พินิจชีวิตศิลปินผ่านงานศิลปะของ อ.ชลูด นิ่มเสมอ
1 กรกฎาคม 2556
ตัวผมไม่ใช่ศิลปินและไม่ใช่ผู้ที่สำเร็จการศึกษาทางด้านศิลปะโดยตรง แต่ผมก็เป็นคนที่ชื่นชมและติดตามชมผลงานศิลปะต่าง ๆ อยู่เสมอ แม้ว่าในบางครั้งผมก็อาจจะเข้าไม่ถึงแก่นแท้ของงานศิลปะชิ้นนั้น ๆ ก็ตาม แต่มันก็ยังไม่ใช่สาเหตุที่จะทำให้เลิกเสพงานศิลปะ สาเหตุก็คงเป็นเพราะว่า ในทุก ๆ ครั้งที่ได้ชมงานศิลปะมันมักจะก่อให้เกิดจินตนาการและแรงบันดาลใจใหม่ ๆ เสมอ
ผมได้รู้จักชื่อของท่านอาจารย์ชลูด นิ่มเสมอ ครั้งแรกจากหนังสืออนุสรณ์ของอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ที่ลูกศิษย์ทั้งหมดของอาจารย์ศิลป์ได้ร่วมกันเขียนขึ้น โดยผมได้อ่านเรื่องราวที่ อ.ชลูด นิ่มเสมอ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ได้เขียนรำลึกถึงท่านอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ซึ่งเป็นอัครศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ด้วย ผมจึงทราบว่าท่านอ.ชลูด ก็เป็นลูกศิษย์รุ่นแรก ๆ ของอาจารย์ศิลป์ด้วย หลังจากนั้นเมื่อไม่นานมานี้ผมก็ได้ทราบข่าวการจัดงานนิทรรศการจิตรกรรมฝาผนังของอาจารย์ชลูด และผลงานย้อนหลัง ซึ่งจัดขึ้นที่หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพ ผมเลยไม่พลาดที่จะไปชมงานแสดงศิลปะของศิลปินฝีมือระดับอาจารย์ท่านนี้
คำว่า จิตรกรรมฝาผนัง ที่ผมเคยรู้จักนั้น ก็คือภาพวาดเกี่ยวกับเรื่องรามเกียรติ์ เรื่องราวเกี่ยวชาดก หรือเรื่องราวทางพุทธศาสนาต่าง ๆ ที่ได้ถูกวาดไว้ที่ฝาผนังของโบสถ์ตามวัดต่าง ๆ แต่เมื่อผมได้เดินเข้ามาชมห้องแรกที่แสดงผลงานจิตรกรรมฝาผนังของอ.ชลูด แล้ว ผมถึงกับแปลกใจในผลงานซึ่งแตกต่างจากที่ผมได้คิดเอาไว้ในใจก่อนหน้านั้น ผลงานที่จัดแสดงของอ.ชลูด เป็นภาพจิตรกรรมที่ถูกวาดขึ้นบนกระดาษสาและกระดาษวาดเขียนขนาดต่าง ๆ จำนวนมากมายหลายร้อยภาพ ภาพทั้งหมดถูกจัดเรียงติดเอาไว้บนฝาผนังทั้ง 3 ด้านของห้องจัดแสดง ถึงแม้ว่าภาพแต่ละภาพนั้นอาจจะไม่ได้สื่อเป็นเรื่องราวเดียวกันที่สามารถไล่ชมไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ว่าผลงานโดยรวมทั้งหมดกลับมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สะกดให้ผู้ชมไม่อาจจะละสายตาจากการจ้องมองอย่างละเอียดไปทีละภาพได้ ถึงแม้ว่าแต่ละภาพที่ติดตั้งอยู่ข้าง ๆ กันจะไม่เป็นเรื่องราวที่สอดคล้องกันเลย แต่ก็มีจุดหนึ่งที่เชื่อมโยงภาพทั้งหมดเอาไว้ด้วยกันได้
ในแต่ละภาพจะมีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของศิลปินแสดงอยู่ ภาพของหญิงสาวใบหน้ากลมไว้ผมทรงกะลาครอบที่เปิดหน้าผากกว้าง คิ้วโค้งข้างหนึ่งของหญิงสาวยาวเรียวลงมาเป็นรูปสันจมูก ดวงตาที่หรี่มองลงสู่เบื้องล่างเสมอนั้นเหมือนกริยาที่พึ่งสำรวม ปากซึ่งนิ่งสนิทไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ นั้น ดูแล้วมีขนาดเล็กพอประมาณเข้ากับสัดส่วนโดยรวมของรูปหน้าได้เป็นอย่างดี ใบหน้าของหญิงสาวในภาพจิตรกรรมฝาผนังของ อ.ชลูด นี้ช่างเหมือนกับใบหน้าของพระพุทธรูปในสมัยโบราณเป็นอย่างมากเลย
