Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2552
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
12 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 
奥さん "อ๊กซัง"

“แต่งๆ ไปเถอะ อย่างแกน่ะกลับไปเมืองไทยก็ไม่รู้จะได้แต่งหรือเปล่า” “อยู่ไม่ได้ก็หย่าแล้วกลับมาใช้ชีวิตโสดเมืองไทยต่อได้ เดี๋ยวนี้ใครๆ เขาก็หย่ากัน” “ดีออกจะได้เป็นประวัติในชีวิตว่าครั้งนึงเคยแต่งงาน” เหล่านี้เป็นคำพูดของเพื่อนคนหนึ่งบอกที่พูดกับฉันเมื่อครั้งไปปรึกษาเรื่องที่มีหนุ่มญี่ปุ่นมาขอแต่งงาน

นั่นเป็นแรงผลักดันให้ฉันก้าวเข้ามาเริ่มต้นลองใช้ชีวิตอ๊กซังหรือภรรยาในภาษาญี่ปุ่น ซึ่งมีความหมายตรงตามตัวอักษรว่า “คุณที่อยู่ข้างใน” มันช่างเหมาะกับสภาพความเป็นจริงของภรรยาคนญี่ปุ่นไม่เว้นแม้กระทั่งคนต่างชาติอย่างฉันจริงๆ

เพื่อนคนญี่ปุ่นคนนึงเคยพูดว่า “เป็นอ๊กซังดีออก ตื่นมาส่งสามีไปทำงาน เสร็จแล้วก็มานั่งๆ นอนๆ เย็นหน่อยก็ออกไปซื้อกับข้าวมาเตรียมทำกับข้าวรอรับสามี เมื่อสามีกลับมาก็กินข้าว ดูทีวีแล้วก็อาบน้ำนอน เหมือนแม่ฉัน” ฉันฟังแล้วก็เออออตามไป “โซ่เนะ โซ่เนะ(เออเนอะๆ)” ขำขันไปตามน้ำ

และแล้วชีวิตฉันก็มาเป็นวังวนดังเช่นเพื่อนฉันกล่าวไว้ไม่มีผิด ดูเผินๆ ก็เหมือนกับว่าชีวิตมีความสุข เรียบง่าย ราบรื่นไปวันๆ ซึ่งก็คงมีหลายคนที่คิดแบบนี้ แต่สำหรับฉันแล้วมันเรียบง่าย น่าเบื่อ ไม่มีสีสันเอาซะเลย หลายคนที่เคยทำงานมาก่อนแต่งงานคิดเหมือนกัน จนกระทั่งมีลูกนั่นแหละถึงได้กระชุ่มกระชวยมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง ให้ลูกเป็นเสมือนสายลมที่พัดเอาข่าวสาร ความทันสมัยและเชื้อโรคเข้ามาในบ้าน อ้าว ก็เด็กๆ มักจะติดหวัดติดเหามาจากโรงเรียนอ่ะ สำหรับฉันเองถ้ามีลูกก็คงมีชีวิตแบบปกติสุขไปตามสถานะ เป็นวงเวียนไปตามสังคมญี่ปุ่น เลี้ยงลูกด้วยตัวเองเพราะไม่สามารถจ้างแรงงานหน้าไหนมาเลี้ยงแทนได้ จะไปฝากเนอสเซอร์รี่ก็ต้องมีเหตุผล เช่น ทำงาน ฯลฯ กว่าจะเข้าได้ก็แสนยากเย็น

พอลูกโตมาหน่อยก็ต้องพาไป “โคเอนเดบิว” คือ การพาลูกไปเปิดตัวที่สวนหย่อมหรือสนามเด็กเล่นที่ใกล้บ้านที่สุด ให้เด็กๆ ได้มีสังคม มีเพื่อนฝูง และตัวแม่เองก็จะได้มีเพื่อนที่เป็นแม่ๆ ด้วยกันไปด้วย ลองไม่พาไปสิ เวลาเกิดอะไรกับลูกคนแถวนั้นก็จะทำไม่รู้ไม่ชี้ ก็ฉันไม่รู้จักนี่นา อยู่มาก็หลายปีไม่เคยทักทายฉันเลย ฯลฯ คุณก็จะถูกเพื่อนบ้านประเมินความเป็นคนของคุณไปแบบเย็นชา มีคนเล่าให้ฟังว่าสังคมในโรงเรียนของเด็กญี่ปุ่นมีการ “อิจิเมะ(กลั่นแกล้ง)” กันจริงๆ ตัวพี่ที่เล่าเป็นคนไทยที่ให้ลูกเรียนในโรงเรียนญี่ปุ่น ลูกพี่เขาเคยถูกเพื่อนเอาข้าวปาหน้า ด้วยเหตุเพียงเพราะเป็นเด็กต่างชาติ

เมื่อลูกโตจนได้เวลาเข้าเรียนก็ต้องแข่งขันกันเพื่อให้ได้โรงเรียนที่ดี เป็นการสร้างฐานเพื่อต่อยอดไปยังการศึกษาในระดับสูง ที่ทำงานที่มั่นคง เพื่ออนาคตที่ดีของลูก แม่บางคนลืมตัวไม่ได้คิดถึงอนาคตของลูกหรอก คิดแต่ว่าให้ลูกมันได้ดีเราจะได้ไม่อายชาวบ้าน ทั้งนี้ คนเป็นแม่ก็ต้องเคลื่อนไหวไปตามลูก เมื่อลูกเป็นนักเรียนผู้ปกครองก็ต้องมีการบ้านไปด้วย ลูกเข้าอนุบาลก็ต้องทำถุงนอนให้ลูกเอาไปโรงเรียน จะแสดงละครโรงเรียนก็ต้องทำชุดที่ลูกจะใช้แสดง จะเล่นกีฬาสีก็ต้องไปเล่นกีฬาด้วย ฯลฯ นี่ยังไม่นับการประชุมผู้ปกครองที่มีบ่อยมาก ไหนจะบาซาร์เปิดโรงเรียนขายของ และกิจกรรมอื่นๆ อีกเยอะแยะตาแปะไก่ เพื่อแสดงให้ลูกเห็นว่าแม่นั้นรักลูก แอบคิดในแง่ร้ายว่าถ้าแม่คนไหนไม่ร่วมกิจกรรมตามที่โรงเรียนขอมาลูกคงจะกลายเป็นแกะดำ เกิดเป็นรอยร้าวในจิตใจง่ายขึ้นไปอีกหรือเปล่า ซึ่งคนเป็นแม่ก็ต้องเคลื่อนไหวกันไปจนกว่าลูกจะหางานมีเงินใช้ได้เองนั่นแหละ

เมื่อถึงเวลาที่ลูกกระพือปีกออกจากรังไปหาเลี้ยงตัวเองได้แล้วนั้นนั้น คนเป็นแม่ถึงจะมีเวลาเป็นของตัวเองทำในสิ่งที่อยากทำ แต่เวลามันก็ได้ล่วงเลยมามากแล้ว ที่เคยอยากทำงานเป็นเจ้าคนนายคน ดันเอาเวลาทั้งหมดไปให้กับลูกซะหมดแล้ว กว่าจะหาสิ่งที่ตัวเองอยากทำได้ก็มีแต่พวกงานอดิเรก ระบำญี่ปุ่น จัดดอกไม้ ชงชา งานฝีมือเย็บปักถักร้อย หลายคนที่เคยมาญี่ปุ่นคงสังเกตุเห็นได้ว่านางรำญี่ปุ่นมีแต่ผู้สูงอายุ เหตุผลก็คือคนที่มีเวลามาฝึกซ้อมรำได้ก็มีแต่ผู้สูงอายุที่ปลดระวางจากการเลี้ยงลูก ส่วนพวกวัยรุ่นเขาก็ไปตามหาฝันตามประสาเขากัน

อ๊กซังบางคนเมื่อลูกโตทำงานได้ สามีเกษียณจากที่ทำงาน ก็ขอหย่าขาดแยกทางกับสามีทันที แล้วยังเอาเงินบำนาญของสามีที่สมควรได้ตามกฎหมายไปด้วย เพราะทนไม่ไหวกับการอุทิศชีวิตทั้งชีวิตลูกและสามี ที่เก็บมานานไม่ยอมหย่านั้นก็เพราะหย่าไปก็ไม่มีใครเลี้ยง จะให้ไปหางานทำ สังคมญี่ปุ่นยังไม่ทันสมัยและไม่เข้มแข็งพอที่จะให้โอกาสคนที่คิดจะหันกลับเข้ามาทำงานได้อีกครั้ง

