|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
บทที่ 8 การสื่อสารกลุ่มย่อย
ความหมายของกลุ่มย่อย - กลุ่มย่อย หมายถึงกลุ่มคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป - มีการติดต่อสัมพันธ์กัน พบหน้ากัน สมาชิกรู้จักตัวซึ่งกันและกัน เช่น ทีมกีฬา สโมสร เพื่อนร่วมชั้นเรียน กลุ่มทำงาน - สมาชิกทุกคนมีความใกล้ชิดกัน เช่นคนที่ทำงานในแผนกเดียวกัน - มีความสัมพันธ์กัน เช่นคนสามคนยืนรอรถเมล์อยู่ด้วยกันไม่เรียกว่าเป็นกลุ่มย่อย แต่ถ้าต่างฝ่ายต่างปรับทุกข์กันถึงเรื่องรถเมล์มาช้า เราเรียกว่าเป็นกลุ่มย่อย - สมาชิกต้องจำลักษณะรูปร่าง หน้าตากันได้อย่างถูกต้อง เช่นคนยืนรอรถเมล์ต่างพูดคุยจนรู้จักกัน นัดเจอกันอาทิตย์หน้าเพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน
ลักษณะของกลุ่มย่อย 1. มีการติดต่อสัมพันธ์กัน : พูด คุย ติดต่อสื่อสารกัน 2. มีความเป็นตัวเอง : มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง 3. มีแนวปฏิบัติของกลุ่ม : มีพฤติกรรม ค่านิยม หรือมีมาตรฐานของกลุ่มยึดเป็นแนวปฏิบัติ เช่นการแต่งตัว 4. มีพฤติกรรมเผชิญหน้ากับกลุ่มอื่น 5. มีการแบ่งแยกหน้าที่กัน 6. มีเป้าหมายร่วมกัน 7. ได้ผลงานมากกว่าที่ ต่างคนต่างทำ
ประเภทของกลุ่มย่อย 1. กลุ่มแก้ปัญหา เน้นให้ทุกคนมีส่วนร่วม จึงต้องใช้เทคนิคทางด้านการติดต่อสื่อสารระหว่างสมาชิกและความรู้ในการแก้ปัญหา 2. กลุ่มระดมความคิด ใช้เทคนิค ระดมสมอง (Brainstorming) - ไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าความคิดของใครถูกหรือผิด - เป็นการต้องการความคิดที่หลากหลายไม่จำกัด - รวบรวมเอาความคิดมาประสมประสานกัน - ทุกคนมีอิสระเต็มที่ที่จะคิด 3. กลุ่มบำบัดรักษา ใช้บำบัดรักษาสุขภาพจิต - จิตแพทย์จะค้นหาข้อมูลจากคนไข้เพื่อเริ่มต้นในการรักษา - ให้ในกลุ่มเป็นผู้บำบัดรักษาเอง โดยให้ระบายปัญหาหรือความขัดแย้งออกมา ก่อให้เกิดความไว้วางใจมากกว่า 4. กลุ่มหาความรู้ แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน 5. กลุ่มทางสังคม เพื่อความสุขสนุกสนาน แก้เหงา 6. กลุ่มสัมพันธ์ ทำให้กลุ่มได้เรียนรู้และเข้าใจ รู้วิธีแก้ไขปัญหา ยอมรับพัฒนาตนและรับรู้ตนเอง กระตุ้นในเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นแนวทางให้เกิดความร่วมมือที่ดีต่อการพัฒนาองค์กร
โครงสร้างของกลุ่มย่อย 1. ลักษณะส่วนตัว (individual characteristics) หมายถึงพฤติกรรมแลบุคลิกภาพ ความเชื่อทัศนคติ ความสามารถ อายุ เพศของสมาชิกแต่ละคนแตกต่างกัน 2. ลักษณะของกลุ่ม (Group characteristic) ขึ้นอยู่กับจำนวน ชนิดของกลุ่ม และความถี่ในการสื่อสารระหว่างสมาชิกด้วยกัน 3. ปัจจัยภายนอก (external facter) หมายถึงกฎเกณฑ์ ระเบียบข้อบังคับ การมีอิสระและสภาพแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินงานของกลุ่ม
