Group Blog
 
 
มีนาคม 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
12 มีนาคม 2552
 
All Blogs
 
การพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน



กระแสการวัดคนที่ผลงานเริ่มแรงขึ้นทุกขณะ ไม่ใช่เพียงภาคเอกชนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงหน่วยงานภาครัฐก็เริ่มนำเอาแนวคิดนี้มาใช้อย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ความแรงของกระแสดังกล่าวนี้คงไม่มีใครสามารถหยุดมันได้ ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าแล้วเราในฐานะคนทำงานจะต้องปรับตัวอย่างไรบ้างจึงจะไม่พลาดตกจากกระแสที่เชี่ยวกรากนี้

เป็นธรรมดาที่ถ้าไม่มีการแข่งขัน การพัฒนาจะมีน้อยหรือไม่มีเลย ชีวิตเราก็เช่นกันถ้าไม่มีอะไรมีบีบบังคับ เรามักจะปล่อยชีวิตไปเรื่อยๆสบายๆ การแข่งขันนี้มิได้หมายความเพียงแต่การแข่งกับผู้อื่น แต่รวมถึงการแข่งขันกับตัวเอง แข่งขันกับเวลา หรือแข่งขันกับสถิติ

ตัวอย่างง่ายๆที่เราเห็นได้ชัดเจนคือ ถ้าเราเดินทางไปที่ไหนสักแห่งหนึ่งโดยไม่มีการกำหนดเวลาว่าจะไปถึงเมื่อไหร่ พฤติกรรมการเดินทางของเราจะไม่เร่งรีบ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไปเรื่อยๆ พบเห็นอะไรที่อยู่ระหว่างทางน่าสนใจก็แวะดูก่อน แต่ถ้าเรามีนัดที่สำคัญต้องไปให้ถึงภายในเวลาที่กำหนด ถ้าไปไม่ทัน เราอาจจะพลาดโอกาสที่สำคัญในชีวิต พฤติกรรมการเดินทางของเราจะเปลี่ยนไปทันที เราเริ่มวางแผนการเดินทางล่วงหน้า เราเริ่มเตรียมตัวเพื่อการเดินทางมากขึ้น และในระหว่างเดินทาง เราก็ใช้สมองคิดอยู่ตลอดเวลาว่าเราจะเดินทางไปให้ถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างไร ยิ่งถ้ามีปัญหาอุปสรรคเข้ามาขัดขวางอีก เช่น ฝนตกถนนลื่น ขับรถเร็วไม่ได้ รถติด ฯลฯ ยิ่งจะทำให้เราใช้สมองพัฒนาความคิดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเดินทางมากยิ่งขึ้น

แน่นอนว่ามีคนๆหนึ่งผ่านชีวิตในการเดินทางแบบมีเป้าหมายและมีปัญหาอุปสรรคมากมายมาโดยตลอด กับอีกคนหนึ่งที่ชีวิตส่วนมากเดินทางแบบสบายๆไม่มีปัญหาอุปสรรคอะไร ถ้าจับสองคนนี้มาแข่งขันกันโดยมีการจับเวลา รับรองได้เลยว่าคนแรกจะมีโอกาสชนะสูงมาก

ในชีวิตการทำงานก็เช่นเดียวกัน เราต้องฝึกตั้งเป้าหมายในการทำงานอยู่ตลอดเวลา ต้องมีการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานอย่างต่อเนื่อง ถ้าเรามีสิ่งนี้อยู่ในตัวเองแล้ว อย่าไปกลัวเรื่องการตกงาน อย่าไปกลัวเรื่องความไม่ก้าวหน้าในอาชีพ ในช่วงภาวะวิกฤติเศรษฐกิจที่ผ่านมา เราได้เห็นตัวอย่างของคนในองค์กรต่างๆมามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในองค์กรที่ขายกิจการให้กับต่างชาติ เมื่อผู้บริหารของต่างชาติเข้ามา ปรากฎว่ามีการทดสอบเพื่อคัดเลือกบุคลากรเข้าทำงานต่อหรือเพื่อเลิกจ้างโดยจ่ายเงินชดเชยให้ ดังนั้น ใครที่ไม่เคยพัฒนาตัวเองมาก่อน คงไม่สามารถพัฒนาตัวเองให้มีความรู้ขึ้นมาอย่างทันตาเห็นภายในระยะเวลาอันสั้นได้ เช่น เขาทดสอบภาษาอังกฤษ รับรองได้เลยว่าถึงแม้เราจะมีเงินเป็นล้านๆก็คงไม่สามารถซื้อชิปมาฝังในหัวเราแล้วทำให้เราพูด อ่าน เขียน ภาษาอังกฤษได้ทันที ไม่เหมือนกับคนที่มีการพัฒนาตัวเองด้านภาษาอังกฤษมาโดยตลอด


สำหรับประเด็นสำคัญในการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงาน ขอแนะนำเทคนิค 5 ข้อดังนี้

ตั้งเป้าหมายในการพัฒนางาน

การทำงานในแต่ละช่วงเวลาต้องมีการกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจนว่าเราต้องการจะไปถึง ณ จุดใด เช่น ปีนี้เราต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ได้อย่างน้อย 20

