เรื่องราวของกล่องอาถรรพ์ The Dibbuk Box
เรื่องราวของกล่องอาถรรพ์ The Dibbuk Box เขียนและแปลโดยคุณ AguileraAnimato [horrorclub]
The Dibbuk Box คือกล่องที่มีรูปร่างเหมือนกล่องเก็บไวน์ (เราอาจเรียกว่าตู้ขนาดเล็กก็ได้) ซึ่งว่ากันว่ามีปีศาจร้ายสิงอยู่ และเรื่องราวเกี่ยวกับกล่องนี้ ที่ไปโดนใจให้ทีมผู้สร้างหนังนำเรื่องของมันมาดัดแปลง เป็นภาพยนตร์เรื่อง The Possession เดอะ พอสเซสชั่น ดังนั้น เราจึงควรไปรู้จักมันว่าเรื่องราวของมันเป็นมาอย่างไร จุดที่น่าสนใจอย่างมากของ Dibbuk Box คือ มันเป็นของอาถรรพ์ไม่กี่อย่างบนโลกนี้ ที่เป็นของในยุคสมัยใหม่ นั้นคือมีอายุไม่ถึง 100 ปี และยังวนเวียน อยู่ในสังคมโลกสมัยใหม่ ถึงขั้นที่ว่ามันกลายเป็นกระแสประมูลอยู่ในอินเทอร์เน็ตมาแล้วพักนึงเลยทีเดียวที่มาที่ไปของ The Dibbuk Box เนื้อหาบางส่วนมาจากหนังสือเรื่อง The Dibbuk Box ซึ่งผู้เขียนคือ Jason Haxton เป็น คิวเรเตอร์พิพิธภัณฑ์ และมีสถานะเป็นเจ้าของกล่องอาถรรพ์นี้ในปัจจุบัน เขาเล่าเรื่องราวความเป็นมาของกล่องนี้ โดยเริ่มเล่าเท้าความไปยังเจ้าของคนก่อนหน้าที่ชื่อ Kevin Mannis ซึ่งเป็นบุคคลแรกที่ได้ของนี้มาจากการซื้อของมือสอง โดยเขาได้ตัดตอนมาจากหน้าประมูลสินค้าที่เควินได้เขียนกำกับเอาไว้ เควินเล่าให้ฟังว่า เรื่องนี้เกิดในช่วงกันยายนปี 2001 ที่พอร์ทแลนด์ รัฐออริกอน เขาทำงานเป็นเซลล์ขายที่ดิน และก็ได้รู้จักกับผู้หญิงคนนึงที่เอาของมาวางขาย เธอก็เล่าให้ฟังว่าของทั้งหมดเป็นของคุณย่าที่ชื่อ Havala ที่พึ่งเสียไป หลังจากมีอายุร่วม 103 ปี คุณย่าของเธอเป็นชาวยิว เกิดและเติบโตที่โปแลนด์ แต่แล้ว ในช่วงปี 1938 ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นเมื่อโปแลนด์เข้าสู่ช่วงเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 เธอและครอบครัวถูกส่งตัวไปค่ายกักกันนาซี สมาชิกทุกคนยกเว้นเธอ ถูกฆ่าในระหว่างนั้น มีเพียงเธอและเพื่อนสาวไม่กี่คนที่หลบหนีมาได้ และอพยพไปอยู่สเปนจนกระทั่งสงครามสิ้นสุดลง โดยในระหว่างหลบหนีจนมาพำนักในสเปน คุณย่าของเธอมีของติดตัวเพียงสามชิ้น ที่ต้องเอาพกติดตัวไปตลอด นั้นคือ กล่องเย็บปักถักร้อย หีบใส่ของ และสิ่งที่สำคัญที่สุดที่คุณย่าเธอหวงแหนมากๆก็คือ .. กล่องเก็บไวน์ชิ้นนี้ เควินฟังเรื่องจบก็ไม่ได้คิดอะไร เขาตัดสินใจซื้อของบางอย่างในนั้น ซึ่งแน่นอนว่าเค้าซวยมากๆที่เลือกกล่องเก็บไวน์นั้นไปด้วย โดยหญิงสาวคนขายก็บอกว่า คุณย่าเรียกกล่องนี้ว่า Dibbuk