แม่เบี้ย
8 พฤษภาคม 2558
หนังสือเล่มที่ผมอ่านในวันนี้หลาย ๆ ท่านคงจะรู้จักกันเป็นอย่างดีแน่ แต่ผมเชื่อว่าน้อยคนที่จะได้อ่านฉบับวรรณกรรมเล่มนี้ เพราะว่านวนิยายเรื่อง แม่เบี้ย ที่แต่งโดยวาณิช จรุงกิจอนันต์ เล่มนี้พิมพ์น้อยครั้งมาก ตัวหนังสือก็เชื่อว่ามีออกวางจำหน่ายไม่มากนัก ตั้งแต่พิมพ์ครั้งแรกลงนิตยสารลลนาในปี 2530 จนมาถึงวันนี้นับเป็นเวลาเกือบ 30 ปีแล้วแต่นวนิยายเล่มนี้พิมพ์ไปแล้วแค่ 4 ครั้งเอง ส่วนสาเหตุที่ผมบอกว่าหลาย ๆ ท่านคงรู้จักดีก็เป็นเพราะว่านวนิยายเรื่อง แม่เบี้ย นี้ได้เคยถูกสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้วถึง 2 ครั้ง ซึ่งครั้งล่าสุดได้สร้างความฮือฮามากในฉากที่นางเอกของเรื่องนั่งไพล่ขาบนกระต่ายขูดมะพร้าว ที่ถือว่าเป็นภาพหนึ่งที่ติดตาผู้ชมทั่วไปเป็นอย่างมาก
จริง ๆ แล้วผมเพิ่งเคยได้อ่านเรื่อง แม่เบี้ย นี้เมื่อประมาณปลายปีที่แล้ว สาเหตุมาจากการที่ผมได้ไปเรียนการเขียนนวนิยายที่สำนักพิมพ์อรุณ คุณครูกีรติ ชนา ผู้สอนได้บอกว่านวนิยายเรื่อง แม่เบี้ย นี้ถือว่าเป็นนวนิยายที่ดีที่สุดของเมืองไทย จึงทำให้ผมต้องลองหามาอ่านดูสักครั้ง ส่วนสาเหตุที่ผมกลับมาอ่านใหม่ในครั้งนี้ก็เพราะผมเห็นข่าวว่า หม่อมน้อย (ม.ล. พันธ์เทวนพ เทวกุล)กำลังจะสร้างภาพยนตร์เรื่อง แม่เบี้ย ขึ้นมาอีกครั้ง โดยมีภาพโปรโมทออกมาว่ามี ชาคริต แย้มนามเล่นเป็นพระเอก จึงเป็นกระแสกระตุ้นให้ผมต้องรีบกลับมาอ่าน แม่เบี้ย ฉบับวรรณกรรมนี้อีกครั้ง เพราะผมไม่อยากให้เรื่องราวในภาพยนตร์มากลบภาพความทรงจำในฉบับวรรณกรรมทิ้งไปจนหมด เนื่องจากในฉบับวรรณกรรมนั้นเป็นต้นฉบับที่แท้จริง แต่ภาพลักษณ์จากการสร้างเป็นภาพยนตร์ในครั้งที่แล้วทำให้สื่อมวลชนและคนทั่วไปเข้าใจว่า แม่เบี้ย เป็นนวนิยายอีโรติค แต่ถ้าท่านได้มาอ่านฉบับวรรณกรรมแล้วท่านจะรู้ได้เลยว่าน่าจะเป็นแนวโกธิคมากกว่า โดยมีอีโรติคปนด้วยบ้างเท่านั้น อีกทั้งประเด็นหลักของเรื่องที่ผู้เขียนตั้งใจจะสื่อก็คืองูที่ใช้เป็นสัญลักษณ์ของเรื่องมากกว่า
ภาพชาคริตที่จะเล่นเป็นชนะชล