ทั้งหมดนั่นเป็นภาพที่ฉันวาดไว้ในใจเมื่อหลวมตัวแต่งงานมาอยู่ญี่ปุ่นได้สักพัก ตามความรู้ที่ฉันประสบได้เองจากการใช้ชีวิตเป็นนักเรียนญี่ปุ่น ๒ -๓ ปี เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉันก็ตัดสินใจที่จะหางานทำ แต่ตอนเรียนจบใหม่ๆ พอพลาดหวังไม่ได้งานจากบริษัทแห่งหนึ่งในญี่ปุ่นที่ฉันอยากเข้าไปทำงานมาก ฉันก็เลิกหางานบริษัทในญี่ปุ่นทันที หันมาทำงานล่าม งานอิสระทั่วไปแล้วแต่จะมีคนจ้างตามความชอบและความถนัดของตัวเอง ซึ่งก็พอจะมีงานอยู่บ้างอย่างน้อยก็ทุกเดือน ถึงแม้จะไม่มากแต่ก็พอทำให้ชีวิตไม่เวิ้งมากนัก นั่นเป็นความโชคดีที่ฉันจบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านภาษาญี่ปุ่นในประเทศญี่ปุ่นมา แต่กระนั้นก็ยังหางานยาก ไม่อยากจะบอกว่าขนาดฟังพูดอ่านเขียนภาษาญี่ปุ่นได้ในระดับนึงแล้วก็ยังอยู่ญี่ปุ่นยากลำบากเลย ฉันจะแอบปรี๊ดแตกทุกครั้งที่ได้ยินคนบ่นไม่อยากทำงาน คุณยังไม่รู้จักความสุขของการทำงาน ไม่รู้จักคุณค่าของงานดีพอ หากวันใดคุณไม่มีงานทำสมใจอยากแล้ว จะรู้สึกได้ว่าความเวิ้งเป็นอย่างไร

อ๊กซังบางคนที่โชคดีได้แต่งงานกับหนุ่มญี่ปุ่นที่มีฐานะ มีตำแหน่งหน้าที่การงานและเงินเดือนดี อันหลังสำคัญ บางคนใหญ่แต่ตำแหน่งแต่เงินเดือนน้อยนิด แถมมีเวลาให้อ๊กซังน้อยอีกเพราะบริษัทเล็กต้องทำงานมากกว่าคนอื่นเขา ถ้ารวยจริงก็สบายไป วันๆ ก็เฉิดไฉไลตามร้านอาหารกิ๊ฟเก๋แถวโอะโมะเทะซันโด รปปงหงิ อยู่แมนชั่นแพงๆ เรียกเพื่อนให้มาชมความมั่งคั่งของตัวเอง เพื่อนในที่นี้บางคนก็เป็นแบบว่าหากอยู่เมืองไทยฉันคงไม่คบแกเป็นเพื่อนหรอก แต่ที่นี่มีคนให้คบน้อยก็ต้องทนๆ คบกันไป

สามีอ๊กซังคนไหนมีโอกาสได้ไปทำงานที่เมืองไทยก็จะยิ่งเพิ่มสเตตัสให้อ๊กซังเป็นอย่างมาก บ้านพักก็อยู่สุขุมวิท มีคนรับใช้ คนขับรถไว้ให้พร้อมสรรพ ใช้ชีวิตแบบราชินีได้ในบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง คาดว่าช่วงนี้น่าจะเป็นช่วงที่แฮปปี้ที่สุดแล้วในชีวิต