Box มันเป็นกล่องที่คุณย่าเก็บไว้ในห้องเย็บผ้า และวางไว้บนที่สูงเพื่อป้องกันไม่ให้คนหยิบลงมา คุณย่ายังกำชับเธอเสมอว่า กล่องนี้ไม่เคยถูกเปิดมาก่อน และบอกเธอว่าห้ามเปิดกล่องนี้เด็ดขาด เธอเลยถามคุณย่าว่าในกล่องนี้มีอะไร คุณย่าตอบว่า Dybbuk และ Keselim ซึ่งเธอ ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคืออะไร (Dybbuk หมายถึงปีศาจ ส่วน Keselim เป็นภาษาตุรกีหมายถึงพระ) และคุณย่ายังเคยพูดสั่งเสียว่าหากเจ้าตัวตายลง ขอ ให้ฟังกล่องนี้ลงไปในหลุมฝังศพพร้อมกับร่างของเธอด้วย แต่เพราะธรรมเนียมชาวยิวไม่นิยมทำแบบนั้น คำขอของคุณย่าเลยถูกปฏิเสธ เป็นผลให้เจ้ากล่องนี้ยังอยู่ในปัจจุบัน เควินได้ฟังแบบนั้นเลยคิดว่าคุณยายคงหวงกล่องนี้มากๆเลยตัดสินใจที่จะคืน ให้หญิงสาวไป แต่เธอก็ปฏิเสธ โดยอ้างว่าเค้าซื้อของไปแล้ว และต่อให้เควินจะ บอกว่าไม่ต้องการเงินคืน เธอก็โวยวายไม่รับของคืนอยู่ดี ในตอนนี้เควินสังเกตได้ว่าเธอดูหงุดหงิดและฉุนเฉียวขึ้น สุดท้ายเควินจึงนำกล่องนี้กลับไปกับเขา โดยหวังว่าจะเอากล่องนี้ไปให้แม่เป็นของขวัญวันเกิด และเรื่องชวนขนลุกก็เริ่มต้นขึ้นจากนั้น เควินเปิดร้านขายเฟอร์นิเจอร์เล็กๆไว้ เขานำกล่องไวน์ไปเก็บไว้ที่ชั้นใต้ดินของร้าน ซึ่งเป็นส่วนของออฟฟิศ จากนั้นจึงออกไปทำธุระข้างนอก โดยปล่อยให้ พนักงานเฝ้าร้านไว้เพียงลำพัง ไม่ถึงชั่วโมง พนักงานก็โทรศัพท์มาหาเขาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนกสุดขีด เธอเล่าว่ามีคนบุกรุกเข้ามาในร้านอยู่ที่ชั้นใต้ดิน เธอไม่เห็นว่าเป็นใคร แต่ได้ยินเพียงเสียงสบถสาปแช่ง และเสียงกระจกแตก เธอพยายามจะหนี แต่ประตูทางออกฉุกเฉิน และประตูเหล็กของร้านกลับถูกล็อค เมื่อเควินได้ฟังเขาจึงรีบโทรหาตำรวจ แต่จู่ๆแบตเตอรี่มือถือก็ดับ เขาจึงตัดสินใจวิ่งกลับไปที่ร้าน และพบว่าพนักงานสาวตัวสั่นเทาด้วยความกลัวอยู่ที่มุมห้อง เควินทำใจกล้าเดินลงไปชั้นใต้ดิน และเขาก็ได้กลิ่นเหมือนฉี่แมวอบอวลอยู่ข้างในนั้น ทั้งๆที่ในร้านไม่มีแมวเลย เควินพยายามจะเปิดไฟ แต่มันกลับเสีย หลอดฟลูออเรสเซนต์ 10 หลอด ร่วงลงมาแตกกระจายบนพื้น แน่นอนว่าเขาไม่พบผู้บุกรุกเลย ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ ที่จะมีคนหลบหนีออกไป เพราะบันได ก็มีทางเดียว ครั้นเควินจะไปถามพนักงานของเขาก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เพราะตั้งแต่วันนั้นเธอก็ลาออกจากงาน และปฏิเสธที่จะพูดถึงเหตุการณ์ในวันนั้นอีก