เกือบทุกภาพในงานแสดงจิตรกรรมฝาผนังนี้มีภาพของหญิงสาวคนนี้อยู่ด้วย จะต่างไปก็เพียงเครื่องแต่งกายและองค์ภาพอื่น ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละภาพ ความหมายของศิลปินที่ต้องการสื่อออกมานั้นช่างดูเรียบง่ายแต่กลับแฝงความหมายที่ลึกซึ้งเมื่อได้มองพิจารณาอย่างละเอียดในแต่ละภาพ การที่ได้ไปยืนชมผลงานจิตรกรรมฝาหนังในห้องนี้ ผมกลับมีความรู้สึกเหมือนว่ากำลังยืนอยู่ท่ามกลางของหมู่คนจำนวนมาก ที่เหมือนว่าจะมีใบหน้าคล้ายกัน แต่ความรู้สึกกลับดูเหมือนแตกต่างไม่เหมือนกันเลยในแต่ละคน จริง ๆ แล้วศิลปินต้องการจะสื่อความหมายเช่นใดกันแน่?
เมื่อเดินออกจากห้องแสดงผลงานจิตรกรรมฝาผนังก็จะได้ชมห้องจัดแสดงผลงานย้อนหลังของอ.ชลูด นิ่มเสมอ โดยเป็นการจัดแสดงผลงานแยกเป็นชุด ๆ ตามช่วงเวลาที่ศิลปินได้สร้างสรรค์งานศิลปะนั้น ๆ ขึ้นมา โดยเริ่มตั้งแต่ผลงานที่ค่อนข้างใหม่หรือเป็นปัจจุบันที่สุดย้อนหลังไปจนกระทั่งถึงผลงานชุดแรกของศิลปิน ผลงานโดยรวมของอ.ชลูดนั้นมีทั้งผลงานจิตรกรรมและประติมากรรม ในส่วนของผลงงานจิตรกรรมนั้นในบางครั้งก็ดูได้เข้าใจง่ายตั้งแต่ได้เห็นในขณะแรก เพราะผลงานที่เป็นภาพวาดนั้นสามารถสื่อให้เราเข้าใจตามที่เห็นได้อย่างชัดเจน ผลงานจิตกรรมของอ.ชลูด ที่จัดแสดงไว้นั้นมีอยู่หลายชุด อาทิเช่น ผลงานวาดเส้นที่เป็นเทคนิคการวาดเส้นซึ่งเป็นวิธีการสร้างงานศิลปะที่อ.ชลูด ชื่นชอบเป็นพิเศษ
ผลงานชุดลูกสาว ที่เป็นวาดภาพเด็กผู้หญิงที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกัน แต่อยู่ในชุดเครื่องแต่งกายที่แตกต่างกันออกไป โดยรวมแล้วดูเรียบง่ายในรูปแบบที่ซ้ำซ้อนแต่ชัดเจนในรายละเอียดที่ต่างกันออกไป ผลงานชุดบทกวี ที่เป็นภาพจิตรกรรมเชิงสัญลักษณ์ ที่ดูเหมือนได้แนวคิดมาจากโครงสร้างของการแต่งบทกวี เพียงแต่ไม่ได้ถ่ายทอดออกมาผ่านเป็นตัวอักษร แต่แสดงออกมาเป็นรูปทรงสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏขึ้นมาเป็นภาพ
ผลงานชุดวาดเส้นภาวนา ที่เป็นภาพวาดลายเส้นภาพเล็กรวม 40 ภาพ ซึ่งจัดแสดงเรียงเป็นหมู่ติดกัน ซึ่งถ้าดูโดยภาพกว้างโดยรวมแล้วเหมือนรูปถ่ายขาวดำหลาย ๆ ภาพ ที่นำเสนอถึงเส้นทางชีวิตของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ ต้นไม้ ทางเดิน รวมทั้งสายลมที่พัดอยู่ในจินตนาการของผู้ชมที่ได้ชมภาพผลงานในชุดนี้
ผลงานชุดธรรมศิลป์ ซึ่งถ่ายทอดผลงานออกมาในเชิงพุทธศิลป์ในรูปแบบของอ.ชลูด ที่มีเอกลักษณ์แตกต่างจากผลงานที่เป็นพุทธศิลป์โดยทั่วไป ผลงานใช้สื่อสัญลักษณ์ทางพุทธศาสนาเช่น รอยพระพุทธบาท หรือโบสถ์ วิหารจากวัดต่าง ๆ มาช่วยดึงความคิดผู้ชมไปสู้ความรู้สึกที่ดีงามทางศาสนา ซึ่งผลงานของ อ.ชลูด ในชุดนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากศึกษาปฏิบัติธรรมในช่วงเวลาหนึ่ง (2530 2539)
