1 2 3
4 5 6 7 8 9 10
11 12 13 14 15 16 17
18 19 20 21 22 23 24
25 26 27 28 29 30 31
บทที่ 6 การบริหารข้อมูลและการรายงานผล
ความสำคัญของการรายงานผล การทำธุรกิจต้องมีข้อมูลที่ช่วยในการตัดสินใจเช่น ถ้าไม่ได้ทำบัญชีงบกำไร-ขาดทุน ก็จะไม่สามารถรู้ว่าบริษัทมีผลกำไรหรือขาดทุนในช่วงระยะเวลาที่กำหนด หากไม่มีการบันทึกข้อมูลการควบคุมคุณภาพในสายการผลิต ก็จะไม่มีวันรู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุของข้อบกพร่อง หรือความสูญเสียในขบวนการผลิต รายงานผลที่จำเป็นสำหรับธุรกิจ SMEs • การผลิต • สินค้าคงคลัง • คุณภาพ • การขาย • บุคลากร • การเงิน และบัญชี • การประเมินความสามารถระหว่างวิสาหกิจ ข้อมูลการผลิต และการรายงานผล ในการวางแผนการผลิต จำเป็นต้องรู้สถานะการผลิตต่างๆ เพื่อที่จะนำมาประกอบการวางแผนและตัดสินใจในอนาคต เช่น ต้องรู้เวลาในการทำงานของเครื่องจักรทุกประเภท กำลังการผลิตของเครื่องจักร ค่าใช้จ่ายในการผลิตต่อหน่วย จำนวนที่จะผลิต เวลาการส่งมอบ จำนวนสินค้าคงคลัง ข้อมูลสินค้าคงคลัง และการรายงานผล สินค้าคงคลัง หรือสต็อกของธุรกิจ SMEs ซึ่งรวมถึง สินค้าสำเร็จรูป วัตถุดิบ และชิ้นส่วนระหว่างการผลิต กฎของพาเรโตระบบ 80/20 ซึ่งก็คือ พิจารณาเฉพาะสินค้าคงคลังบางชนิดจำนวนประมาณ 20% ที่มีราคารวมกันสูงถึง 80% ของราคาสินค้าทั้งหมด การควบคุมคุณภาพของสินค้าหรือบริการให้ได้มาตรฐานหรือสูงกว่ามาตรฐาน และเป็นที่ต้องการของลูกค้า ตัวอย่างการผลิตสับปะรดกระป๋อง ซึ่งจะต้องได้นํ้าหนักใกล้เคียงมาตรฐาน 180 oz ดังนั้นสิ่งที่จะต้องควบคุมคือนํ้าหนักสินค้า ซึ่งต้องมีการสุ่มบันทึกในทุกๆ ล็อตของการผลิต เช่น ในหนึ่งล็อต ประกอบด้วยสับปะรดกระป๋องจำนวน 100 กระป๋องสามารถเลือกจำนวนที่จะสุ่มตรวจนํ้าหนักได้ ในกรณีนี้อาจสุ่มจำนวน 10 กระป๋อง จากแต่ละล็อต จำนวน10 ล็อต ชั่งนํ้าหนักและบันทึกผล Control Chart ของนํ้าหนักสับปะรดกระป๋องจำนวน 10 ล็อต ซึ่งอยู่ในขอบเขตบนและล่าง ดังนั้นสามารถใช้ค่ากึ่งกลาง ค่าขอบเขตบนและล่าง เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาล็อตต่อๆ ไปได้ ดังแสดงในรูปที่ 8 ซึ่งถ้าหากนํ้าหนักสินค้าไม่อยู่นอกขอบเขตบนและล่าง จะถือว่าการผลิตอยู่ในสภาวะควบคุม แต่ถ้าหากมีจุดใดก็ตามออกนอกขอบเขตบนหรือล่าง ก็จะถือว่าการผลิตผิดปกติ ต้องหาสาเหตุของความผิดปกติ ณ จุดนั้นๆ และทำการแก้ไข ข้อมูลแรงงาน และการรายงานผล เป็นการบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานของพนักงาน เป็นส่วนหนึ่งของการประเมินผลิตภาพ(Productivity) และ สมรรถนะ (Performance) ของพนักงาน สามารถนำมาใช้ในการวางแผนด้านอัตรากำลัง การเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่พนักงาน และการลดค่าใช้จ่ายในการผลิต ตัวเลขประสิทธิภาพการทำ งานอาจเป็นตัวบ่งบอกถึงผลิตภาพที่ได้ในแต่ละฝ่าย และแต่ละบุคคล ซึ่งหากทำการบันทึกข้อมูลนี้ทุกๆ ระยะ จะเห็นแนวโน้มประสิทธิภาพการทำงานว่าดีขึ้น หรือควรปรับปรุง ข้อมูลการขายทั้งในอดีตและปัจจุบัน จะเป็นตัวบอกแนวโน้มความต้องการของตลาดในอนาคต ซึ่งทำให้สามารถวางแผนการขาย การผลิต งบประมาณค่าใช้จ่ายต่างๆ รายงานผลคำสั่งซื้อ เป็นการสรุปการสั่งซื้อของลูกค้าในช่วงเวลาที่กำหนด โดยจะแสดงถึงจำนวนการส่งมอบ และจำนวนที่ค้างส่ง รายงานวิเคราะห์การขาย เป็นการวิเคราะห์ตัวเลขการขายแยกตามปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ชนิดสินค้า พนักงานขาย พื้นที่ขาย เงินสด เป็นสิ่งจำเป็นที่สุดของการดำเนินธุรกิจ SMEs เนื่องจากใช้ชำระหนี้สิน ใช้ซื้อวัตถุดิบ ใช้ขยายกิจการ ดังนั้นควรมีการจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับที่มาและการใช้จ่ายเงินสด การเปรียบเทียบกระแสเงินสดจริงและที่วางแผนไว้จะทำให้รู้ว่าจะนำเอาเงินส่วนเกินไปใช้ในด้านใด หรือส่วนที่ขาดไปจะเอาเงินสดจากที่ไหน การมีกระแสเงินสดสุทธิเป็นบวกก็ไม่ใช่หมายถึงประสิทธิภาพการบริหารเงินสูง เพราะเป็นไปได้ว่าอาจยังไม่ได้ชำระหนี้ที่ค้างอยู่ ข้อมูลการให้เครดิตลูกค้า งบกระแสเงินสดจะเกี่ยวข้องกับการให้เครดิตลูกค้า การบันทึกข้อมูลระยะเวลาการให้เครดิต และจำนวนเงินที่ติดค้าง การรายงานผลการให้เครดิตลูกค้าจะทำให้สามารถตามหนี้ได้อย่างถูกต้อง และทำให้ทราบตัวเลขเงินสดที่จะได้รับในอนาคตเพื่อความสะดวกในการวางแผนการลงทุนต่อไป ข้อมูลสภานะการเงิน งบกระแสเงินสด งบดุล งบกำไรขาดทุน จัดทำเป็นรายปีเนื่องจากกรมสรรพากรต้องการตรวจสอบดูความถูกต้องในการเสียภาษีประจำปี แต่งบการเงินทั้งสองอย่างสามารถจัดทำเป็นช่วงๆ ได้ตามความต้องการในการใช้ข้อมูล บัญชีงบดุล บัญชีกำไร-ขาดทุน จัดทำขึ้นเพื่อคำนวณว่าธุรกิจดำเนินไปได้ดีหรือไม่ โดยควรประมาณการยอดขาย และค่าใช้จ่ายเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปี อัตราส่วนทางการเงิน และการรายงานผล มีความสำคัญต่อการเสนอโครงการแก่สถาบันการเงิน และการวางแผน ข้อมูลที่จะใช้คำนวณ ส่วนใหญ่จะได้จากตัวเลขในงบดุล และงบกำไร-ขาดทุน อัตราส่วนทางการเงินเป็นการเปรียบเทียบตัวเลขหนึ่งกับอีกตัวเลขหนึ่งซึ่งผลที่ได้อาจอยู่ในรูปอัตราส่วน หรือ % อัตราส่วนที่คำนวณโดดๆ ไม่มีความหมายอะไร แต่ถ้าหากมีการเปรียบเทียบกับผลของปีที่ผ่านมา หรือเปรียบเทียบกับคู่แข่ง หรือค่ามาตราฐาน ก็จะทำให้รู้ว่าผลประกอบการของเราอยู่ ณ ระดับใด 1.อัตราส่วนทุนหมุนเวียน (Current Ratio) อัตราส่วนสินทรัพย์เดินสะพัดต่อหนี้สินเดินสะพัด ถ้าอัตราส่วนดังกล่าวมากกว่า 1 บริษัทจะมีสภาพคล่องสูงเพราะมีสินทรัพย์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้มากกว่าหนี้สินที่ต้องชำระ แต่ถ้าอัตราส่วนดังกล่าวสูงเกินไป อาจหมายถึงการจัดการที่ไม่ค่อยมีสิทธิภาพ เพราะบริษัทจะพลาดโอกาสในการลงทุนในสิ่งอื่นที่อาจก่อให้เกิดประโยชน์มากกว่าการลงทุนในสินทรัพย์เดินสะพัด 2.อัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว (Liquid Ratio) คืออัตราส่วนสินทรัพย์เดินสะพัด ยกเว้นสินค้าคงคลังต่อหนี้สินเดินสะพัด ตามปกติแล้วสินค้าคงคลังมีสภาพคล่องตัวน้อย หรือสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ช้า ดังนั้นอัตราส่วนทุนหมุนเวียนเร็ว จึงเป็นการเปรียบเทียบสินทรัพย์เดินสะพัดที่สามารถจะเปลี่ยนเป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็ว 3.อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของเจ้าของ (Debt Ratio) หากอัตราส่วนนี้สูงก็นับว่าธุรกิจมีความเสี่ยงสูงในแง่ของเจ้าหนี้ และเจ้าของ คือ เจ้าหนี้มีสิทธิในการเรียกร้องสินทรัพย์ของธุรกิจมากขึ้น และถ้าหากธุรกิจมีอันเป็นไปต้องยกเลิกกิจการ เจ้าของจะมีสิทธิเรียกร้องสินทรัพย์ภายหลังที่ได้หักส่วนของเจ้าหนี้แล้ว ถ้ามองในด้านเจ้าหนี้ก็มีความเสี่ยงมากเช่นกัน เพราะเจ้าหนี้ร่วมลงทุนโดยมิได้มีส่วนในการควบคุม ดังนั้นเจ้าหนี้จะพอใจที่จะให้อัตราส่วนนี้อยู่ในระดับตํ่า 4.อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์รวม(Debt to Total Asset Ratio) เจ้าหนี้พอใจที่จะเห็นอัตราส่วนนี้ตํ่า เพราะยิ่งตํ่าเท่าใดเจ้าหนี้ก็จะมีความเสี่ยงน้อยเท่านั้น ส่วนเจ้าของก็อยากที่จะให้อัตราส่วนนี้สูง เนื่องจากต้องการให้กำไรต่อหุ้นสูง และไม่ต้องการเสียสิทธิในการควบคุมกิจการเพราะถ้าใช้เงินลงทุนโดยการออกหุ้นสามัญใหม่ ก็จะเสียสิทธิในการควบคุม แต่ถ้าอัตรานี้สูงเกินไปก็จะทำให้เจ้าของขาดความรับผิดชอบ เพราะเงินลงทุนส่วนมากได้มาจากเจ้าหนี้ ถ้าหากเกิดขาดทุนขึ้นมา เจ้าของก็จะรับผิดชอบเฉพาะทุนที่ตนลงไปซึ่งมีจำนวนน้อย แต่ถ้าหากมีกำไรก็จะทำให้อัตราผลตอบแทนของเจ้าของเพิ่มขึ้นในอัตราส่วนที่สูง 5.อัตราส่วนหนี้สินเดินสะพัดต่อเงินลงทุนทั้งหมด (Current Debt to Total Assets Ratio) แสดงให้เห็นว่าธุรกิจใช้เงินทุนจากหนี้สินสะพัดมากน้อยเพียงใด หากธุรกิจมีนโยบายการเงินที่ค่อนข้างระวังแล้ว อัตราส่วนนี้ควรจะตํ่าเพราะหนี้สินเดินสะพัด ควรจะใช้สำหรับทุนหมุนเวียนเท่านั้น ไม่ควรนำมาใช้ลงทุนประจำ หากอัตราส่วนนี้สูงก็แสดงว่าธุรกิจมีความเสี่ยงสูงเพราะหนี้สินส่วนใหญ่จะต้องชำระภายในเวลาอันสั้น ควรจะหันไปใช้เงินทุนจากหนี้สินระยะยาวแทน 6.