อย่างที่ได้เล่าไปว่าเควินวางแผนจะนำกล่องไม้โบราณนี้ไปให้แม่เป็นของขวัญวันเกิด เขาจึงตัดสินใจที่จะเปิดกล่องเพื่อทำความสะอาดมันเล็กน้อย ทันทีที่เขาเปิดกล่อง กลไกในกล่องก็ทำงาน ประตูเล็กๆข้างในกล่องอีกชั้น และลิ้นชักเล็กๆๆค่อยเด้งออกตาม ซึ่งเควินคิดว่ามันเป็นกลไกที่ออกแบบมาได้ปราณีตมากๆ และภายใน กล่องนั้น เขาพบเหรียญเพนนีของอเมริกาสีเหลืองอ่อนปี 1928 และของปี 1925, กระจุกผมบลอนด์ที่ถูกมัดด้วยด้าย และกระจุกผมสีน้ำตาลดำอีกหนึ่งกระจุก ที่ถูกมัดไว้ด้วยด้ายเช่นกัน, แท่นหินแกรนิตที่สลักตัวอักษรและเคลือบทองคำว่า SHALOM (เป็นภาษาฮิบบรู แปลว่า ความสงบสุข), ดอกกุหลาบแห้งๆหนึ่งดอก, จอกไวน์สีทองขนาดเล็ก และเชิงเทียนเหล็กสีดำที่มีฐานเป็นลายสลักของหนวดปลาหมึก
เควินนัดเจอกับแม่ที่ร้านของเค้าในวันที่ 31 ตุลาคม เธอดูชอบตู้เก็บไวน์โบราณชิ้นนี้มากๆ หลังจากปล่อยให้แม่สำรวจตู้ไป เควินก็ออกไปคุยโทรศัพท์ แต่ไม่ถึง 5 นาที พนักงานคนใหม่ของร้านก็วิ่งออกมาหาเขาด้วยความตกใจ บอกเขาว่าแม่มีอาการผิด ปกติ เควินเดินไปดูแม่ของเขา เธอยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ ข้างๆกับตู้เก็บไวน์ สีหน้าของเธอแน่นิ่งปราศจากความรู้สึก ทว่ามีน้ำตาเอ่อไหลอาบแก้ม เควินพยายามพูดคุยกับแม่ แต่เธอไม่สามารถพูดได้ และร่างกายของเธอก็ขยับไม่ได้ หมอวินิจฉัยว่าร่างกายเธอบางส่วนเป็นอัมพฤกษ์ แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังมีปฏิกริยาตอบสนองได้ เควินจึงสื่อสารกับแม่ผ่านกระดานตัวสะกด โดยให้แม่ชี้นิ้วไปที่ตัวอักษร เค้าถามแม่ว่าเมื่อวันนั้นแม่ทำอะไร และเธอก็สะกดคำว่า N-O-G-I-F-T เควินเข้าใจว่าแม่คงทวงของขวัญจากเค้า จึงบอกไปว่าเค้าได้ให้ของขวัญกับแม่แล้ว แต่แม่ก็อารมณ์เสียแล้วสะกดคำว่า H-A-T-E-G-I-F-T ชายหนุ่มหัวเราะแล้วบอกว่า ถ้าไม่ชอบก็ไม่เป็นไร แล้วเขาจะซื้อของขวัญชิ้นใหม่ให้ ถ้าแม่สัญญาว่าจะหายป่วยเร็วๆ แน่นอนว่าเควินไม่ได้ตระหนักเลยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด เกี่ยวข้องกับกล่องไม้โบราณที่มีอายุเกือบ 80 ปีชิ้นนี้ หลังจากนั้นเควินก็ยกกล่องนี้ไปให้น้องสาว แต่เธอก็ส่งคืนหลังจากได้ไปเพียงหนึ่งสัปดาห์ เธอบอกว่าประตูของตู้มันปิดไม่เข้า ทุกครั้งที่ปิดลง มันจะเปิด ออกเองเสมอๆ เควินจึงยกกล่องนี้ไปให้น้องชาย และภายในสามวันน้องเขาก็ส่งมันคืน โดยน้องชายอ้างว่ากล่องนี้ส่งกลิ่นประหลาดเหมือนดอกมะลิ ส่วน ภรรยาของเขาบอกว่ามันกลิ่นเหมือนฉี่แมว