ในนวนิยายเรื่อง แม่เบี้ย นี้ คุณวาณิช จรุงกิจอนันต์ เขียนคำโปรยไว้ใต้ชื่อเรื่อว่า สายน้ำ ความหลัง ชายหนุ่ม หญิงสาว และงู ทั้ง 5 สิ่งนี้ได้ปรากฏอยู่ในนวนิยายเรื่องนี้ โดยสายน้ำดูเหมือนจะทำให้เรื่องราวดำเนินไปคล้ายกับสายน้ำที่ไหลริน โดยมีข้อเท็จจริงในอดีตเป็นความหลังที่พระเอกของเรื่องพยายามตามหา พระเอกในเรื่องชื่อชนะชล ผู้ที่มีชื่อว่าชนะต่อสายน้ำแต่ในความเป็นจริงแล้วสายน้ำได้เป็นตัวกำหนดชีวิตของเขาทั้งเกิดและดับ หญิงสาวในเรื่องคือนางเอกของเรื่องที่มีชื่อว่าเมขลา ชื่อเดียวกับนางในวรรณคดีตำนานที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี หญิงสาวสมัยใหม่ที่มองโลกต่างไปจากเดิมเธอมองว่าความรักเป็นเพียงแค่ของเล่นแก้เหงา ส่วนสิ่งสุดท้ายในเรื่องที่ดูเหมือนว่าจะเป็นประเด็นความลี้ลับที่ทำให้เรื่องราวดูลึกลับและเข้มข้นขึ้นซึ่งก็คืองูนั่นเอง งูเห่าที่ในเรื่องถือว่าเป็นตัวแทนแห่งบาปของการปล่อยใจไปตามอารมณ์ตัณหาที่ซ่อนอยู่ลึกในใจมนุษย์
นวนิยายเรื่อง แม่เบี้ย นี้ เคยมีนักวิจารณ์ระบุไว้ว่าเป็นเรื่องในแนวโกธิค แบบไทย ๆ โดยเรื่องในแนวโกธิคก็คือเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในปราสาทลึกลับ ซึ่งในเรื่องนี้มีเรือนไทยโบราณเป็นฉากหลัก โดยมีภาพบรรยากาศใต้แสงตะเกียงวับ ๆ แวม ๆ บรรยากาศท่าน้ำริมคลอง และมีงูลึกลับที่ถือว่าเป็นงูเจ้าที่อาศัยอยู่ในบ้านไทยโบราณหลังนี้ด้วย สำหรับเรื่องย่อของนวนิยายเรื่องนี้ผมคาดว่าหลายท่านคงจะทราบกันดีอยู่แล้ว เพราะว่าพล็อตของเรื่องนั้นก็ถือว่าเป็นแนวน้ำเน่าเรื่องหนึ่งเหมือนกัน คือตัวชนะชล (พระเอก) ที่แต่งงานมีลูกแล้วได้มายุ่งกับเมขลา (นางเอก) ที่เป็นสาวเจ้าเสน่ห์ ทั้งคู่ต่างก็รู้ดีว่าความสัมพันธ์ในครั้งนี้ไม่ถูกต้องตามนักก็ตาม แต่ทั้งสองก็ยังปล่อยให้ความสัมพันธ์ดำเนินต่อไปตามความต้องการของกามอารมณ์ ดังนั้นจึงต้องมีงูเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อทำหน้าที่ทำลายความสัมพันธ์ความรักในครั้งนี้ อ่านแล้วก็น่าคิดตามเหมือนกันว่า ถ้าตัวคุณ (ผู้อ่าน) ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับพระเอก (หรือนางเอก) ในเรื่องนี้แล้วตัวคุณจะทำอย่างไรเพื่อแก้ปมปัญหาอันผิดศีลธรรมนี้
