|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
The Unbearable Lightness Of Being Myself
ผมเป็นตัวของตัวเอง
เกลียดคำพูดประเภทนี้มากๆ ไม่รู้สิ คนพูดอาจจะจริงใจกับสิ่งที่พูดออกมาก็เป็นได้ แต่แน่ใจได้แค่ไหนว่า สิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นตัวของตัวเองที่เสถียรแล้ว
ผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นตัวของตัวเองหรือเปล่า รู้แต่ว่าการเป็นตัวของตัวมันช่างยากเย็น และเจ็บปวด
คุณเคยเห็นคนแปลกหน้าที่อาจมีบางอย่างสะดุดตา จนต้องเหลียวมองโดยอัตโนมัต หรือโดยสำนึกแห่งสังคมอันป่วยไข้นี้
ไม่ว่าจะเป็นกะเทยแต่งหญิง เด็กแร๊พแต่งตัวอย่างกับเพิ่งกลับมาจาก bronx เด็กพังก์เขียนขอบตาดำมาเชียว หรือเด็กหัวสี ผมชี้เป็นเกาหลีทุกคนล้วนหันมอง--ไม่รู้มองทำไม
ทุกวันระหว่างทางไปทำงาน ผมก็หนึ่งในจำนวนนั้น คนที่ถูกจับจ้องตลอดเวลา อาจจะเป็นเพราะเสื้อผ้าที่แลดูแตกต่างจากชาวบ้านทั่วไป
บางวันกางเกงสีแดง บางวันสีเทอควอยซ์ บางวันเสื้อกล้าม บางวันกางเกงขาสั้นจุ๊ด แต่สีสันทุกตัวอาจจะแสบทรวงมากไปหน่อย
บางวันไม่ใช่แค่การมอง แต่ถึงกับมีเสียงหัวเราะ ซุบซิบ หรือชี้ชวนเพื่อนๆ ให้หันมาดู ถ้าผมบอกว่าผมเป็นตัวของตัวเองล่ะ--มีเหตุผลพอไหม
สมมติว่าการแต่งตัวของผมเป็นสิ่งที่ถูกจัดประเภทในการเป็นตัวของตัวเอง แต่ทุกครั้งผมต้องทนกับสายตา เสียงหัวเราะ วิธีการมองโดยหยิบยื่น 'ความเป็นอื่น' ให้
ผมว่ามันสั่นคลอนความเป็นตัวของตัวเองลงไปมากโข หากไม่มั่นคงจริง ไม่สามารถต้านทางกับแรงปะทะของสังคมได้ เราจำต้องเปลี่ยนความเป็นตัวของตัวเองใช่ไหม
แต่ในสังคมที่สุดแสนจะป่วยไข้แบบนี้บอกว่าการเป็นตัวของตัวเองนั่นแหละดีนักแล--ตรงกันข้ามกับวิถีที่คนเราปฏิบัติต่อคนแปลกหน้าชิบ!
ในขณะที่ภาพลักษณ์ภายนอกนั้นดู 'แรง' แต่ชีวิตโดยปกติทั่วไปกับสามัญธรรมดาเป็นที่สุด จันทร์-ศุกร์ ไปทำงาน ตอนเย็นอาจนัดเพื่อนทานข้าวบ้าง แล้วก็กลับบ้าน นั่งทำงานต่อ เสาร์-อาทิตย์ ตื่นตอนเย็นย่ำ ออกไปร้านกาแฟเพื่ออ่านหนังสือ กินกาแฟ สูบบุหรี่ ก่อนกลับแวะเอาวีดีโอไปคืนแล้วยืมเรื่องใหม่กลับมา
ทุกสัปดาห์หมุนเวียนไปแบบนี้เหมือนหนังที่ฉายซ้ำ
ผมมีความสุขดี--แต่บางครั้งก็อ่อนไหวในบางที
ทุกคนล้วนคาดหวังในสิ่งที่ไม่ธรรมดาจากผมทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว ที่ออฟฟิศผมมีตัวตนอีกอย่างที่ทำให้ทุกคนพอใจ สนุกสนาน ร่าเริง และสามารถคาดหวังผลงานอันยอดเยี่ยมได้จากตัวตนที่ทุกคนเห็น
อยู่กับเพื่อนผมเป็นอีกคนหนึ่งซึ่งแปรเปลี่ยนตามกลุ่มของเพื่อนอีกที
และถ้าอยู่คนเดียว ผมก็ไม่ใช่ผมจากที่กล่าวมาทั้งหมด
ตัวตนที่ขัดแย้งกับภาพลักษณ์กับร่างกายภายนอก ส่งผลถึงเรื่องหัวใจอย่างช่วยไม่ได้
ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าองค์ประกอบใดในตัวตนทั้งหมดที่เป็นตัวแปรต้นในเรื่องนี้ การแต่งกาย อืมมม... อาจมีส่วน เพราะเป็นใครก็คงไม่อยากเดินด้วย (วันหนึ่งนัดเพื่อนทานข้าวที่สยาม ผมเดินสูบบุหรี่จึงขอตัวเดินนำหน้าเร็วๆ กลัวเพื่อนรังเกียจ เพื่อนบอกว่ากูไม่รังเกียจควันบุหรี่หรอก แต่กูรังเกียจการแต่งตังของมึง--ฮา)
ภาพลักษณ์ภายนอก-- ผมเข้ามาทำงานแรกๆ เกือบไม่ผ่านโปร เพราะเข้ากับเพื่อร่วมงานไม่ได้--ฮา ในขณะที่ผลงานยอดเยี่ยม แต่ไม่มีใครคุยด้วย หลายคนบอกว่ามาดผมหยิ่ง ดุ และเอาเรื่อง ไม่มีใครอยากคุยด้วย เพียงแค่เป้ฯปราดเดียวก็ไม่อยากจะเข้ามาปฏิสัมพันธ์
นิสัยส่วนตัว--ผมนิ่งและเฉย ไม่ชอบเข้าสังคม ก็เลยอาจไม่เจอใคร แต่ถึงเจอผมก็ได้แค่ทักทายหวัดดี ไม่เคยขอเบอร์ใคร ใครยิ้มให้ก็อาจมองไม่เห็นเพราะสายตาสั้น ไปไหนด็เดินดุ่มๆ หรืออยู่ร้านกาแฟก็เหมทือนอยู๋บนโลกคนเดียว เพราะมีเพียงความสนใจต่อหนังสือที่ถือมา บุหรี่และเพลงที่ฟัง และไม่เคยจีบใครเลย (แค่ยิ้มยังไม่เคย)
วิธีคิด-- นี่ยิ่งแย่ไปใหญ่ ผมหัวเอียงซ้าย Negative Thinking และมีวิธีคิดอันขึ้งเครียด (ซึ่งไม่ขอพูดถึงเอาเป็นว่า ไม่ทำตัวสบายกับสิ่งที่เป็นอยู่ แต่คิดกับมัน และปฏิบัติกับมันตามอย่างที่เชื่อ) ซึ่งทั้งหมดสั่งสมมาจากประสบการณ์ที่เจอในช่วงมหาวิทยาลัย ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน
ซึ่งทั้งหมดที่ร่ายยาวมามันเป็นกำแพงอันใหญ่ยิ่งที่กันคนเข้ามา และกันตัวเองออกไปหาคนอื่น
ผมไม่ได้คาดหวังหรือเรียกร้องความเข้าใจอย่างคนอื่น และไม่ได้หยิ่งโอหังว่า กูไม่แคร์ เพียงแต่บางครั้งก็รู้สึกว่าการเป็นตัวของตัวเองก็ช่างโหดร้ายกับตัวเองเสียยิ่งกระไร