จนสุดท้ายเขาก็ขายมันให้คู่สามีภรรยาวัยกลางคนคู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าเขาจัดการนำกล่องไม้ชิ้นนี้ออกไปจากชีวิต ได้แล้ว แต่ไม่เลย สามวันหลังจากนั้นเขาพบกล่องไม้ชิ้นนี้วางอยู่ที่หน้าร้าน พร้อมกระดาษที่เขียนข้อความสั้นๆว่า " สิ่งนี้มีความมืดอันชั่วร้าย " เมื่อเป็นเช่นนั้นเควินจึงจำใจเอากล่องไม้กลับบ้านและเรื่องสยองก็เริ่มหนักขึ้น ก่อนหน้านั้นเควินไม่ได้นำกล่องไม้ชิ้นนี้กลับบ้าน เพราะวางไว้ที่ร้านตลอด เนื่องจากวางแผนจะให้แม่ แต่เมื่อแม่ไม่รับ เขาจึงส่งให้คนอื่นอีก แต่ทุกคนก็พร้อมใจกันนำมาคืน นี้เป็นครั้งแรกที่เขานำมันกลับบ้านมาด้วย ไม่นานเควินก็เริ่มฝันร้าย ซ้ำๆ ในความฝัน เขาเดินอยู่กับใครคนหนึ่งที่เขาคุ้นเคย แต่ เมื่อเขาจ้องไปที่ตาของใครคนนั้น ก็รู้สึกถึงความผิดปกติ เหมือนกับว่าเขาจ้องมองไปยังดวงตาของปีศาจร้ายซึ่งก็จ้องเขากลับมาเช่นกัน และทันใดนั้นบุคคลนั้นก็เปลี่ยนร่างเป็นปีศาจที่น่าเกลียดน่ากลัวลักษณะคล้ายหญิงแก่ที่อัปลักษณ์ ที่พยายามจะรีดเค้นเอาน้ำมันสีดำออกมาจากตัวเขา และเมื่อเขาสะดุ้งตื่นขึ้น เควินก็พบกับรอยแผล รอยตำหนิเกิดขึ้นตามตัว บริเวณที่ปีศาจร้ายพยายามจะทำร้าย แต่ถึงอย่างนั้นเควินก็ยังไม่เอะใจอยู่ดีว่าฝันร้ายนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่เขานำกล่องไม้กลับมาที่บ้าน เวลาผ่านไปเกือบเดือน น้องสาว น้องชายและภรรยา ก็แวะมาเยี่ยมเควินและนอนค้างคืนที่นั้น รุ่งเช้าน้องสาวเล่าว่าเมื่อคืนเธอฝันร้าย ซึ่งเป็นฝันแบบเดียว กับที่เธอเคยฝันมาก่อน เมื่อเธอเล่ารายละเอียดให้ฟัง น้องชายและภรรยาก็หน้าถอดสี เพราะพวกเขาก็ฝันเช่นเดียวกัน และเมื่อทั้งหมดคุยกันก็สรุปได้ว่าฝันร้าย เกิดขึ้นทุกครั้งที่เขานำกล่องไม้นี้เข้าบ้าน หลังจากนั้น เควินก็เจอเหตุการณ์ประหลาดหนักขึ้นเรื่อยๆ เพื่อนบ้านอ้างว่าพวกเขาพบเห็นเงาดำๆเคลื่อนไหวอยู่ภายในบ้าน เควินตัดสินใจเอากล่องไม้ไปวางไว้นอกบ้าน บริเวณโรงเก็บของ และในคืนนั้นเขาก็ต้องตื่นขึ้นในกลางดึกเมื่ออุปกรณ์เตือนไฟไหม้ดังขึ้น เขาลุกขึ้นไปดูแล้วก็ต้องผงะเมื่อได้กลิ่นฉี่แมวลอยฟุ้งเต็มบ้าน (ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่ได้เลี้ยงแมว) เควินตัดสินใจเดินออกไปนอกบ้านแล้วหยิบกล่องไม้กลับเข้ามาจากนั้นจึงเริ่มต้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต เควินหลับไปสักพัก และตื่นอีกครั้งในตอนตีสี่ ทีนี้เขาได้กลิ่นเหมือนดอกมะลิลอยอบอวลในบ้าน ตามด้วยเสียงลมหายใจที่รดต้นคอ และทันใดนั้นเขาก็เห็นเงาดำๆ วิ่งจากจุดที่เขานั่งอยู่ไปยังทางเดินของบ้าน เท่านั้นแหละที่เควินตัดสินใจจะทำลายกล่องนี้เสีย แต่เขาก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า หากทำลายมันลง วิญญาณร้ายจะหายไปจริงเหรอ การทำลายกล่องทิ้งอาจจะนำไปสู่เรื่องเลวร้ายมากขึ้น มันคือวิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องหรือไม่ ว่าแล้วเควินก็เลยตัดสินใจไม่ทำลาย แต่ทำการขายต่อกล่องไม้นี้ผ่านทางเว็บไซต์อีเบย์เอง จากการที่เขารู้มาว่ามีคนกลุ่มนึงในเว็บที่ชอบหาของแปลกๆมาสะสม ซึ่งก็ปรากฎว่ามีผู้ซื้อไป ( มีการไปสืบเรื่องราวของหญิงชรา Havala คนที่เป็นเจ้าของกล่องเพิ่ม อ้างว่ามาจาก บทความหรือหนังสือชื่อ " Mystery of possessed box at caves " โดย Cheddar Valley Gazette วันที่ 10 มิถุนายน 2010 อีกที เนื้อหาเล่าว่าคุณย่า Havala ได้ทำการเรียกปีศาจ Dybbuk มายังโลกมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือเธอและเพื่อนๆให้รอดพ้นจากการถูกสังหารในช่วงการฆ่าล้างเผ่า พันธุ์ชาวยิว และเมื่อสาวๆทั้งหมดรอดพ้นจากการตามล่า พวกเธอก็ตัดสินใจผนึกปีศาจร้ายตนนี้ไว้ในกล่องนี้)แล้วกล่อง นี้ไปถึงใครบ้าง มีคนนึงที่ซื้อไปชื่อ Iosif Neitzke เขาก็บอกว่าตั้งได้กล่องนี้มา จู่ๆผมก็เริ่มร่วงทุกวันๆ และบ้านก็เกือบจะไฟไหม้ รวมไปถึงข้าวของต่างๆในบ้านสลับตำแหน่ง และแน่นอนว่าเขาฝันร้ายถึงหญิงแก่อัปลักษณ์เฉกเช่นคนอื่นๆที่เคยเจอ ตอนนี้เจ้ากล่องนี้อยู่ที่คนเขียนหนังสือเล่มนี้ชื่อ Jason Haxton เป็นคิวเรเตอร์ของพิพิธภัณฑ์ และก็เป็นคนที่สนใจเรื่องลี้ลับ ซึ่งเค้าก็ประมูลได้มันมาครอบครองเป็นคนล่าสุด ซึ่งเว็บไซต์ //paranormal.lovetoknow.com ก็ได้ไปสัมภาษณ์เขา เจสันเล่าให้ฟังว่าตั้งแต่ได้กล่องนี้มา เขาก็เริ่มฝันร้าย สุขภาพร่างกายทรุดโทรม การมองเห็นแย่ลง หายใจไม่ออก เป็นตุ่มตามตัว แล้วก็มักจะเห็นเงาดำๆ ลอยอยู่ในบ้าน นายเจสันก็บอกว่านับเป็นเวลา 7 ปีแล้วที่กล่องนี้อยู่ในการครอบครองของเขาตัวเขาเองก็เจอเรื่องแปลกๆมากมายจนชิน แต่ก็เพราะว่าเขาสนใจเรื่องพวกนี้เลยอยู่กับมันได้ โดยไม่พยายามทำลายขวัญตัวเองด้วยการด่วนสรุปว่าทุกอย่างเป็นเพราะกล่อง เหตุที่เจสันคิดแบบนั้นเพราะเขาสนใจศึกษาในในวิทยาศาสตร์ (ตัวเขาเองมีความเชี่ยวชาญทางการแพทย์) และในขณะเดียวกันก็ยังศึกษาวัฒนธรรม ของกลุ่มแคบบาราห์ (ลัทธิที่ศึกษาคำสอนของชาวฮิบรูโบราณ) Wicca (กลุ่มผู้ศึกษาเวทย์มนต์ใช้ชีวิตกับธรรมชาติ) เลยทำให้เขามีหลักการและเหตุผลในการรับมือและวิเคราะห์กับเรื่องเหนือธรรมชาติ เจสันยังให้มุมมองที่แตกต่างกับสิ่งของที่ใครๆก็หวาดผวาชิ้นนี้ว่า เขาเชื่อว่าด้วยตัววัตถุเอง กล่องนี้อาจจะไม่ได้เป็นของมงคล หรืออัปมงคลแต่อย่างใด มันอาจเป็นเพราะมนุษย์นี้แหละ โดยเฉพาะคนที่สร้างต้องการจะปลุกเร้าความกลัวของคนให้เกิดขึ้น และยิ่งเรากลัวเท่าไร ก็เหมือนไปสร้างพลังมืดให้กับวัตถุ ฉะนั้นเราจึงควรหยุดที่ตัวเอง ปล่อยให้มันเป็นเพียงวัตถุนึงไปก็เท่านั้น มันก็จะไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีก เจสันยังกล่าวต่อไปว่า เขาอยู่กับกล่องนี้มานาน จนนึกภาพไม่ออกเลยว่าจะขาดมันไปได้อย่างไร ทุกวันนี้เขายังเก็บมันไว้ในลังเก็บของ ในความรู้สึกของเขามันก็ไม่ได้มีพิษภัยกับเขาและครอบครัว เค้ายังกำชับกับภรรยาว่าหากเขาตายไปช่วยฝังกล่องนี้ไปพร้อมร่างเขาด้วย
Credit : //hogwartsthai.com/forum/lofiversion/index.php?t20471.html ในโลกทันสมัยไฮเทค คงไม่มีใครคาดคิดว่าวัตถุมนต์ดำ หรือของอาถรรพ์จะส่งผ่านมือกันได้อย่างง่ายดายเพียงแค่ปลายนิ้วคลิ๊ก แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว!! เมื่อเรื่องราวของกล่องไม้ขังวิญญาณ " ดิ๊บบัค บ็อกซ์ " กลายเป็นประเด็นเลื่องลือในโลกไซเบอร์ เกี่ยวกับตำนานความหลอน เพราะมันเป็นกล่องอาถรรพ์ที่กักขังดวงวิญญาณชั่วร้ายเอาไว้ ทว่าถูกนำเอามาขายในอินเทอร์เน็ตปะปนกับสิ่งของทั่วไป และแล้วความสยองก็ได้รับการส่งทอดในรูปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน The Possession เดอะ โพสเซสชั่น คือผลงานการสร้างของ แซม ไรมี่ เจ้าของสตูดิโอ Ghost House Pictures ที่สร้างหนังสยองขวัญ ที่ประสบความสำเร็จแล้วมากมาย เช่น Drag Me to Hell และ The Grudge ได้เล่าถึงแรงบันดาลใจของการเอาตำนานกล่องไม้โบราณของชาวยิวมาเล่าว่า" ผมได้อ่านบทความที่ชื่อ A jinx in a box ที่ตีพิมพ์ไว้ใน แอล เอ ไทมส์ เมื่อหลายปีก่อน ผมรู้สึกว่ามันมีความน่าสนใจ ที่ของโบราณจะถูกขายผ่าน ทางโลกออนไลน์ และทำให้ผู้ครอบครองทุกคนต้องพบกับเรื่องราวน่าขนลุก ผมจึงต้องการสร้างเรื่องสยองขวัญที่เกิดขึ้นกับครอบครัวหนึ่ง และความ พยายามทุกวิถีทางที่จะกำจัดมัน " หนังสยองขวัญที่ได้รับการกล่าวขานว่า น่ากลัวที่สุดในปีนี้ พร้อมเรื่องสยองมากมายที่เกิดขึ้นระหว่างการถ่ายทำ
VIDEO
Create Date : 12 กรกฎาคม 2555
Last Update : 29 สิงหาคม 2555 10:02:05 น.
21 comments
Counter : 10819 Pageviews.