ปัจจัยตัวบุคคลในการชักนำกลุ่มย่อย
การชักนำ หมายถึง ความพยายามที่จะมีอิทธิพลเหนือบุคคลอื่นเพื่อจะเปลี่ยนพฤติกรรมของบุคคล หรือของกลุ่มโดยผ่านกระบวนการสื่อสารด้วยคำพูดและไม่ใช่คำพูด
ปัจจัยด้านบุคลิกภาพ (personality) แบบที่ 1 บุคคลที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมหลอกลวง : การใช้มารยา ฉวยโอกาส และการหลอกลวงในการสื่อสาร บุคคลที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมมาก เรียกว่า High Mach : เป็นคนที่ไม่มีความจริงใจ ไม่มีความรับผิดชอบต่อศีลธรรม ไม่มีความรู้สึกว่าตนเองผิด และไม่คำนึงถึงความรู้สึกคนอื่น ชอบชักนำบุคคลอื่น ปฏิบัติต่อบุคคลอื่นเหมือนเป็นสิ่งของเท่านั้น คนประเภทนี้จะมุ่งไปที่ความสำเร็จที่งานเป็นสำคัญ Low Mach : มีลักษณะเป็นผู้ตาม ถูกชักนำได้ง่าย มีอารมณ์อ่อนไหว ชอบเอาอารมณ์ไปปะปนกับงาน
แบบที่ 2 บุคคลที่ทำตัวขัดกับสังคม : ไม่สามารถปรับตัวเองให้เข้ากับกฏเกณฑ์ และค่านิยมของสังคมได้ ชอบแยกตัวออกจากสังคม เฉื่อยชา วิตกกังวลตลอดเวลา แนวโน้มจะทำร้าย ในแง่ของกลุ่ม คนประเภทนี้ ไม่ชอบให้ใครมาชักนำ ไม่ไว้ใจใคร ไม่ต้องการที่จะติดต่อกับใคร ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า ผู้ใต้บังคับบัญชา หรือแม้แต่พ่อแม่ตนเอง ไม่มีความรู้สึกต่อบุคคลอื่น สนใจแต่งานของตัวเอง มักจะแยกตัวโดดเดี่ยวออกจากกลุ่ม แบบที่ 3 บุคคลประเภทดันทุรัง : มีลักษณะจิตใจคับแคบ ไม่มีความยึดหยุ่น ไม่มีความอดทน ชอบวางอำนาจ เกิดจากความรู้สึกที่วิตกกังวล ขาดความมั่นใจ การชักนำ ใช้ความรู้สึก ความเชื่อ ความต้องการของเขาเอง เช่น ถ้าเขามีความเห็นว่าผู้ชายเท่านั้นที่จะเป็นหัวหน้างานที่ดีได้ เขาก็จะไม่มีวันทำงานกับหัวหน้าที่เป็นผู้หญิง
แบบที่ 4 พวกที่มีความวิตกกังวลอยู่เป็นนิจ : เป็นคนหัวเสีย วิตกกังวล และไม่มีความพอใจอยู่ตลอดเวลา เกรงกลัวที่จะติดต่อพูดคุยกับผู้อื่น จึงสงบปากสงบคำไม่ยอมเปิดเผย หรือประเภทตรงข้ามที่ชอบแสดงตัวโอ้อวด พูดมากเกินไป บุคคลประเภทนี้ไม่สามารถจะชักนำใครได้ แต่จะถูกบุคคลอื่นชักนำ หรือชักจูงไปในทางที่ถูก หรือผิดได้ง่าย
แบบที่ 5 ระดับของการเก็บตัว และการเปิดเผยตัวของแต่ละคน : คนที่ชอบเก็บตัวจะเป็นคนขี้อาย เป็นฝ่ายที่ผู้ชักนำได้ง่าย คนเปิดเผยตัวเอง จะชอบแสดงออก ชอบสังคม เปิดเผย พูดเก่ง มีลักษณะเป็นผู้นำ