อัตราส่วนหนี้สินระยะยาวต่อเงินทุนทั้งหมด (Long Term Debt to Total Capitalization) อัตราส่วนนี้จะบอกความสำคัญของหนี้สินระยะยาวที่มีต่อโครงสร้างของเงินทุนที่มิได้คำนึงถึงหนี้สินเดินสะพัด และจะแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างเงินทุนของธุรกิจว่าได้ดำเนินไปตามนโยบายเดิมหรือได้เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งจะทราบได้จากการเปรียบเทียบอัตราส่วนในธุรกิจเดียวกันนี้ของปีปัจจุบันกับปีในอดีต เช่น หากอัตราส่วนของปีในอดีตเท่ากับ 1.5 ในปัจจุบันเท่ากับ 1.35 ก็แสดงให้เห็นว่าธุรกิจได้ลดอัตราเสี่ยงลง 7.อัตราส่วนความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย คือกำไรก่อนหักภาษีและดอกเบี้ยหารด้วยดอกเบี้ยจ่าย อัตราส่วนนี้แสดงให้เห็นว่าธุรกิจมีกำไรพอที่จะจ่ายดอกเบี้ยหรือไม่เพียงใด และแสดงขอบเขตของการลดลงของกำไรที่จะไม่ทำให้ธุรกิจประสบปัญหาในการจ่ายดอกเบี้ย 8.อัตราการหมุนเวียนของสินค้าคงคลัง (Stock Turnover) คืออัตราส่วนต้นทุนสินค้าขาย ต่อสินค้าคงคลังโดยเฉลี่ย อัตราส่วนนี้แสดงให้เห็นถึงสมรรถภาพในการจัดการสินค้าคงคลังในด้านการใช้เงินทุนในสินค้าคงกลัง ด้านการจัดซื้อ การจำหน่ายดีเพียงใด ซึ่งถ้าอัตราการหมุนเวียนสูงก็แสดงว่าการจัดการใช้เงินทุนในสินค้าคงคลังดี คือไม่มีสินค้าค้างในมือสูงกว่าความต้องการ แต่ถ้าอัตราส่วนตํ่าไปก็ควรระวังสินค้าขาดแคลนได้ 9.อัตราส่วนระยะเวลาการชำระเงินของลูกหนี้ คืออัตราส่วนของลูกหนี้ต่อยอดขายโดยเฉลี่ย เป็นอัตราส่วนที่แสดงสมรรถภาพในการจัดการลูกหนี้ทั้งในด้านการให้สินเชื่อและการเรียกเก็บเงิน ถ้าอัตราส่วนที่ได้ตํ่ากว่าระยะเวลาที่กำหนดให้ลูกหนี้ชำระเงิน ก็แสดงว่าสมรรถภาพในการจัดการลูกหนี้ดี แต่ถ้าเป็นไปในทางตรงข้าม ก็แสดงว่าการพิจารณาการให้เครดิตหรือการเรียกเก็บเงินบกพร่อง 10.อัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์ถาวร คำนวณจากการหารยอดขายสุทธิด้วยสินทรัพย์ถาวรสุทธิ อัตราส่วนนี้ช่วยให้ฝ่ายจัดการทราบว่า การจัดสรรเงินลงทุนไปในการจัดซื้อสินทรัพย์ถาวรนั้น ได้ใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์เหล่านั้นอย่างคุ้มค่าหรือไม่ การที่ธุรกิจมีอัตราการหมุนเวียนตํ่า อาจหมายถึงการไม่ได้ใช้สินทรัพย์ถาวรที่มีอยู่อย่างเต็มประสิทธิภาพ 11.อัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์ดำเนินการ คำนวณได้โดยหารค่าขายสุทธิด้วยสินทรัพย์ดำเนินการสุทธิ อัตราส่วนนี้แสดงให้เห็นถึงสมรรถภาพในการจัดสรรเงินลงทุนไปในสินทรัพย์ประจำและสินทรัพย์เดินสะพัดที่ใช้ในการดำเนินการอันก่อให้เกิดรายได้ ถ้าอัตราตํ่าก็แสดงว่าได้ใช้สินทรัพย์เกินความต้องการซึ่งเป็นการลงทุนที่ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร 12.อัตราส่วนกำไรเบื้องต้น (Gross Profit Margin) คืออัตราส่วนของยอดขายหักต้นทุนสินค้า ต่อยอดขายทั้งหมด เป็นการแสดงถึงประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวกับนโยบายการผลิตและการตั้งราคาสินค้า 13.