พักหลังเวลาที่เห็นคนเข้ามาตั้งกระทู้ในพันทิพว่าแฟนชาวญี่ปุ่นจะพามาญี่ปุ่นเพื่อแนะนำให้พ่อแม่แฟนได้รู้จัก แล้วก็เกิดความรู้สึกหวานแหววในจิตใจ โลกทั้งใบเป็นสีชมพูตามไปด้วย พาลให้คิดถึงตอนตัวเองจะไปแนะนำตัวกับพ่อแม่สามีเหมือนกัน แต่ถ้าจะให้แนะนำในฐานะรุ่นพี่ที่ผ่านน้ำอนเซนมาก่อนแล้วนั้น ก็อยากให้คิดดีๆ โดยเฉพาะคนที่พูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ หากคุณเป็นคนชอบทำงาน เคยมีงานทำที่ดี และหวังว่าแต่งงานแล้วจะตั้งใจเรียนภาษาญี่ปุ่น หางานทำในญี่ปุ่นให้ได้... อยากให้คิดดีๆ เพราะมันไม่ได้สวยงามอย่างที่วาดไว้ แต่ถ้าใครไม่ได้คิดอะไรมาก สามารถอยู่แบบเวิ้งๆ เป็นแม่บ้านที่พร้อมอุทิศตัวเพื่อสามีและครอบครัวที่รักได้อย่างเต็มตัวก็ดีไป

อ้อ อีกอย่างที่จะตามมาเมื่อแต่งงานกับชาวญี่ปุ่นคือคุณจะได้ชื่อใหม่ว่า “อ๊กซัง” ไม่ว่าจะเดินไปตลาด ห้าง ร้านค้า ใครเห็นใครก็จะทักคุณว่า “อ๊กซัง” คนแถวบ้านเองก็เถอะอย่านึกว่าเขาจะรู้จักชื่อกันนะ เวลาเม้าท์ก็เห็นเรียกกันแต่ “อะโนะอ๊กซัง โฮะร่า ยะมะดะซังโนะอ๊กซัง(ภรรยาบ้านนั้นไง ใครนะ ภรรยาคุณยะมะดะไง)” ไม่ได้มีใครรู้จักชื่อคุณจริงหรอก

จะว่าไปผู้ชายญี่ปุ่นหัวสมัยใหม่ที่ไม่บังคับให้อ๊กซังอยู่บ้านเฝ้าเรือนก็มีมากขึ้น อย่างสามีฉันเป็นคนน่ารักมาก ไม่เคยปริปากบ่นเรื่องที่ฉันต้องไปค้างอ้างแรมต่างจังหวัดหลายคืนเพราะต้องตามคณะชาวไทยที่มาญี่ปุ่นไปโน่นไปนี่บ่อยๆ ข้าวปลาอาหารก็กินง่าย เวลาไม่อยู่ก็กินข้าวกล่องซุปเปอร์หรือร้านสะดวกซื้อได้อย่างเต็มใจ เอ..หรือมันจะอร่อยกว่าอาหารฝีมือฉัน...

ผู้ชายญี่ปุ่นที่หัวโบราณบางคนมีความคิดว่าอ๊กซังมีหน้าที่ทำให้บ้านอุ่น เพราะเมื่อมีคนอยู่บ้านโดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาวก็มีคนเปิดฮีทเตอร์อุ่นบ้านรอ ทำกับข้าวอุ่นๆรอ อุ่นน้ำให้อาบก่อนเข้านอน หรืออีกนัยนึงก็มีความหมายว่าอ๊กซังต้องเป็นผู้ให้ความอบอุ่นแก่ทุกคนในบ้าน แค่ขอให้อยู่บ้านก็พอ

ทั้งนี้ทั้งนั้นท่าจะให้เล่าเรื่องราวชีวิตอ๊กซังในญี่ปุ่นทั้งแบบที่เป็นคนญี่ปุ่นจริงๆ หรือที่เป็นคนไทยอย่างเราก็คงมีอีกมากที่ฉันได้เห็นได้ยินมา ก็คงหาที่จบไม่ได้ เอาเป็นว่าการเป็นอ๊กซังในญี่ปุ่นนั้นมีหลายแบบ ก็แล้วแต่ความพอใจของแต่ละคนว่าจะเลือกให้ตัวเองเป็นอ๊กซังแบบไหน คุณสามารถออกแบบชีวิตคุณได้ด้วยตัวคุณเอง



Create Date : 12 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2552 16:38:12 น. 1 comments
Counter : 7874 Pageviews.

 
ขอบคุณค่ะ เก่งเข้ามาอ่านแล้วได้ความรู้มากขึ้นเลยค่ะ


โดย: เก่ง (keng_toshi ) วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:22:32:35 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

peeko
Location :
กรุงเทพ Japan

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add peeko's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.