แบบที่ 6 พวกที่นับถือตนเอง : คนที่ถือตัวเองสำคัญกว่าใครๆ จะเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง ยึดเอาตัวเองเป็นใหญ่ ***สำหรับบุคคลที่มีลักษณะตรงกันข้าม จะเป็นคนที่ถูกชักนำได้ง่าย เช่น @ นักศึกษาที่เรียนไม่เก่งมักจะถูกชักจูงให้ยอมรับความคิดของคนที่เรียนเก่งกว่า @ บุคคลที่ประสบปัญหาชีวิต ความยากจน ความล้มเหลว ไม่ได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมงาน มักจะเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองน้อย
ปัจจัยด้านความดึงดูดใจ เป็นปัจจัยที่ใช้ชักนำบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถดึงดูดใจให้คนอื่นอยากที่จะติดต่อด้วย ปัจจัยด้านสังคม : เป็นคนที่น่าสนใจ น่าคบเป็นเพื่อนกันได้ ปัจจัยทางกาย : รูปร่าง การแต่งตัวดี ปัจจัยทางด้านงาน : ถ้าทำงานด้วยจะรู้สึกสบายใจ ไม่อึดอัด
ปัจจัยด้านคล้ายกัน คนที่มีอะไรคล้ายกัน เช่น ทางด้าน อายุ เพศ รูปร่าง ความเชื่อ ทัศนคติ สถานะทางสังคม การศึกษา ประสบการณ์ มักจะมีผลทำให้เกิดความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน เพราะต่างคนต่างเข้าใจซึ่งกันและกัน ไม่มีอะไรที่ต้องขัดแย้งกัน **การชักจูงจึงนำไปใช้ได้ผลในการพูดในที่ชุมชน
ปัจจัยด้านความน่าเชื่อถือ - เกิดจากความสามารถของคน เช่น มีความเชี่ยวชาญ ฉลาด ทันสมัย มีเหตุมีผล และมีการศึกษาสูง - เกิดจากคุณสมบัติส่วนตัว เช่น ความซื่อสัตย์ มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น มีใจกรุณา เป็นคนดี มีความรับผิดชอบ มีศีลธรรม - เกิดจากสังคมดี เช่น เป็นคนร่าเริง มองตนในแง่ดี น่าคบ ใจกว้าง - เกิดจากความสำรวม เช่น สงบเสงี่ยม ใจเย็น สุขุม ยั้งคิด เป็นคนเปิดเผย เช่น กล้าแสดงออก พูดจาตรงไปตรงมา มีความกระตือรือร้น - ให้ความร่วมมือ เช่น การประสานงาน ไม่เอาเปรียบ เสมอต้นเสมอปลาย เป็นคนไว้ใจได้ **บุคคลที่มีความน่าเชื่อถือเหล่านี้มีโอกาสที่จะชักนำบุคคลอื่นได้มากกว่าวิธีอื่น
ปัจจัยด้านทัศนคติ ความเชื่อ และค่านิยม ทัศนคติ (attitude) หมายถึงการมีใจเอนเอียงไปในทางบวก หรือทางลบ ต่อสิ่งที่ทำให้มีความรู้สึกว่าชอบหรือไม่ชอบคนใดคนหนึ่ง ความเชื่อ (belief) หมายถึง ความรู้สึกที่คนมีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ว่าถูกหรือผิด จริงหรือไม่จริง ค่านิยม (value) แนวความคิดที่เห็นว่า สิ่งใดดีหรือเลว **บุคคลที่มีทัศนคติ ความเชื่อ และค่านิยมที่คล้ายกัน ย่อมจะชักนำบุคคลอื่นได้ง่ายกว่าบุคคลที่มีความแตกต่างกัน
