มรกตนาคสวาท : แมวๆ พิคเจอร์

ขอได้รับความขอบคุณจากแมวๆ พิคเจอร์เช่นเคยค่ะ
<<
กันยายน 2552
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
20 กันยายน 2552
 
 
..เมื่อเข่ออ้ายเตอะเสี่ยวมาหยากลับไปเยือนจงกั๋วอีกครั้ง : พิชิตยอดเขาหิมะมังกรหยก..



ความเดิมตอนที่แล้ว เรามาถึงเมืองลี่เจียงแล้วค่ะ ..เมื่อเข่ออ้ายเตอะเสี่ยวมาหยากลับไปเยือนจงกั๋วอีกครั้ง : ชิมชาที่หมู่บ้านไป๋แล้วไปต่อยังลี่เจียง.. หลังจากเดินชมเมืองเก่าลี่เจียงยามค่ำ (ที่บรรยากาศคล้ายไนท์บาซ่าร์บ้านเรา) แล้ว ก็กลับมานอนหลับพักผ่อนเป็นสุขค่ะ

เช้าวันที่สามของการเหยียบแผ่นดินจงกั๋วประเทศ คุณไกด์จันทรานัดสมาชิกเจอกันตอนเจ็ดโมงเช้า เพื่อออกเดินทางไปชมยอดเขาหิมะมังกรหยกสำหรับกลุ่มของเราค่ะ

หลังจากรับประทานข้าวเสร็จพอจะมีเวลาเหลืออยู่นิดหน่อย มาหยาเลยออกเดินมาชมเมืองลี่เจียงยามเช้าหน้าโรงแรมแว้บๆ ค่ะ รู้สึกว่า บรรยากาศคนละเรื่องกับยามค่ำเลย ^^"

อย่างไรก็ตาม เช้านี้ ฟ้ายังคงขาวแหงง จนเราคิดกันว่า ถ้าขึ้นไปบนยอดเขาแล้ว มีฝนตกหนักหรือแม้แต่ฝนพรำๆ คงไม่สนุกเป็นแม่นมั่น ทุกคนพากันอธิษฐานอยู่ในใจว่า ขอให้ฟ้าแจ่มๆ ทีเถิด เพี้ยง เพี้ยง เพี้ยง



มาหยาเป็นคนที่ชอบทำอะไรซ้ำๆ เดิมๆ จึงมักถ่ายมุมเดิม ที่ต่างกันแค่เงยกล้องขึ้นมาเพียงนิด กับกดกล้องลงไปอีกหน่อยเท่านั้นเอง เฮ่อ ไม่รู้เมื่อไรจะหายจากนิสัยนี้

เพียงแต่คิดว่า ภาพแรกเราเห็นเงาสะท้อนต้นไม้ในน้ำแล้ว ภาพนี้เราอยากได้ต้นไม้ต้นหน้าเยอะๆ หน่อย ไม่สนใจเงาในน้ำเท่านั้นเอง ซึ่งพอเอามาดูแล้ว ก็รู้สึกว่า ชอบภาพแรกมากกว่านิดนึง ไม่รู้ว่าผู้ชมจะชอบภาพใดมากกว่ากัน



ลองแบบมุมตรงๆ ข้างโรงแรมบ้างดีกว่า สำหรับมาหยาแล้ว ภาพนี้ให้ความรู้สึกว่าเป็นเมืองจีนยามเช้าอย่างไรบอกไม่ถูก มีจักรยาน มีตึกเก่าๆ มีคนจีน มีน้ำ มีสีสัน ยามเช้าที่สดใส น่าจะทำให้เราสดใสไปทั้งวัน แม้ว่าฝนจะเริ่มพรำๆ อีกแล้วก็ตามที



สักแป๊บเดียวคุณไกด์จันทราก็เรียกพวกเราขึ้นรถ แล้วคนขับก็ขับรถออกมาจากโรงแรม มุ่งหน้าไปยังภูเขาหิมะมังกรหยกทันทีค่ะ ระหว่างทางยามเช้า ยังคงเห็นผู้คนออกเดินทางจากบ้าน (เขาไปไหนกันนะ) มองไปก็คิดถึงตัวเองว่า แล้วเราล่ะ กำลังจะไปไหน และไปทำอะไร เพื่ออะไรกัน