ผมคิดว่าสาเหตุที่ทำให้นวนิยายเรื่อง แม่เบี้ย เป็นผลงานวรรณกรรมที่แตกต่างจากนวนิยายน้ำเน่าหรือนิยายพาฝันทั่วไปก็คือ สำนวนการเขียนและการเล่าเรื่อง การเลือกใช้คำและวิธีการดำเนินเรื่องนั้นดูเหมือนว่าจะมีการซ่อนความหมายที่แท้จริงอยู่ระหว่างบรรทัดโดยตลอด ถือว่ามีการใช้วรรณศิลป์ที่งดงามในการเขียน บางส่วนในนวนิยายเรื่อง แม่เบี้ย นี้ถือว่าออกแนวอีโรติค (Erotic หรือที่ภาษาไทยใช้คำว่า วิจิตรกามา) แต่ว่าผู้เขียนเลือกใช้คำและเลือกที่จะเล่าเรื่องราวเฉพาะส่วน ทำให้อ่านแล้วรู้สึกได้ถึงความงดงามของภาษาที่ผู้เขียนเลือกใช้ ผมขอยกตัวอย่างเช่น
ดูเหมือนเรื่องของงูเห่าใหญ่จะเลือนหายไปจากจิตใจของทั้งเขาและเธอในทันที เมขลาแนบแก้มลงนิ่งกับอกเปล่าเปลือยหนั่นแน่นของเขา มือของเธอกอดไหล่ใหญ่กว้างนั้นไว้แล้วก็ลูบไล้เล่นไปเหมือนเผลอตัว ชนะชลโอบเหนี่ยวเอวคอดให้ร่างเธอแนบเข้ามา เขาลูบเล่นเส้นผมที่สยายดำแผ่เต็มแผ่นหลัง พลางซุกไซ้ดมกลิ่นหอมของเส้นผมที่ละเอียดนุ่มราวกับเส้นไหมสีดำสนิทนั้น
ร่างแข็งแรงของเขาพาหญิงสาวลงนั่งที่ขอบเตียงนอนอันมีผ้าขาวขึง เมขลายังคงซุกหน้าอยู่กับอกของเขา ขณะที่เธอเหนี่ยวชายมุ้งลง ชนะชลเอนกายลงรั้งให้เธอนอนตาม เขาพลิกตัวขึ้นแนบหน้าสัมผัสเนื้อนิ่มในใต้เสื้อคอกระเช้าสีขาว เลยเลื่อนขึ้นถึงซอกคอเนินแก้ม แล้วกดริมฝีปากลงกับปากนุ่มของเธอที่เผยอรอ สะโพกโค้งกลมกลึงใต้ผ้าซิ่นยกดอกลายของหญิงสาวละมุนมือ เอวเล็กเว้าคอด แผ่นหลังของเธอเรียบเนียน (หน้า 196)
ผมอ่านแล้วสามารถจินตนาการภาพตามไปได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องรอให้นักเขียนบรรยายภาพที่วาบหวิวนั้นต่อเลย ผมอ่านแล้วเห็นภาพในมุ้งล่วงหน้าเลยเถิดไปจากที่เขียนไว้เยอะ ในส่วนที่เป็นอีโรติดนี้ถ้าเขียนไม่ดีก็จะออกแนวลามกอนาจารก็เป็นได้ อาทิเช่น ฉากที่ฮือฮาในภาพยนตร์ที่เมขลา (นางเอก) นั่งขูดมะพร้าวนั้น ผมอ่านแล้วไม่มีฉากใดที่นางเอกไปนั่งขูดมะพร้าวยั่วยวนเหมือนที่เห็นในภาพยนตร์เลย ผมคิดว่าเมขลาในเรื่องคงไม่คิดที่จะยั่วยวนชนะชลด้วยวิธีที่ทำให้ตัวเธอเองดูต่ำแบบนี้เลย แต่ในเรื่องเมขลามีวิธีมัดใจพระเอกได้ด้วยความรู้สึกที่พระเอกรับรู้และไม่สามารถปฏิเสธได้มากกว่า ซึ่งในฉบับวรรณกรรมนั้นมีความลุ่มลึกมากกว่าเยอะ (คงจะเหมือนกับเรื่อง แผลเก่า ที่ในภาพยนตร์มีฉากไอ้ขวัญ (พระเอก) นั่งเป่าขลุ่ยอยู่ข้างกองฟาง เพื่อให้เห็นภาพว่าไอ้ขวัญเป็นพระเอกแบบลูกทุ่ง แต่จริง ๆ แล้วในฉบับวรรณกรรมไม่ได้พูดถึงเรื่องเป่าขลุ่ยเลยสักนิด คงเป็นการตีความเพื่อสร้างภาพของผู้สร้างภาพยนตร์มากกว่า)