ปัจจัยทางด้านข่าวสารในการชักนำของกลุ่มย่อย การที่จะชักนำให้คนเชื่อในเนื้อหาของข่าวสารนั้น ขึ้นอยู่กับวิธีการของการสร้างข่าวสาร ดังนี้ การชักชวนให้น่าสนใจ อ้างถึงนโยบาย ข้อเท็จจริง ความสำคัญ ความดี ความถูกต้อง เพื่อทำให้บุคคลอื่นยอมรับว่าเป็นเรื่องสำคัญ เป็นความจริง เป็นสิ่งที่จำเป็น หรือเป็นนโยบายที่ต้องปฏิบัติตาม
- โดยการระบุข้อเท็จจริง เช่น ในปีหน้าราคาน้ำมันจะสูงขึ้น - โดยการให้คำจำกัดความ เช่น ในปีหน้าราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้นอีกลิตรละ 10 บาท - โดยการประเมิน เช่น การขึ้นราคาน้ำมันก่อให้เกิดสินค้าราคาแพงขึ้น - โดยการสนับสนุน เช่นราคาน้ำมันแพงขึ้นควรจะหันไปใช้กาซ LPG
ความมีเหตุผล - โดยการจูงใจ เช่น การชักชวนให้น่าสนใจ ชีวิตในเมืองทำให้คนสะดวกสบาย ความมีเหตุผล เราต้องการมีชีวิตที่สะดวกสบาย ข้อมูล คนที่อาศัยอยู่ในเมือง มีชีวิตที่สะดวกสบายทั้งนั้น - โดยอำนาจหน้าที่ เช่น บุคคลที่พูดเรื่องกฏหมายภาษี ก็น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพากร - โดยหลักฐาน เช่น การไม่เอาใจใส่ในการเรียนทำให้สอบตก หากอากาศร้อนอบอ้าวเป็นสัญญานว่าฝนจะตก
ด้านข้อมูล - ข้อมูลที่ทั้งผู้พูดและผู้ฟังทุกคนเชื่อ คือข้อมูลที่เป็นจริง - ข้อมูลที่ผู้ฟังเชื่อบางส่วน ขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือของผู้พูด - พยานหลักฐาน ใช้ในการอ้างอิงให้คนเห็นตาม
โครงสร้างของข่าวสารในการชักนำกลุ่มย่อย - แหล่งของข่าวสาร และหลักฐาน : จะต้องมีความน่าเชื่อถือ - การอภิปรายสนับสนุน เช่น การออกกำลังกายวันละ 30 นาที จะทำให้เรามีสุขภาพแข็งแรง - การเปิดเผยความตั้งใจ เช่น ผู้บริหารก่อนที่จะสั่งงาน ควรบอกถึงความต้องการของตนเอง ว่าต้องการให้งานสำเร็จอย่างไร - ปัญหาและวิธีการแก้ปัญหา : ควรบอกถึงปัญหาที่เกิดขึ้นก่อน แล้วจึงเสนอวิธีแก้ไขปัญหานั้น - การสร้างความเชื่อถือในข่าวสาร : ควรพูดถึงเรื่องที่คนเชื่อหรือเห็นด้วยก่อน แล้วจึงพูดถึงเรื่องที่คนไม่เห็นด้วยทีหลัง - การสรุป : ควรสรุปอย่างชัดเจนโดยที่ผู้ฟังไม่ต้องเก็บไปคิด กับ สรุปแบบให้ข้อคิดว่าควรจะทำอย่างไร เพื่อให้ผู้ฟังนำไปคิดต่อ หรือนำไปตัดสินใจเอาเอง
Create Date : 28 กันยายน 2552 |
|
0 comments |
Last Update : 28 กันยายน 2552 16:29:57 น. |
Counter : 10365 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|
Location :
เชียงใหม่ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 93 คน [?]
|
วิทยากร, ที่ปรึกษาธุรกิจ ด้านการบริหารและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (HRM & HRD), การบริหารความเสี่ยงองค์กร, การจัดการมาตรฐานแรงงาน, กฎหมายแรงงาน,เขียนหนังสือและบทความ
|
|
|
|
|
|
|
|