คิดและทำอย่างเป็นระบบ

วิธีการง่ายๆในการพัฒนาระบบงานคือ ลองกำหนดว่างานแต่ละงานต้องทำอะไรบ้าง ทำไปทำไม กิจกรรมไหนเป็นกิจกรรมหลัก กิจกรรมไหนเป็นกิจกรรมรอง แล้วรองลากเส้นเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมต่างๆดูว่าเป็นอย่างไร อะไรเป็นหัวใจสำคัญของงานนั้นๆ อะไรเป็นจุดที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ จุดเริ่มต้นอยู่ที่ไหน จุดสิ้นสุดอยู่ที่ไหน สิ่งที่องค์กรต้องการจากงานนั้นๆคืออะไร แล้วให้ลองเขียนเป็นคู่มือวิธีการในการปฏิบัติงานเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อนำไปปฏิบัติดู ถ้าติดขัดตรงไหนก็ให้แก้ไขที่คู่มือ นำไปใช้จนเกิดเป็นนิสัย ไม่ใช้ทำงานแบบอาศัย “กึ๋นและเก๋า” เพียงอย่างเดียว หรืออาศัยประสบการณ์เดิมเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัย “ระบบ” ให้มากยิ่งขึ้น

จัดลำดับความสำคัญของงานก่อนลงมือทำ

เวลาในการทำงานที่เราสูญเสียไปส่วนมากมักจะเสียไปกับการจัดลำดับในการทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ปัญหานี้สามารถแก้ได้โดยการจัดลำดับความสำคัญของงาน โดยพิจารณาจากปัจจัย 2 อย่างคือ “ความสำคัญ” และ “ความเร่งด่วน” งานไหนสำคัญมากเร่งด่วนมากทำก่อน งานไหนสำคัญมากเร่งด่วนน้อย อาจจะมอบหมายให้ลูกน้องมือดีทำไปก่อน งานไหนสำคัญน้อยแต่เร่งด่วนมาก มอบหมายให้ลูกน้องที่ทำงานเร็วไปทำ หรือถ้าเราไม่มีลูกน้องก็รีบๆทำให้เสร็จไปก่อนในเวลาอันสั้นไม่ต้องไปพิถีพิถันมันมากนัก (เพราะสำคัญน้อย) ถ้างานไหนสำคัญก็น้อยและไม่เร่งด่วนให้พิจารณาดูว่าตัดออกไปได้บ้างหรือไม่ไม่ต้องทำ ไม่ต้องรับเข้ามา ถ้าต้องทำก็ให้จดบันทึกไว้ก่อน มีเวลาแล้วค่อยมานั่งเคลียร์ทีเดียว เช่น หลังเลิกงาน หรือวันที่มีงานน้อยๆ

วางแผนนานๆทำงานน้อยๆ

ใครก็ตามที่ไม่ชอบวางแผนในการทำงาน คิดว่างานนั้นเคยทำมาแล้ว งานนั้นไม่ยาก ระวังคุณจะติดกับดักของ “หลุมพรางการสร้างนิสัยที่ไม่ดี” เมื่อติดแล้วคุณจะแกะออกลำบากเหมือนติดกาวตราช้างเลยนะครับ ขอแนะนำว่าเราควรใช้เวลาในการวางแผนงาน (ไม่ว่างานเก่าหรืองานใหม่) ให้มากๆ คิดให้รอบคอบ คิดหลายๆมุมหลายแนวทาง หลายทางออก และหลากหลายทางเลือก เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของแต่ละทางเลือก เพื่อให้มั่นใจว่าเราจะไม่ต้องมานั่งเสียดายในภายหลัง ถ้าเราวางแผนการทำงานที่ดีแล้ว เมื่อลงมือปฏิบัติจะใช้เวลาน้อยลง ประสิทธิภาพของงานจะเพิ่มขึ้น

วันนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน พรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้

การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีไม่จำเป็นต้องมีการปรับปรุงงานที่ใหญ่โต เปลี่ยนแปลงทั้งระบบ แต่ต้องมีการทบทวนกระบวนการและวิธีการทำงานเป็นระยะๆ เช่น ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน ว่าการทำงานในเรื่องนั้นๆ ยังไม่ข้อบกพร่อง มีปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำๆกันบ่อยตรงไหนบ้าง หรือถ้าไม่มีปัญหาให้คิดว่าทำอย่างไรงานในแต่ละอย่างจึงจะทำให้เร็วขึ้น ผิดน้อยลง ใช้ทรัพยากรน้อยลงได้บ้าง การปรับปรุงแบบค่อยเป็นค่อยไปนี้เราอาจจะไม่เห็นผลทันตาทันที แต่จะส่งผลในการทำงานระยะยาว