ในเรื่อง แม่เบี้ย นี้ ผมอ่านแล้วรู้สึกว่าภาษาสวยงามมากกว่าที่จะเน้นถึงเรื่องกามารมณ์เพียงอย่างเดียว ถือว่าเป็นอีกหนึ่งงานเขียนชั้นครูที่น่ายกย่องเป็นอย่างมาก นอกจากนั้นเรื่องราวยังซับซ้อนมากขึ้นไปอีกเมื่อมีงูเข้ามาเกี่ยวข้อง งูเห่าใหญ่ที่ดูเหมือนจะรู้ภาษาคน งูที่ชูคอแผ่แม่เบี้ยขู่คน งูซึ่งกลายเป็นฆาตกรฆ่าคนบาป ต้องถือว่างูเป็นประเด็นความลี้ลับที่สร้างให้เรื่องราวสนุกและน่าติดตามมากขึ้นด้วย
ผมอ่านนวนิยายเรื่อง แม่เบี้ย ของวาณิช จรุงกิจอนันต์ ที่มีความหนา 458 หน้าจบลงรวดเดียวด้วยเวลา 7 ชั่วโมงกว่า (มีพักครึ่งไปกินข้าวด้วยนะ) ถือว่าเป็นนวนิยายที่มีภาษางดงามและเรื่องราวสนุกน่าสนใจเป็นอย่างมาก หนังสือเล่มที่อยู่ในมือผมนี้ผมยืมมาจากห้องสมุด TKpark เป็นฉบับพิมพ์ครั้งที่ 4 พฤษภาคม 2551 โดยแพรวสำนักพิมพ์ ราคาปก 275 บาท (หนังสือในโครงการ รักวรรณกรรมไทย) นวนิยาย แม่เบี้ย เล่มนี้อาจจะขาดตลาดเนื่องจากทางแพรวสำนักพิมพ์ยังไม่ได้พิมพ์ใหม่ ดังนั้นอาจจะหายากตามร้านหนังสือทั่วไป (แต่ผมเห็นในงานหนังสือมีขายเยอะเลย) ดังนั้นถ้าท่านเจอ แม่เบี้ย ฉบับวรรณกรรมเล่มนี้เมื่อไหร่ ขอให้ท่านรีบหยิบมาอ่านโดยทันที ผมเชื่อว่าท่านคงจะไม่ผิดหวังกับเรื่องราวความรักที่มีงูเข้ามาเกี่ยวข้องนี้แน่ ๆ ครับ
ขอให้มีความสุขกับการอ่านหนังสือนะครับ ขอให้ท่านอ่านงานวรรณกรรมกันเยอะ ๆ เพื่อให้หนังสือวรรณกรรมยังคงอยู่รอดในสังคมไทยครับ
@@@@@@@@@@
คำชี้แจงท้ายเรื่อง ...
รายละเอียดและเนื้อหาในบล็อกนี้ไม่ใช่บทวิจารณ์วรรณกรรม เนื่องจากข้าพเจ้าไม่มีคุณวุฒิเพียงพอที่จะทำการวิจารณ์งานวรรณกรรมใดได้ เนื้อหาในบล็อกนี้จึงถือว่าเป็นการรีวิวแนะนำหนังสือเล่มที่ได้อ่าน โดยเป็นการเขียนถึงหนังสือเล่มนั้น ๆ ด้วยความรู้สึกหลังจากได้อ่านจบลงแล้ว ดังนั้นข้อความทั้งหมดในบล็อกนี้จึงเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้าเท่านั้น
Create Date : 08 พฤษภาคม 2558 |
|
15 comments |
Last Update : 8 พฤษภาคม 2558 0:12:42 น. |
Counter : 56438 Pageviews. |
|
|
|
ค่ะ