|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
บทที่ 10 ข่ายการสื่อสารในกลุ่มย่อย
**ข่ายการสื่อสาร (Network of Communication) หมายถึง รูปแบบทิศทางของการสื่อสารที่เชื่อมโยงการติดต่อระหว่างสมาชิกในกลุ่ม โดยเป็นการติดต่อพร้อมกันหลายๆคน และใช้พร้อมๆกันหลายๆช่องทาง
**การแบ่งประเภทของข่ายการสื่อสาร
*ลักษณะแบบรวบอำนาจ - แบบลูกโซ่ สมาชิกแต่ละคนติดต่อไปยังสมาชิกที่อยู่ถัดไป - แบบตัววาย สมาชิกที่อยู่ตรงกลาง 2 คนทำหน้าที่ประสานงาน ส่งข้อมูลต่อไปยังสมาชิกคนอื่น - แบบมีศูนย์กลาง สมาชิกที่อยู่ตรงกลางเป็นผู้รับข่าว แล้วส่งไปให้คนอื่นๆ *ลักษณะแบบกระจายอำนาจ - แบบวงกลม : ทุกคนสามารถติดต่อติดต่อกับสมาชิกที่อยู่ถัดจากตนได้ทั้งสองข้าง - แบบติดต่อกันได้หมดทุกคน : สมาชิกทุกคนสามารถติดต่อกันได้หมด
**ผลกระทบที่เกิดจากข่ายการสื่อสาร
1. การเกิดขึ้นของความเป็นผู้นำของกลุ่ม : เกิดขึ้นในข่ายการสื่อสารแบบมีศูนย์กลาง แบบตัววาย และแบบลูกโซ่ 2. การแก้ปัญหาของกลุ่ม : ถ้าเป็นปัญหาที่ไม่สลับซับซ้อน ไม่ต้องใช้ความคิดลึกซึ้ง ไม่ต้องแยกแยะปัญหา ให้ใช้ข่ายการสื่อสารแบบรวบอำนาจ แต่ถ้าเป็นปัญหาที่ยุ่งยาก เช่นปัญหาด้านมนุษยสัมพันธ์ ปัญหาที่จะต้องหาข้อสรุป ควรใช้การสื่อสารแบบ กระจายอำนาจ 3. ผลกระทบต่อขวัญของกลุ่ม การสื่อสารแบบรวมอำนาจ สมาชิกที่อยู่รอบนอกของกลุ่ม จะขาดความเป็นอิสระในการติดต่อสื่อสาร ระดับขวัญและกำลังใจก็จะต่ำกว่าการสื่อสารแบบกระจายอำนาจ เช่น หน่วยงานที่มีลำดับชั้นโครงสร้างของงาน สภาพแวดล้อมในการทำงาน หรือกระบวนการผลิต ที่ทำให้พนักงานขาดความเป็นอิสระในการสื่อสาร ก็จะมีผลให้ขวัญของพนักงานต่ำ **ปัจจัยที่กำหนดลักษณะข่ายการสื่อสาร
1. งานและหน้าที่ : ข่าวสารที่เกี่ยวกับงานโดยตรงควรเป็นรูปแบบติดต่อกันได้หมดทุกคน 2. แบบแผนและแนวปฏิบัติ : เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นกลายเป็นแนวปฏิบัติของกลุ่ม เช่น ถ้าในแผนกมีอายุที่แตกต่างกันมาก เด็กมักไม่ค่อยซักถามผู้ที่อาวุโสกว่า ก็จะเป็นแบบมีศูนย์กลาง 3. การจัดสภาพแวดล้อม : ตามตำแหน่ง ตามหน้าที่ที่รับผิดชอบ 4. คุณสมบัติส่วนตัว : ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของแต่ละบุคคล เช่นถ้ากลุ่มย่อยมีพฤติกรรมเป็นผู้ใหญ่ ก็จะเป็นรูปแบบติดต่อกันได้หมด
***กระบวนการตัดสินใจ และการแก้ปัญหาของกลุ่มย่อย
1. มีปัญหาเกิดขึ้นหรือไม่ : เป็นข้อมูลเบื้องต้นที่จะต้องหาให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีสิ่งใดผิดพลาด เกิดขึ้นได้อย่างไร ใครที่รับผิดชอบกับปัญหานั้น ทำให้รู้ว่าควรจะแก้ปัญหานั้นหรือไม่ 2. ปัญหานั้นสำคัญหรือไม่ : วิเคราะห์สาเหตุของปัญหา เพื่อจะหาว่าการแก้ปัญหานั้นจะต้องใช้วิธีใดในการแก้ปัญหา เช่นยอดขายของบริษัทลดลง 50 % ในปี 2551 ต้องหาว่าสาเหตุทำไมยอดขายจึงตกลง และจะต้องปรับปรุงระบบการขาย หรือจะต้องปรับปรุงการผลิตอย่างไร 3. มีทางเลือกในการแก้ปัญหาอะไรบ้าง : เมื่อรู้ว่าปัญหานั้นมีความสำคัญที่จะแก้ปัญหาด้วยวิธีใดแล้ว ก็จะต้องหาทางเลือกหลายทางหรือหลายวิธี โดยใช้วิธีการระดมความคิด 4. จะนำเอาทางเลือก หรือวิธีการแก้ปัญหาไปใช้ได้เพียงใด และควรตอบปัญหาให้ได้ดังนี้ - วิธีแก้ปัญหานั้น ถูกต้องและไม่ขัดกับกฏหมาย? - วิธีที่นำไปใช้นั้น ผู้ปฏิบัติงานยอมรับหรือไม่? - ค่าใช้จ่ายในการนำไปใช้มากน้อยเพียงใด? 5. ผลดี ผลเสียของทางเลือกในการแก้ปัญหาแต่ละอย่างเป็นอย่างไร : เป็นการระบุผลที่เกิดขึ้นของแต่ละวิธีที่จะนำไปใช้ในการแก้ปัญหา การวิเคราะห์จะทำให้รู้ว่าแต่ละทางเลือกก่อให้เกิดผลอะไรบ้าง สรุปถึงผลดี ผลเสียของแต่ละทางเลือก จากนั้นจึงตัดสินใจเลือกวิธีที่ก่อให้เกิดผลดีที่สุด และสร้างความพอใจให้แก่กลุ่มสูงสุด
Create Date : 07 ตุลาคม 2552 |
Last Update : 9 ตุลาคม 2552 10:23:41 น. |
|
0 comments
|
Counter : 6352 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
เชียงใหม่ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 93 คน [?]
|
วิทยากร, ที่ปรึกษาธุรกิจ ด้านการบริหารและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (HRM & HRD), การบริหารความเสี่ยงองค์กร, การจัดการมาตรฐานแรงงาน, กฎหมายแรงงาน,เขียนหนังสือและบทความ
|
|
|
|
|
|
|
|