มองลงไปริมถนน เจอชายชาวจีนท่านนี้กำลังพาลูกน้อยซ้อนท้ายไปทำธุระกระมัง เห็นภาพแล้วรู้สึกอบอุ่นดีค่ะ เลยเก็บบันทึกไว้ในความทรงจำและในหน่วยความจำของกล้องถ่ายรูปของเรา



คุณไกด์พาสมาชิกทริปไปจนถึงทางขึ้นกระเช้า โดยแบ่งพวกเราเป็นสองกลุ่ม กลุ่มมาหยาเป็นกลุ่มเล็ก เดินทางเพียงสี่คน จะไปขึ้นกระเช้าใหญ่ ไปที่ยอดภูเขาหิมะมังกรหยก แต่อีกกลุ่มสิบกว่าคน จะไปขึ้นกระเช้าเล็ก ไปยังทุ่งหญ้าเพื่อชมวิวยอดเขาหิมะมังกรหยกอีกด้านหนึ่งค่ะ


ระหว่างรอคุณไกด์ท้องถิ่นซื้อบัตรขึ้นกระเช้าใหญ่ให้กับเรา มาหยาก็เดินเตร็ดเตร่ไปมาเจอเจ้าเหยี่ยว (หรือนกอินทรีหว่า) ที่ถูกผูกขาอยู่ใกล้ๆ ทางเข้า เลยไปยืนถ่ายรูปมันมาสักหน่อย หน้าตามันดูโนะเนะดีจัง แต่มันคงเศร้าเพราะถูกพันธนาการเช่นนี้ แทนที่จะได้โบยบินสู่ฟ้ากว้างเนาะ



จากนั้นเราก็เดินเข้าไปรอยังสถานีรถรับ-ส่งที่จะพาเราไปขึ้นกระเช้าใหญ่ ที่ความสูง 3,356 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง เพื่อที่จะขึ้นไปสู่ยอดเขาที่ความสูงระดับ 4,506 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลางต่อไป มาหยามองออกไปนอกหน้าต่างเห็นต้นสน และไอน้ำที่เกาะกระจกหมองๆ อยู่ มันให้อารมณ์เหงาๆ ดีจัง



รถบัสพาเราไปตามทางขึ้นสู่ยอดเขาที่วกวน และยังคงเป็นป่าค่อนข้างสมบูรณ์อยู่ รู้สึกเหมือนๆ จะเริ่มเมารถ และเริ่มรู้สึกจริงๆ ว่าอากาศเบาบางลงเรื่อยๆ (มันคงเป็นอุปาทาน) ในที่สุด รถบัสก็มาจอดที่หน้าสถานีกระเช้า ที่ความสูง 3,356 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง

ที่นี่จะเห็นว่ามีทัวร์นักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนมากมาเข้าแถวรอขึ้นกระเช้า คุณไกด์บอกว่า วันนี้คนค่อนข้างน้อย (กระนั้นเราก็เข้าแถวรออยู่ราวๆ หนึ่งชั่วโมงเต็มๆ) นักท่องเที่ยวพากันไปถ่ายรูปกับป้ายหลักความสูง จะสังเกตเห็นว่า นักท่องเที่ยวส่วนมากใส่โค้ตหนากันเต็มที่เตรียมพร้อมรับอากาศเย็นยะเยือกที่ยอดเขา เนื่องจากมีคำเตือนมาว่า วันก่อนที่เราจะขึ้นมานั้น ฝนตกหนักมาก เป็นไปได้ว่าวันนี้จะอากาศเย็นมาก เขาจึงพากันเช่าเสื้อโค้ตตัวหนายาวมาใส่กันเป็นกลุ่มๆ แต่เราไม่ได้คิดว่าจะหนาวขนาดนั้น เซนส์มันบอก จึงใส่โค้ตสีชมพูตัวบางทับกับเสื้อยืดหนา แล้วก็กางเกงยืนส์หนาๆ เท่านั้นค่ะ

ที่นี่เราพบปัญหาการแซงคิว และความไร้ระเบียบของนักท่องเที่ยวชาวจีนนิดหน่อย ไกด์ของหลายๆ กลุ่มตะโกนด่ากันโหวกเหวกโวยวาย ถึงขั้นเรียกเจ้าหน้าที่มาพูดคุย แล้วทุกอย่างก็จบลงได้ด้วยดีค่ะ


