ้าของร้านขายผลไม้ที่พบศพสไปกี้แล้วโทร.แจ้งตำรวจ

ตัวละครทั้งหมดนี้เชื่อมโยงถึงกัน และเกี่ยวโยงกับหญิงสาวผู้เป็นเหยื่อ แน่นอนว่าต้องมีใครคนหนึ่งพูดโกหกเพื่อปกปิดความจริง

...หรืออาจไม่มีใครพูดความจริงเลยสักคน

อย่างที่บอกว่าหนังใช้ “คำให้การ” มาร้อยเรียงกัน แถมไม่มีตัวละครเอก ดังนั้น ขั้นตอนแนะนำตัวละคร เล่าเรื่องราว และดำเนินเรื่องให้น่าสนใจเหมือนหนังทั่วไปจึงต้องพึ่ง “การตัดต่อ” เป็นสำคัญ

ตัวละครซึ่งให้ปากคำตามลำพังจะถูกตัดสลับกันไปมาตลอดเวลาอย่างถี่ยิบจนผู้ชมรู้สึกราวกับว่าพวกเขาอยู่ในห้องเดียวกัน ได้ยินและโต้ตอบกันเอง มีปฏิกิริยาผ่านสีหน้าท่าทางเมื่อรับรู้ว่าอีกฝ่ายพูดอะไร หรือพูดพาดพิงถึงตนเองอย่างไร (ความจริงคือรับรู้ผ่านผู้สอบปากคำอีกที) ตามมาด้วยการพูดแก้ต่าง-พลิกเกมกันพัลวัน

เมื่อเรื่องราวจากปากคำตัวละครยิ่งเปิดเผยมากขึ้น การรับ-ส่งโต้ตอบเรื่องราวและอารมณ์ยิ่งทวีความเข้มข้นมากขึ้นเป็นลำดับ มีจุดพลิกผันหรือปมปริศนาผุดขึ้นเป็นระยะ หนังที่ไม่มีตัวละครเอกและดูเหมือนไม่มีตัวละครหลักดำเนินเรื่องจึงกลับกลายเป็นว่าตัวละคร “ผู้ต้องสงสัย” 5-6 คนนี้เองที่ร่วมกันทำให้หนังคืบเคลื่อนไปข้างหน้าได้ชวนติดตาม ด้วยคำพูดและสีหน้าท่าทางผ่านการตัดต่ออันชาญฉลาดและแม่นยำ

กระทั่งหนังที่อุดมไปด้วยบทพูด ใช้ฉากซ้ำเดิมฉากเดียว และไม่มีตัวละครเอกให้ติดตามเอาใจช่วย กลายเป็นหนังที่ดูสนุกได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ทั้งหมดที่กล่าวมาว่ากันเฉพาะเรื่องรูปแบบการนำเสนออันโดดเด่นเท่านั้น ข้อดีของหนังยังอยู่ที่เนื้อหาเรื่องราวซึ่งแม้จะเป็นแค่คดีฆาตกรรม แต่สามารถสะท้อนทัศนคติของผู้คนในสังคมตุรกีได้ โดยเฉพาะอคติทางศาสนา เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ เพศ รวมถึงอคติต่อจุดยืนทางการเมืองในอดีตที่แสดงออกผ่านคำพูดและท่าทีของตัวละคร

เช่นเหยื่อสาวอย่างสไปกี้ถูกซาลิฮาพูดจาดูถูกเรื่องพฤติกรรมอื้อฉาวโดยโยงไปว่าเธอเป็นยิว ชายผู้ไปอยู่สหรัฐนับสิบปีถูกชาวบ้านมองด้วยสายตาเคลือบแคลง เช่นเดียวกับอดีตฝ่ายซ้าย-มีการศึกษาอย่างซาลิมดูแปลกแยกกับคนอื่นจนน่าสงสัย ขณะที่พฤติกรรมรักร่วมเพศของตัวละครหนึ่งก็พร้อมจะถูกยกเป็นเหตุทำลายความน่าเชื่อถือได้เช่นกัน

นอกจากนี้ การสรุปคดีของตำรวจทั้งที่หลักฐานยังไม่ชัดเจนนัก เหมือนกระทำด้วยอคติหรือเจตนาบางอย่างโดยผู้มีอำนาจในมือ

เห็นได้ว่าทัศนคติที่สะท้อนออกมาคือร่องรอยของลัทธิฟาสซิสม์ และคงเพราะเหตุนี้หนังจึงให้ตัวละครเหยื่อฆาตกรรมอย่างสไปกี้(ซึ่งไม่แน่ว่าเป็นยิวหรือเปล่า) สวมจี้ห้อยคอรูปดาวดาวิด สัญลักษณ์ของยิว-เผ่าพันธุ์ซึ่งตกเป็นเหยื่อฟาสซิสม์ในอดีต

ฉากสุดท้าย จี้ห้อยคอรูปดาวถูกตัวละครหนึ่งเก็บได้ ...หรือเหยื่อรายต่อไปได้ถูกกำหนดไว้แล้ว!




 

Create Date : 19 ตุลาคม 2551
7 comments
Last Update : 19 ตุลาคม 2551 13:00:09 น.
Counter : 1452 Pageviews.

 




หนังเรื่องถัดมาของอูนาลคือ Anlat Istanbul หรือ Istanbul Tales (2005) ซึ่งเขากำกับฯร่วมกับผู้กำกับฯตุรกีอีก 4 คน จากบทหนังของเขาเอง เคยร่วมฉายและอยู่ในสายการประกวดในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ ปี 2549



ส่วนเรื่องล่าสุด Ara (2007) ก็น่าดูมากๆ แต่ยังหาดูไม่ได้



 

โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ 19 ตุลาคม 2551 13:00:57 น.  

 

น่าสนใจมากเลยค่ะ
อ่านแล้วทำให้อยากดูมากเลย

 

โดย: ปีกสีรุ้ง 19 ตุลาคม 2551 13:08:30 น.  

 

เคยดู Istanbul Tales สนุกดีนะครับ จำได้ว่่ามีตอนนึงที่เป็น ญ เฮี้ยนๆ ชอบมาก

 

โดย: merveillesxx 20 ตุลาคม 2551 3:25:48 น.  

 

อ่านแล้วอยากดู

 

โดย: renton_renton 20 ตุลาคม 2551 18:23:21 น.  

 

เออ ดูแล้วจาเหนื่อยมั้ยเนียะ ?

 

โดย: haro_haro 22 ตุลาคม 2551 9:42:48 น.  

 

ท่าทาง ผกก. คนนี้จะถนัดหนังที่ใช้ตัวละครเยอะๆ แฮะ
อยากดู Istanbul Tales มาก ตอนนั้น แต่ไม่มีเวลา

 

โดย: nanoguy IP: 125.24.172.137 22 ตุลาคม 2551 18:27:06 น.  

 

 

โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ 26 ตุลาคม 2551 13:54:03 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


แค่เพียงรู้สึกสุขใจ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




บทวิจารณ์ภาพยนตร์รางวัลกองทุน
ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ ปี 2549

..............................








พญาอินทรี




ศราทร @ wordpress
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
19 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add แค่เพียงรู้สึกสุขใจ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.