สรุป การพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานไม่ใช่เรื่องยาก แต่ยากที่จะเริ่มลงมือคิดลงมือทำมากกว่า และถ้าใครยังไม่มีแรงจูงใจในการพัฒนางาน มัวแต่คิดว่าทำไปก็เท่านั้น ผลงานเท่าเดิม หัวหน้าไม่เห็นความสำคัญ ฯลฯ ขอแนะนำให้คิดเสียใหม่ว่าทุกครั้งที่เราพัฒนางานเหมือนกับการที่เรายืมงาน อุปกรณ์ เวลา และเครื่องมือต่างๆขององค์กรมาใช้ในการฝึกสมองของเราแบบที่เราไม่ต้องลงทุนอะไรเลย สำหรับผลงานที่ออกมาเป็นเพียง “ผลพลอยได้” เท่านั้น แล้วเราจะมีความอยากในการพัฒนางานมากยิ่งขึ้น การคิดแบบนี้ถือเป็นการหลอกตัวเองในระดับพื้นฐาน แต่สำหรับคนบางคนอาจจะยังไม่ได้ผล ขอแนะนำให้ลองหลอกตัวเองเพิ่มขึ้นไปอีกหนึ่งชั้นคือ ถ้าเราพัฒนาตัวเองแล้ว เราจะเปลี่ยนงานได้ง่ายขึ้น ได้งานที่ดีขึ้น มีเงินเดือนมากขึ้น ลูกเราจะได้ดูเราเป็นตัวอย่าง โอกาสที่คนที่เราหมายปองจะหันมามองเรามีมากขึ้นเพราะหน้าที่การงานการเงินเราดีขึ้น ฯลฯ พูดง่ายๆคือนำเอาระดับความสามารถของเราที่จะเกิดจากการพัฒนางานไปผูกติดกับเป้าหมายในชีวิตที่มีระดับความต้องการสูงๆ เพื่อแปลงเป็นแรงจูงใจภายให้กับตัวเอง ผมมีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าศักยภาพของคนมีสูงมาก เพียงแต่ใครจะดึงมันออกมาใช้ได้มากกว่ากันเท่านั้นเอง


“ศักยภาพอันยิ่งใหญ่ ไม่ต้องไปแสวงหาจากที่ไหน มันซ่อนอยู่ในใจของตัวเราเอง”


ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ต้องการชี้ให้เห็นประเด็นที่ว่าทำไมเราต้องมีการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานอยู่ตลอดเวลา ผลตอบแทนสูงสุดที่เราได้จากการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงาน ไม่ได้อยู่ที่ผลงานของเราหรือผลงานของหัวหน้า ขององค์กร แต่อยู่ที่ศักยภาพของสมองของเรามีการพัฒนามากขึ้นมากกว่า ถ้าสมองมีศักยภาพสูงขึ้นแล้ว การที่เราต้องการเงินเดือนเท่าไหร่ เราต้องการตำแหน่งอะไร เราต้องการทำงานกับองค์กรไหน ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

การตั้งเป้าหมายว่าต้องลดค่าใช้จ่ายในการทำงานลง 10% หรือตั้งเป้าหมายว่าผลงานเราจะต้องได้เกรด A หรือ ตั้งเป้าหมายเป็นพนักงานดีเด่นแห่งปีขององค์กร การตั้งเป้าหมายนี้เปรียบเสมือนการจุดไฟแห่งแรงจูงใจในการทำงาน เพราะเราสามารถตอบตัวเองได้ว่าที่เราทำงานหนัก เราขยันทำงานนี้เพื่ออะไร

//www.peoplevalue.co.th


Create Date : 12 มีนาคม 2552
Last Update : 12 มีนาคม 2552 15:20:54 น. 6 comments
Counter : 1758 Pageviews.

 
บางทีชีวิตก็มะได้เป็งอย่างที่คิด
ขอให้มีความสุข เท่าที่หัวใจ อยากมีนะคับ

โจ...พลังชีวิต


โดย: พลังชีวิต วันที่: 12 มีนาคม 2552 เวลา:23:00:13 น.  

 


โดย: wbj วันที่: 30 กรกฎาคม 2552 เวลา:16:31:17 น.  

 
เยี่ยมครับ


โดย: ฤทธิชัย วันที่: 31 กรกฎาคม 2552 เวลา:8:45:28 น.  

 
ขอบคุณจริงๆ


โดย: benjawan_b (Benjawan_B ) วันที่: 31 กรกฎาคม 2552 เวลา:11:53:37 น.  

 
ลงมือทำ อย่างตั้งใจ ความสำเร็จย่อมเกิดขึ้นเสมอ อิอิอิอิ


โดย: ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน IP: 118.172.110.243 วันที่: 2 กันยายน 2553 เวลา:21:33:59 น.  

 
งง


โดย: รัก IP: 14.207.94.108 วันที่: 28 พฤษภาคม 2554 เวลา:14:50:27 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Benjawan_B
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 93 คน [?]




วิทยากร, ที่ปรึกษาธุรกิจ ด้านการบริหารและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (HRM & HRD), การบริหารความเสี่ยงองค์กร, การจัดการมาตรฐานแรงงาน, กฎหมายแรงงาน,เขียนหนังสือและบทความ
New Comments
Friends' blogs
[Add Benjawan_B's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.