นึกว่าจะได้ดูมวยฟรีที่ยอดเขาซะแล้วสิ



หลังจากรอคอยมาแสนนาน (ชั่วโมงกว่าๆ) คุณไกด์จันทราบอกว่า บางครั้งเขาพาลูกทัวร์มาต้องรอนานถึงสามหรือสี่ชั่วโมงก็มี (อึ๋ย เราโชคดีใช่ไหมเนี่ย หงิหงิ) เราก็ถึงคิวขึ้นกระเช้าใหญ่ ที่นั่งได้ทีละหกคน (คุณไกด์จันทราบอกว่า กระเช้าเล็กที่อีกทีมไปนั้น นั่งได้แปดคน - อ้าวตกลงอันไหนใหญ่ อันไหนเล็กล่ะเนี่ย มาหยาสับสน) ทีมเรามีสี่คน เลยได้นั่งรวมกับคู่รักชาวจีนอีกสองคน ขึ้นไปพร้อมกัน ด้วยความหวาดเสียว เพราะกระเช้าที่ขึ้นสูงกว่ายอดสนไปอีกพอสมควร แถมด้านล่างก็เป็นพื้นหินชัดๆ


มาหยาแทบจะหลับตาปี๋ไปตลอดทาง คิดแต่ว่า อย่ามีเหตุขัดข้องอันใดเลยนะ มาหยายังไม่ได้แต่งงาน



หลังจากลืมตาเป็นระยะๆ ก็แอบๆ มองวิวรอบๆ เห็นสายขาวๆ เหมือนแม่น้ำหรือน้ำตกอยู่ไม่ไกล ถามคุณไกด์จันทรา เธอว่าไม่ใช่แม่น้ำนะคะ นั่นคือธารหินไหล ที่จะไหลลงมาเมื่อหิมะละลาย หรือฝนตกหนักๆ แต่เราอยู่ไกลๆ เลยเห็นหินสีขาวๆ เป็นเหมือนแม่น้ำท่ามกลางยอดเขา และนอกจากนี้เราจะเห็นก้อนเมฆปกคลุมยอดเขาเอาไว้ด้วย เดี๋ยวเราจะนั่งกระเช้าผ่านชั้นเมฆขึ้นไปยังยอดเขากันแล้วค่ะ



เหมือนๆ ข้อความบรรยายกับรูปจะสลับกันยังไงก็ไม่รู้ แหะๆ ^^" สงสัยจะเอ๋อๆ แล้ว มาหยาเอ๊ย

หลังจากทะลุชั้นเมฆขึ้นมาที่ระดับความสูง 4,506 เมตร เราเดินออกไปนอกสถานีรถกระเช้า พี่ที่ไปด้วย บ่นเป็นคนแรกว่าพี่หน้ามืด คุณไกด์จันทราเลยรีบพาเข้าในร้านอาหาร แล้วสั่งนมจามรีให้ดื่มทันที จนพี่เขามีอาการดีขึ้น ส่วนเรากับน้องอีกคน ก็เลยเดินเรื่อยๆ ออกมาด้านนอก เจอเข้ากับยอดเขาหินขาวๆ กับฟ้าใสสีน้ำเงินเข้ม เล่นเอาตื่นตะลึงไปชั่วครู่เลยทีเดียว



เราพยายามเดินช้าๆ พูดช้าๆ ตามที่คุณไกด์แนะนำไว้ เนื่องจากบนนี้อากาศเบาบางมาก ต้องค่อยๆ หายใจ เดี๋ยวจะหน้ามืดไปอีกคน มาหยาพยายามเก็บภาพต่างๆ ให้ได้มากที่สุด เสียดายจังที่ช่วงที่เราขึ้นไป โดยเฉพาะวันก่อนที่เราจะไปบนยอดเขานี้ฝนตกหนักมาก ทำให้หิมะที่เคยมีอยู่ทั้งปี ละลายไปจนหมด เราจึงเห็นแต่ภูเขาหินหัวโล้นๆ อย่างนี้ สลับกับปุยเมฆที่ลอยผ่านเราไปเป็นระยะๆ