ผลงานชุดปลูกป่า ที่สะท้อนความรู้สึกเสียดายที่ป่าไม้ถูกทำลาย โดยอ.ชลูด ได้ถ่ายทอดออกมาผ่านภาพวาดของหญิงสาวในชุดแต่งกายพื้นเมืองทางภาคเหนือ โดยมีพื้นหลังเป็นภาพของป่าเขาและสายน้ำ ซึ่งสื่อความหมายถึงความผูกพันระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ
ผลงานวาดเส้นจากโรม เป็นผลงานในช่วงเวลาที่อ.ชลูด ได้ทุนไปศึกษาต่อที่อิตาลี เป็นภาพวาดและภาพพิมพ์ประเภทต่าง ๆ ที่แสดงถึงภาพวิวจากสถานที่ต่าง ๆ สะท้อนถึงความแปลกใหม่ที่ศิลปินได้พบเห็นในช่วงเวลานั้น จนกระทั่งย้อนไปถึงผลงานยุคแรกของศิลปิน ที่อ.ชลูด ได้สร้างสรรค์ในช่วงปี 2498 2505 ที่เป็นช่วงแรกของการเป็นศิลปิน
ในส่วนของผลงานทางด้านประติมากรรมนั้น ในบางครั้งเราคงต้องการคำอธิบายเรื่องแนวคิดในการสร้างสรรค์ผลงานขึ้นมาเราถึงจะเข้าใจได้ ซึ่งงานประติมากรรมของอ.ชลูด ก็มีอยู่หลากหลายชุดเช่นกัน อาทิเช่น ผลงานประติมากรรมชนบท ที่เป็นภาพชุดการนำวัสดุสำเร็จรูปในชีวิตประจำวันมาห้อยแขวนและจัดวางตามแบบชนบท ดูกลาดเกลื่อนไร้รูปทรงบังคับแต่มีจินตนาการทางศิลปะอย่างมากมาย ดูแล้วน่าจะเป็นผลงานการนำเสนอรูปแบบแปลกใหม่ในช่วงเวลานั้น ที่สามารถสื่อให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับการดำเนินชีวิตในสภาพแวดล้อมชนบทได้เป็นอย่างดี
ผลงานชุดประติมากรรมแบกะดิน ที่เป็นการนำแบบร่างและผลงานประติมากรรมในเทคนิคต่าง ๆ ของอ.ชลูด ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มาจัดวางเรียงร่ายอย่างกลมกลืนเพื่อสร้างอรรถรสที่เป็นความงามทางศิลปะในเชิงจินตนาการให้แก่ผู้ชม
นอกจากนั้นยังมีรูปจำลองของผลงานประติมากรรมกลางแจ้งขนาดใหญ่ของ อ.ชลูด จัดแสดงไว้ให้ชมพร้อมทั้งคำอธิบายความหมายรวมถึงแนวคิดในการสร้างสรรค์งานประติมากรรมชิ้นนั้น ๆ ด้วย ซึ่งหนึ่งในผลงานประติมากรรมกลางแจ้งขนาดใหญ่ที่หลายท่านอาจจะเคยพบเห็นและรู้จักกันดีก็คือ โลกุตระ ที่อยู่หน้าศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเปลวรัศมีของพระพุทธรูปในศิลปะสุโขทัย ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งการหลุดพ้น เปรียบเสมือนดอกบัวที่โผล่พ้นโคลนตม ก้านของดอกบัวทั้งแปดก็คือมรรคที่เป็นหนทางแห่งการพ้นทุกข์และพระอริยบุคคลทั้งแปดในพุทธศาสนา สำหรับท่านที่ชื่นชอบงานประติมากรรมและอยากทราบความหมายหรือการตีความของผลงานประติมากรรมในแต่ละชิ้น ท่านก็สามารถตามชมผลงานประติมากรรมของอ.ชลูด ได้อย่างรื่นรมย์เป็นแน่แท้
ประติมากรรม "โลกุตระ" ที่หน้าศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