แต่ถ้าหากทั้งหมดนั้นมันเป็นตัวตนอันแท้จริงของผมล่ะ--ผมต้องเปลี่ยนมันหรือเปล่า เพื่อที่จะเปิดโอกาสให้ตัวเองได้มีใครสักคน หรือนั่งเพ้อๆ เชื่อคำพูดที่ว่า 'เดี๋ยวถึงเวลาก็มาเอง' หรือ 'ต้องมีใครสักคนที่เหมาะสมกับเรา'
ขออภัย ณ ที่นี่ ที่ผมไม่เชื่อ
การใคร่ครวญมาจากความคิดบ้าๆ ของผมที่กำลังสั่นคลอนตัวเองหลายอย่าง ทั้งการเปลี่ยนการแต่งตัวใหม่ให้ดูเป็นคนมากขึ้น เผื่อจะน่าสนใจในระดับคนทั่วไป ทั้งไปหายามากินเพื่อจะได้อ้วนขึ้น รูปร่างจะได้ดูดีขึ้นหน่อย หรือการแนะนำของเพื่อนในการพบเจอผู้คน การประพฤติตัว หรือออกสังคม ฯลฯ
ผมว่าการเป็นตัวของตัวเองไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่การแต่งตัว ภาพลักษณ์ วิธีคิด ทั้งหมดที่คิดว่าเป็นตัวของตัวเอง บางครั้งมันก็สร้างความเจ็บปวดอย่างพิลึก หากเมื่อไหร่ที่ต้องถูกตัดสินจากผู้อื่น จนบางครั้งความไม่เข้มแข็งพอก็ทำให้เราอ่อนไหวกับมัน
โดยเฉพาะเรื่องความรัก
มันมักจะสั่นคลอนทุกอย่างเสมอ--แม้แต่ตัวตนที่เราคิดว่าเป็นของเราอย่างแท้จริง
Create Date : 06 พฤษภาคม 2550 |
|
7 comments |
Last Update : 6 พฤษภาคม 2550 2:35:27 น. |
Counter : 628 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: prop IP: 125.27.118.135 6 พฤษภาคม 2550 12:55:23 น. |
|
|
|
| |
โดย: UnEdiTED 9 พฤษภาคม 2550 22:24:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: DAN_KRAB 11 พฤษภาคม 2550 12:43:22 น. |
|
|
|
| |
โดย: ม่วนน้อย 30 มีนาคม 2551 10:25:07 น. |
|
|
|
|
|
|
|
จริงๆ เอาเรื่องเดือนเกิดมาวิเคราะห์คนนี่ก็ดูจะเหมารวมไปซักหน่อย หรืออาจจะปนงมงายเล็กน้อย แต่ก็สังเกตมาหลายคนแล้วค่ะ (รวมตัวเองด้วย)
เราว่าคนเกิดเดือนนี้จะมีลักษณะที่ค่อนข้างขัดแย้งในตัวเองอยู่มากทีเดียว จากการที่รู้จักคนเกิดเดือนนี้อยู่หลายคนพอสมควร คนเกิดเดือนเมษาฯ ก็เป็นอีกเดือนที่คิดว่าค่อนข้างรู้ลักษณะนิสัยนะคะ
แต่อ่านแล้วคิดถึงตัวเองเหมือนกันค่ะ เราอาจจะแต่งตัวไม่แรงขนาดคุณ แต่ก็เคยใส่เสื้อน้ำเงิน กางเกงเขียว รองเท้าชมพู (หลายปีมาแล้ว) เราก็ว่าเข้านะ แต่ทำไมโดนทักซะแอบเขวไปนิดหน่อย หรือช่วงหน้าหนาวใส่กางเกงขาสั้นถุงน่องดำไปเดิน J Ave. ก็โดนเพื่อนแขวะ (แบบขำๆ) มีคนบอกหลายคนค่ะว่าเราไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของชายไทย หน้าเธอก็ไม่หมวยแล้วเธอยังแต่งตัวประหลาด (บางครั้ง) ถึงขั้นเคยมีผู้ชายมาพูดกับเราว่า เธอแต่งตัวประหลาดแบบนี้ เรายังอุตส่าห์มาจีบเธอนะ (ผู้ชายอะไรเนี้ย)
ก็พล่ามมาซะยาว... แค่อยากจะบอกว่าอ่านแล้วโดนน่ะค่ะ เราก็ไม่เชื่อคำพูดที่ว่า 'เดี๋ยวถึงเวลาก็มาเอง' หรือ 'ต้องมีใครสักคนที่เหมาะสมกับเรา'
แต่เรายังเชื่อคำว่า "พรหมลิขิตมีจริง" นะคะ ถึงจะยังไม่เคยเจอกับตัวเองก็เถอะ
take care~