มีทางไม้แคบๆ เดินต่อไปยังยอดเขาที่สูงขึ้น แต่มาหยากับน้องแล้วก็พี่ที่ไปด้วย ไม่ได้ซื้อออกซิเจนขึ้นไปด้วย เรากลัวว่าร่างกายจะรับไม่ไหว ก็เลยขอเดินชมทิวทัศน์ (ด้วยความหวาดเสียว) อยู่แต่รอบๆ สถานีรถกระเช้าเท่านั้นพอ แหะๆ ผู้คนพากันเดินขึ้นไปสู่ที่สูงยิ่งกว่ากันเรื่อยๆ ไว้สักวันถ้ามีโอกาสมาอีก แล้วแข็งแรงพอ จะเดินขึ้นไปสักที อยากรู้เหมือนกันว่า ที่สุดทางจะมีสิ่งใด



เมืองจีนมีคน และคนก็อยู่ทุกหนทุกแห่ง ขนาดเราหนีขึ้นมาบนยอดเขาที่ความสูงสี่กิโลเมตรกว่าๆ แล้ว ก็ยังมีคนอยู่เต็มไปหมด ช่างน่ากลัวยิ่งนัก เราไม่มีทางหนีคนและความวุ่นวายพ้นเลยหรือนี่ ดังนั้น เราจึงเห็นคนอยู่ทุกหนทุกแห่ง แย่งวิวกันถ่ายรูป แหะๆ เราก็เป็นคนหนึ่งที่ขึ้นไปแย่งวิวกับเขาด้วย แต่แย่งแบบสโลว์โมชั่น เพราะเรากลัวว่าจะขาดออกซิเจนตายไง แหะๆ



เอิ๊ก จะถ่ายทำไมซ้ำไปซ้ำมาล่ะเนี่ย มาหยาเอ๊ย เปลี่ยนมุมบ้าง (เบื่อแล้ว -- ผู้ชมกระทู้นึกในใจ) แต่เสียใจ เรามันพวกตามใจผู้จัด ขัดใจผู้ชม อยู่แล้ว ที่เห็นฟุ้งๆ ในภาพนั้น ไม่ใช่ฝุ่นนะคะ มันคือเมฆชัดๆ เลยค่ะ เมฆที่เคลื่อนตัวผ่านไปผ่านมา เราก็ได้แต่มองตามเมฆ ตาปริบๆ นึกถึงสำนวนไทยที่ว่า "มาเหนือเมฆ" เหมือนตอนนั่งเครื่องบินเลย ^^"

ภูเขาหินเปล่าๆ นี่น่ากลัวเนาะ แม้ว่าจะเป็นสีขาวตัดกับฟ้าสีฟ้าที่เราชอบก็ตาม มันดูอ้างว้างว่างเปล่าเหมือนหัวใจเราตอนนี้เลย



ปุยเมฆชัดๆ อีกที ชีวิตเราก็เบาบางเหมือนอากาศ เหมือนเมฆนั่นแหละเนาะ ไม่แน่นอน ลอยไปลอยมา รู้แค่ว่า ถ้ารวมตัวกันได้เยอะๆ ก็จะกลายเป็นเม็ดฝนลงมาชำระความสกปรกบนพื้นโลก แล้วก็เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับความแห้งผากของผืนดินเหงา

ยามที่อยู่บนผืนดิน เรามองดูเมฆลอยไปลอยมา พอเรามาอยู่ในระดับเดียวกับเมฆจริงๆ เรากลับรู้สึกว่า เมฆเหงาจังหนอ มันเดินทางไปมา มันเหนื่อยไหมหนอ เพราะตอนนี้เราท้อและเหนื่อยเต็มที



อาชีพช่างถ่ายภาพยังคงมีอยู่ทั่วไปบนโลกใบนี้ แม้ว่าพื้นที่ว่าจะอยู่สูงกว่าพื้นปรกติถึงสี่กิโลเมตรกว่าๆ และเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บเย็นยะเยือกก็ตามที แหะๆ เราไม่ใช้บริการคุณนะ เพราะเรามีกล้องของตัวเองแย้ว แต่ว่า เอ่อ ขอถ่ายรูปคุณมาหน่อยก็แล้วกัน ไม่ว่ากันใช่ไหมคะ -- มาหยานึกอยู่ในใจ ตี๋หนุ่มก็ไม่เห็นว่ายังไง ก็เลยกดชัตเตอร์มาเลยค่ะ แหะๆ