เมื่อผมได้ชมผลงานย้อนหลังที่มีระยะเวลายาวนานกว่า 60 ปีตลอดระยะเวลาการเป็นศิลปินของ อ.ชลูด แล้ว ผมก็ต้องเดินย้อนกลับมาชมผลงานชุดจิตรกรรมฝาผนังใหม่อีกครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นผลงงานล่าสุดของ อ.ชลูด ที่สร้างสรรค์ในช่วงปี 2553-2556 ภาพจิตรกรรมที่แสดงติดอยู่บนฝาผนังที่หลากหลายถูกนำเสนอรวมกัน ทำให้สื่อให้เห็นถึงเรื่องราวทางสังคม ที่พูดถึงวัฒนธรรมการดำรงชีวิตแบบไทยที่ปรับเปลี่ยนไปตามแต่ละช่วงเวลา แม้ว่าแต่ละภาพจะไม่มีชื่อภาพแต่ก็สามารถทำให้ผู้ชมสามารถเข้าใจความหมายที่ศิลปินต้องการจะสื่อได้อย่างชัดเจน ผลงานในชุดนี้ทั้งหมดเป็นการรวบรวมเอาประสบการณ์ในอดีตทั้งหมดมาถ่ายทอดออกมาเป็นภาพวาดจิตรกรรมที่มีรูปแบบซึ่งคงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ อ.ชลูด ผู้เป็นศิลปิน ภาพของหญิงสาวที่อยู่ในเกือบจะทุกภาพนั้นน่าจะสื่อถึงความหมายในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ที่มีวัฒนธรรมซึ่งแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา การใช้ภาพของหญิงสาวนั้นเป็นสัญลักษณ์ที่แทนความรู้สึกที่บริสุทธิ์และอ่อนโยน ส่วนภาพเครื่องแต่งกายหรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่แตกต่างกันไปนั้น น่าจะสื่อความหมายถึงวัฒนธรรมความเป็นไทยที่ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางองค์ประกอบทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางสังคม
สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดในทุกช่วงผลงงานของ อ.ชลูดนั้นก็คือ การนำเสนอเอกลักษณ์ความเป็นไทย การดำเนินชีวิตที่แผงไปด้วยแนวคิดทางวัฒนธรรม ผ่านรูปแบบของหญิงสาวที่มีความเรียบง่ายแต่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวเป็นตนของศิลปินได้อย่างชัดเจน ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของอ.ชลูด นั้นได้ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นวาดภาพหลายร้อยภาพ อันแสดงให้เห็นถึงบทสรุปในเชิงศิลปะที่เรียงร้อยไปด้วยประสบการณ์อันยาวนานในมุมมองของศิลปิน แต่ละภาพแสดงออกเพื่อสะท้อนแนวคิดของศิลปินที่ต้องการสื่อให้เห็นถึงความเงียบง่ายแต่แฝงไปด้วยเรื่องราวในความทรงจำที่หลากหลาย สิ่งที่พบเจอ สิ่งที่คงอยู่ และสิ่งที่แปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ถึงแม้ว่าภาพโดยรวมจะไม่ได้สื่อออกมาในเชิงพุทธศาสนาโดยตรงก็ตาม แต่ความเงียบง่ายในผลงานที่สื่อถึงการปล่อยวางนั้น ได้ดึงจินตนาการของผู้ชมเข้าไปสู่แง่คิดในเชิงทางพุทธศาสนาได้เป็นอย่างดี
ผลงานของ อ.ชลูด ที่ผมได้ชมมาทั้งหมดในนิทรรศการครั้งนี้ ได้ทำให้ผมได้เห็นและรู้จักเรื่องราวทางศิลปะได้มากขึ้นกว่าเดิม แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าผลงานทางศิลปะที่ได้ถูกจัดแสดงนั้นสามารถเป็นครูที่สอนให้เราได้ศึกษาความเป็นไปของชีวิตได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น อ.ชลูด ท่านพูดเสมอว่าตัวท่านนั้นเป็นเพียง ศิลปินชนบท ผลงานของท่านจึงได้แสดงความเป็นไทยแบบเรียบง่ายออกมาได้อย่างโดดเด่นและชัดเจน