อัตราส่วนผลตอบแทนจากการขาย (Net Profit Margin) คือ อัตราส่วนระหว่างกำไรสุทธิหลังหักภาษี ต่อยอดขาย แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการหากำไรของธุรกิจ หลังจากการหักค่าใช้จ่ายต่างๆ ออกแล้ว 14.อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (Return on Asset) คือ อัตราส่วนกำไรสุทธิหลังหักภาษี ต่อสินทรัพย์ที่มีตัวตนโดยเฉลี่ย แสดงถึงประสิทธิภาพการใช้เงินลงทุนไปในสินทรัพย์ว่าได้ผลตอบแทนเท่าใด ถ้าอัตรานี้สูงแสดงว่าได้ใช้เงินทุนถูกต้อง ไม่เกิดการสิ้นเปลืองของเงินทุน 15.อัตราผลตอบแทนของส่วนของเจ้าของ (Return on Net Worth) คือ อัตราส่วนกำไรสุทธิหลังหักภาษี ต่อส่วนของเจ้าของโดยเฉลี่ย แสดงถึงผลตอบแทนจากการลงทุนของเจ้าของ อัตรานี้อย่างน้อยก็ควรสูงกว่าค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) ในการนำเงินมาลงทุนในกิจการแทนที่จะลงทุนอย่างอื่น การประเมินความสามารถระหว่างวิสาหกิจ การประเมินความสามารถระหว่างวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง หรือที่เรียกว่า Benchmarking จะทำให้ทราบว่า ประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจอยู่ในระดับใด เมื่อเทียบกับผู้อื่น เช่น เมื่อคำนวณอัตราส่วนทุนหมุนเวียน เท่ากับ 1.17 แต่เมือเทียบกับบริษัทคู่แข่งซึ่งได้ 1.3 แสดงว่าคู่แข่งมีสภาพคล่องสูงกว่า หรือหากค่ามาตราฐานเท่ากับ 1.0 แสดงว่าสภาพคล่องของบริษัทสูงเกินไป บริษัทควรนำเงินไปลงทุนเพิ่มเติมซึ่งจะให้ผลกำไรที่ดีกว่า เป็นต้น (ค่ามาตรฐานได้มาจาก กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม)
Create Date : 12 กรกฎาคม 2553
Last Update : 12 กรกฎาคม 2553 17:28:35 น.
2 comments
Counter : 4862 Pageviews.
โดย: อยากรู้ค่ะ IP: 222.123.94.177 วันที่: 16 กันยายน 2553 เวลา:11:08:25 น.
โดย: อ.หน่อย (Benjawan_B ) วันที่: 21 กันยายน 2553 เวลา:11:25:04 น.
Location :
เชียงใหม่ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 93 คน [? ]
วิทยากร, ที่ปรึกษาธุรกิจ ด้านการบริหารและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (HRM & HRD), การบริหารความเสี่ยงองค์กร, การจัดการมาตรฐานแรงงาน, กฎหมายแรงงาน,เขียนหนังสือและบทความ
2552 = 42,121,949,169 / 98,583,191,177
= 0.43
2553 = 47,288,365,069 / 80,451,502,026
= 0.59 เท่า
อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียนเร็ว = เงินสดและเงินฝากธนาคาร + ลูกหนี้ + ตั๋วรับเงิน / หนี้สินหมุน เวียน
2552 = 7,445,516,395 + 15,828,787,561 /
98,583,191,177
= 0.24 เท่า
2553 = 14,299,680,924 + 15,307,562,527 /
80,451,502,026
= 0.39 เท่า
เราควรลงทุนเพิ่มหรือไม่ เพราะเหตุใด
ทุกท่านช่วยแสดงความคิดเห็นหน่อยนะค่ะ อย่างน้อยครึ่งหน้ากระดาษ ค่ะ ขอบคุณล่วงหน้านะค่ะ