เห็นเมฆที่อยู่หลังช่างภาพรายนี้ไหมคะ เมฆปลิวเป็นระยะ ๆ อย่างนี้ตลอดเวลาเลยค่ะ



มองไปด้านหุบเขาบ้าง ไม่เห็นอะไรเลยค่ะ เพราะเต็มไปด้วยปุยเมฆสีเทาๆ ที่ลอยไปลอยมา คงรู้ว่ามาหยากลัวความสูงเอามากๆ แล้วก็กลัวว่าจะหวาดเสียวเกินกว่าจะทำใจได้ซะด้วย

ในความมัวหม่นเราเห็นอะไรบ้างนะ มันทำให้เราคิดอะไรบ้างนะ มาหยาได้แต่ถามตัวเองอยู่ในใจ แม้ลงมาจากยอดเขาหิมะมังกรหยกแล้ว ก็ยังคงครุ่นคิดอยู่ไม่วาย โดยเฉพาะในช่วงที่ชีวิตหม่นๆ อย่างช่วงนี้ หรือบางทีความมัวหม่นที่เราเห็น มันเกิดขึ้นมาเพื่อเปรียบเทียบยามที่สดใส ว่ามันต่างกันมากมายขนาดไหนกันแน่



น้องที่ไปด้วยเรียกไปถ่ายรูปคู่กับเสาหลักที่บอกความสูงตรงจุดที่เรายืนอยู่ แต่ปรากฏว่า นักท่องเที่ยวรอต่อคิวกันยาวเหยียด เราเองก็ไม่ชอบเบียดแย่งกับใคร เลยถ่ายคนอื่นมาแทน การชอบถ่ายภาพ ทำให้เรามีโอกาสอยู่ในภาพน้อยกว่าคนอื่นหรือเปล่านี่ ^^" ได้ภาพหลักความสูง นักท่องเที่ยว และยอดสูงที่สุดของภูเขาหิมะมังกรหยกมาเท่านี้ค่ะ



สักพักเราก็เดินเข้าไปพักที่ร้านอาหารที่อวลไปด้วยกลิ่นเนื้อและนมจามรี ซึ่งฉุนจัดและไม่คุ้นจมูก มาหยาไม่ได้สั่งอะไรมากิน เพราะไม่หิว และไม่อยากรับประทานอะไร นอกจากเคี้ยวหมากฝรั่งเท่านั้นเอง สักพักคุณไกด์จันทราก็เรียกพวกเราให้เตรียมตัวลงจากยอดเขาได้แล้ว เพราะต้องไปพบกับอีกทีมหนึ่ง เราเดินออกมาจากร้านอาหาร มาหยาเริ่มรู้สึกเหมือนกับว่าจะขาดออกซิเจน เพียงแต่รู้สึกเหมือนๆ จะอยากนั่ง แค่นั้นเอง แต่ก็ยังถ่ายภาพที่หน้าสถานีเอาไว้ เป็นภาพย้อนแสงแบบที่ชอบภาพนี้ค่ะ



ระหว่างเข้าแถวรอขึ้นกระเช้าขาลงนั่นเอง หนุ่มตี๋ชาวจีนที่เข้าแถวก่อนหน้าก็หยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ แล้วพ่นควันมาทางหน้ามาหยาพอดี โอย พ่อเจ้าประคุณรุนช่อง ไอ้เวงงงง ขอด่าเป็นภาษาไทยหน่อยเหอะ มาหยาซึ่งเริ่มมีอาการหมดแรงและอยากนั่ง ก็ทรุดลงไปนั่งหน้าซีดทันที