และอีกหนึ่งประโยคที่ท่าน อ.ชลูด มักพูดก็คือ
ศิลปินดำรงชีวิตอย่างไร ผลงานศิลปะก็แสดงออกมาเช่นนั้น
มาถึง ณ จุดนี้ผมก็ได้ทราบเรื่องราวการดำเนินชีวิตของศิลปินผู้มีนามว่า อาจารย์ชลูด นิ่มเสมอ มากขึ้นผ่านผลงานศิลปะอันหลากหลายและมากมายตลอดระยะเวลาการเป็นศิลปินอันยาวนานของท่าน การที่ศิลปินผู้หนึ่งจะสร้างสรรค์ผลงานต่อเนื่องและยาวนานมาได้ถึงขนาดนี้ ศิลปินผู้นั้นจะต้องดำรงตนเป็นศิลปินอย่างเต็มตัวเสมอ ซึ่งบทสรุปทั้งหมดนี้เองที่ทำให้ผมได้ทราบว่า ศาสตราจารย์เกียรติคุณชะลูด นิ่มเสมอ ท่านนี้ท่านเป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่อีกคนหนึ่งของประเทศไทยเลย
เครดิต : ขอขอบคุณภาพประกอบจาก https://www.facebook.com/ChaloodsMuralPainting
@@@@@@@@@@@@@@@
คุยกันท้ายเรื่อง
ก่อนอื่นผมต้องขอบอกก่อนว่า เรื่องราวในบล็อกนี้ผมพยายามเขียนขึ้นในรูปแบบของบทความทางศิลปะ สำหรับส่งเข้าพิจารณาคัดเลือกเข้าร่วมกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการ การเขียนบทความทางศิลปะ ที่ทางหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครจัดขึ้น ซึ่งผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าบทความของผมนี้จะพอใช้ได้และเข้าตากรรมการที่ทำการคัดเลือกหรือไม่? แต่ผมก็อยากจะลองเอาบทความที่ผมเขียนนี้มาลงในบล็อกให้เพื่อน ๆ ได้ลองได้อ่านกันดูครับ
ผมต้องบอกว่าความรู้ทางทฤษฎีในเชิงศิลปะนั้นผมไม่เคยศึกษามาโดยตรงเลย ผมแค่อาศัยความรู้สึกและจินตนาการส่วนตัวมาใช้สำหรับเขียนบทความนี้เท่านั้นครับ ดังนั้นบทความนี้จึงไม่น่าจะมีความถูกต้องในเชิงวิชาการที่ท่านสามารถจะคัดลอกไปใช้ได้ ขอย้ำว่า ... ข้อความในงานเขียนชิ้นนี้ของผมเป็นเพียงแค่ความคิดเห็นส่วนตัวของผมเท่านั้นครับ
หวังว่าท่านที่ได้อ่านบทความชิ้นนี้แล้วน่ามีความสนใจในศิลปะมากขึ้นก็เป็นได้ สำหรับท่านใดที่ต้องการไปชมงานนิทรรศการ "จิตรกรรมฝาผนังของอาจารย์ชลูด และผลงานย้อนหลัง" นี้ด้วยตัวเอง ท่านก็ยังสามารถตามไปชมได้ที่ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (สี่แยกปทุมวัน ตรงข้ามห้างมาบุญครอง) ณ ห้องนิทรรศการหลัก ชั้น 9 ซึ่งงานนิทรรศการนี้จัดแสดงระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม จนถึงวันที่ 18 สิงหาคม 2556 นี้ โดยไม่เสียค่าผ่านประตูในการเข้ารับชม ไปชมกันได้ฟรีเลยครับ น่าจะลองพาลูกหลานไปดูงานศิลปะบ้างก็คงจะดีครับ
ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมบล็อกนี้ของผม ขอให้ท่านมีความสุขมาก ๆ ครับ
อิอิ
Create Date : 01 กรกฎาคม 2556 |
|
17 comments |
Last Update : 1 กรกฎาคม 2556 1:26:08 น. |
Counter : 10552 Pageviews. |
|
|
|