พี่กับน้อง แล้วก็คุณไกด์ที่ไปด้วยค่อนข้างตกใจ แล้วเราก็ไม่ได้ซื้อออกซิเจนขึ้นไปด้วย มาหยาแค่รู้สึกเหมือนคนจะเป็นลม คือ อยากนั่งพัก อาการเดียวกับตอนความดันต่ำกำเริบ แต่น้องที่ไปด้วยบอกว่า มาหยาหน้าซีดจนขาวเหมือนกระดาษ แล้วริมฝีปากก็ดำขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด มาหยาก้มลงมองมือของตัวเอง ก็เห็นว่าที่เล็บเป็นสีดำ เท่านั้นแหละ อาการเหมือนคนจะขาดใจก็บังเกิดทันที นึกสวดอิติปิโสในใจ ว่าหากยังไม่ถึงคราว อย่าได้เอาชีวิตมาทิ้งไว้ต่างบ้านต่างเมืองเลยหนอ

ก็พอดีก้าวเข้าไปในสถานีรถกระเช้าและเหลือคิวอีกเพียงสองสามคน ก็จะถึงคิวเราลงกระเช้าพอดี กลุ่มคนจีนที่พ่นควันบุหรี่ใส่ คงจะสำนึกผิด ก็เลยหลีกทางให้กลุ่มเราสี่คนลงไปก่อน มาหยายังพอยืนไหว ก้าวขาช้าๆ ได้ แต่มันหมดแรง พี่กับน้องที่ไปด้วย ช่วยพยุงเข้าไปในกระเช้า แล้วเราก็ลงมาจากยอดเขากันทันที มาหยาหลับตานิ่งๆ ได้ยินเสียงพี่กับน้อง แล้วก็คุณไกด์คอยบอกเบาว่าๆ ให้หายใจช้าๆ ลึกๆ แล้วจะรู้สึกดีขึ้น มาหยากลืนน้ำลายช้าๆ

ลงมาได้สักครึ่งทาง (กระเช้าขึ้นยอดเขามีระยะทางเกือบๆ หนึ่งกิโลเมตรจากสถานีถึงสถานี) มาหยาก็ดีขึ้น ก็ยังห่วง กลัวจะไม่ได้ถ่ายรูปขาลง เลยหลับหูหลับตา หยิบกล้องขึ้นมา กดชัตเตอร์ด้านหน้ากระเช้าไว้หนึ่งภาพค่ะ แหะๆ เบลอๆ มัวๆ จากกระจกของกระเช้า และความมึนๆ งงๆ ของคนถ่ายภาพค่ะ



เมื่อลงมาถึงสถานีด้านล่าง คุณไกด์และพี่กับน้องที่ไปด้วยกัน รีบพามาหยาเข้าไปนั่งพักในร้านอาหาร ซึ่งอวลไปด้วยกลิ่นเนื้อและนมจามรี (แง้) อาการที่เริ่มดีขึ้น ก็ชักจะไม่ค่อยดีเท่าไร น้องให้จิบน้ำดื่มเปล่าช้าๆ เพิ่มแรง สักพักมาหยาก็ดีขึ้นจนเกือบสมบูรณ์ และพร้อมจะเดินทางกลับไปยังสถานีรถบัสด้านล่างแล้วค่ะ

ประสบการณ์ครั้งนี้คงจะจำไปอีกนาน ว่าคนที่สุขภาพไม่ค่อยดีอย่างเรา ต้องเตรียมพร้อมให้มากกว่านี้ อย่าคิดว่าเราแข็งแรงดีแล้ว เพราะอาจเจอสิ่งที่ไม่คาดคิด แล้วแย่อย่างคราวนี้ก็ได้เช่นกัน



จบช่วงยอดเขาหิมะมังกรหยกแต่เพียงเท่านี้ค่ะ กระทู้หน้าจะพาไปชมอุทยานน้ำหยก และหมู่บ้านชาวน่าซี ที่ผู้หญิงเป็นใหญ่ กันค่ะ






.
.
.


สำหรับทุกๆ ท่านที่ผ่านมาเยือนบล็อกของมาหยา...

ขอได้รับความขอบคุณจากแมวๆ พิคเจอร์เช่นเคยค่ะ













Create Date : 20 กันยายน 2552
Last Update : 20 กันยายน 2552 20:02:00 น. 7 comments
Counter : 2742 Pageviews.

 
อิอิ เจอรูปนี้ เม้นไม่ออก
v
v


โดย: เมี้ยว IP: 118.172.248.235 วันที่: 20 กันยายน 2552 เวลา:20:04:30 น.  

 
เที่ยวอีกละ...


โดย: อ้อครับ IP: 124.120.71.203 วันที่: 20 กันยายน 2552 เวลา:20:08:39 น.  

 
*-*อยากไปมั่งงะ


โดย: snoom IP: 114.128.14.205 วันที่: 20 กันยายน 2552 เวลา:20:15:27 น.  

 
ชอบภาพเหยี่ยวจังเลยครับ อยากเลี้ยงไว้สักตัว ภาพสวยครับ


โดย: tomcat007 วันที่: 21 กันยายน 2552 เวลา:0:32:59 น.  

 
สวยมากเลยค่ะ อยากไป


โดย: panaruss วันที่: 12 กรกฎาคม 2554 เวลา:19:42:06 น.  

 
ถ้าไปช่วงฤดูหนาว ด้านบนยอดเขาจะเต็มไปด้วยหิมะค่ะ แอนโชคร้ายไปช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง มีฝนตก เลยไม่ได้เห็นหิมะแม้แต่น้อย แงๆ


โดย: มรกตนาคสวาท วันที่: 13 กรกฎาคม 2554 เวลา:0:03:15 น.  

 
ถ่ายสวยมาก .. ชื่นชมครับ


โดย: yyswim วันที่: 27 เมษายน 2555 เวลา:20:35:23 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 

มรกตนาคสวาท
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




มายาแห่งมาหยา

ยินดีต้อนรับ...

สู่

บล็อกคนชอบถ่ายรูปฝีมือธรรมดาๆ
หน้าตาไม่ดี นิสัยไม่ดี
งานเยอะ ไม่มีเวลาพูดเล่นกับใคร
ไม่ประสงค์จะสนิทสนมกับคนแปลกหน้า




ผีเสื้อ
ชรัส เฟื่องอารมณ์



.....ผีเสื้อตัวน้อยน้อย
บินล่องลอยกลางพนาไพร
โผผินร่อนบินระเริงใจ
คลุกเคล้าดอกไม้ใจชื่นบาน



แสงแดดยามสายสาย
งามพร่างพรายต้องสายธาร
ฉาบทองเมื่อมองแสนตระการ
ผีเสื้อสุขสราญนะเจ้าเอย



***...ท้องฟ้าสีอำพัน
ผีเสื้อสุขสันต์มากเหลือ
เจ้าไม่คิดไม่ต้องหวัง
ดอกไม้ยังกูลเกื้อ
แสงแดดจุนเจือชีวี...



...อยากจะเป็นผีเสื้อตัวน้อย
บินล่องลอยเสรี
สีสันดุจอัญมณี
สุขใดหรือจะมีเช่นผีเสื้อ



***...ท้องฟ้าสีอำพัน
ผีเสื้อสุขสันต์มากเหลือ
เจ้าไม่คิดไม่ต้องหวัง
ดอกไม้ยังกูลเกื้อ
แสงแดดจุนเจือชีวี...



...อยากจะเป็นผีเสื้อตัวน้อย
บินล่องลอยเสรี
สีสันดุจอัญมณี
สุขใดหรือจะมีเช่นผีเสื้อ

... สุขใดหรือจะมีเช่นผีเสื้อ...




เพลงผีเสื้อ




งานที่มีการเขียนลงบน WEB SITE แล้วส่งผ่านอินเตอร์เนตนั้นถือว่าเป็น สิ่งเขียนซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของงานวรรณกรรม ดังนั้นย่อมได้รับความคุ้มครองตามพ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 (มาตรา 15) หากผู้ใดต้องการทำซ้ำหรือดัดแปลงงานดังกล่าวต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน มิฉะนั้นจะเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ (มาตรา 27) การดัดแปลงงานจากอินเตอร์เนตเป็นภาษาไทย จึงต้องขออนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม การคุ้มครองลิขสิทธิ์เป็นการคุ้มครองอัตโนมัติ เจ้าของลิขสิทธิ์หรือผู้สร้างสรรค์ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิตามกฎหมายลิขสิทธิ์

ที่มาของข้อความ:เว็บไซต์กรมทรัพย์สินทางปัญญา







New Comments
[Add มรกตนาคสวาท's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com
pantip.com pantipmarket.com pantown.com