Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2556
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
20 มิถุนายน 2556
 
All Blogs
 
หยุดความเชื่อผิดๆ เพื่อสุขภาพ

 

3

“ไขมันและน้ำตาล” เป็นตัวการที่นำไปสู่สารพัดโรคร้าย แต่หลายคนยังมีความเชื่อผิดๆ ที่อาจทำให้เรื่องดีกลายเป็นเรื่องร้าย โดยที่คุณเองก็ไม่ทันรู้ตัว หรือคิดว่าเข้าใจถูกต้องมาตลอด มีหลายคนที่ปรึกษานักโภชนาการว่า ถึงแม้จะเลือกทานสิ่งที่ดีกับร่างกาย แต่กลับไม่พบว่าจะมีสุขภาพที่ดีขึ้นแต่อย่างใด ไม่แน่นะครับ การเลือกรับประทานอาหารของคุณนั้น อาจไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพเสมอไป งั้นเราลองมาดูความเข้าใจผิดๆ ที่เป็นปัญหายอดฮิตกันสัก 5 ประการนะครับ


  ความเชื่อที่ 1 : เลือกน้ำสลัดที่ไม่มีไขมันเสมอ


การทานน้ำสลัดไร้ไขมันไม่ได้ดีกับสุขภาพอย่างที่เราคิด จากการศึกษาพบว่า การรับประทานสลัดควบคุ่ไปกับ ไขมันบ้าง จะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมแร่ธาตุที่มีประโยชน์จากผักได้ดีขึ้น Vicki Edgson นักโภชนาการระบุว่า อาหารบางประเภทมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากขึ้นหากรับประทานคู่กับอีกชนิดหนึ่ง วิตามินบางประเภทละลายในไขมัน ดังนั้น การรับประทานไขมันควบคู่ไปด้วย จะช่วยให้ร่างกายดูดซับแร่ธาตุจากผักนั้นๆ ได้ดียิ่งขึ้น ที่สำคัญ ยิ่งร่างกายสามารถดูดซึมแร่ธาตุต่างๆ ได้มากเท่าไหร่ จะทำให้เรารู้สึกหิวน้อยลงเท่านั้น นอกจากนี้ยังทำให้เรารู้สึกไม่อยากอาหารที่มีน้ำตาลได้อีกด้วย ลองใส่ชีสนมแพะ น้ำมันมะกอก ผลอะโวคาโด หรือถั่วต่างๆ ลงไปในสลัด จะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีขึ้น และรูปร่างดีขึ้นด้วย

4


 ความเชื่อที่ 2 : นมไขมันต่ำดีที่สุด


ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า วิตามินที่ดีต่อสุขภาพล้วนอยู่ในนมแบบธรรมดา หรือก็คือนมที่มีไขมันนั่นเอง วิตามิน A, D, E และ K ล้วนเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน นั่นหมายความว่า ร่างกายสามารถดูดซึมวิตามินเหล่านี้ได้ก็ต่อเมื่อมีไขมันช่วยละลาย และจงจำไว้ว่า ถึงแม้จะเป็นนมที่มีไขมัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันมีไขมันสูงมากผิดปกติแต่อย่างใด นมธรรมดามีไขมันเป็นส่วนประกอบเพียงแค่ประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น นอกจากนี้ผลการศึกษาของ Cardiff University ยังพบว่า นมที่มีไขมันจะช่วยทำให้ร่างกายเกิดการเผาผลาญ และทำให้ความเสี่ยงในการเกิดปัญหากับหัวใจต่ำด้วย ดังนั้น นมไขมันต่ำจึงเป็นเพียงกลยุทธ์การโฆษณาของนัการตลาดที่เอาไว้หลอกล่อสาวๆที่อยากมีหุ่นดีเท่านั้นล่ะครับ


 ความเชื่อที่ 3 : มาการีนดีกว่าเนย


หลายคนเลือกรับประทานมาการีนหรือเนยเทียม แทนการรับประทานเนยสด เพราะมีรสชาติคล้ายคลึงกัน แต่มี ไขมันและแคลอรี่ที่ต่ำกว่า โดยไม่ทราบเลยว่า มาการีนนั้นมี Hydrogenated Fats ที่ร่างกายไม่สามารถย่อยสลายโดยผ่านกระบวนการย่อยตามปกติหรือที่ตับได้ ดังนั้นไขมันประเภทนี้จะกลายไปเป็นเซลล์ไขมันที่กระจายอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ในขณะที่เนยตามปกติ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติไม่มีไขมันชนิดนี้ เนยสดมีกรดไขมันตามธรรมชาติที่เรียกว่า CLA ซึ่งมีผลการวิจัยรับรองว่า จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ หากรับประทานในจำนวนพอเหมาะทุกวัน CLA ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรับรสอาหาร ทำให้อาหารอร่อยขึ้นในขณะที่มาการีน ซึ่งเป็นเนยสังเคราะห์ไม่สามารถทำได้เท่าเทียม

5


 ความเชื่อที่ 4 : ของที่มีรสหวานเท่านั้นที่มีน้ำตาล


ผู้หญิงแทบทุกคนรู้ว่าอาหารอะไรที่มีไขมันเป็นส่วนผสมบ้าง โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาน้ำหนักตัวที่มากเกินไป แต่ หลายคนกลับไม่ทราบว่าอาหารชนิดใดที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบบ้าง และนี่คือที่มาของปัญหาที่ว่า หลายคนมัวแต่สนใจว่าไขมันทำให้อ้วน แต่ลืมมองว่าศัตรูตัวฉกาจของน้ำหนักตัวก็คือน้ำตาล ผลการศึกษาจาก Harvard University พบว่า การดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบทุกวันจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ ในขณะที่อีกหลายการศึกษาพบว่าอาหารที่มีน้ำตาลสูงล้วนมีความเกี่ยวข้องกับผู้ที่ป่วยด้วยโรคหัวใจทั้งสิ้น หลายคนชอบเข้าใจผิดว่า เฉพาะอาหารที่มีรสหวานถึงจะมีน้ำตาล โดยไม่ได้ดูที่ฉลาก เชื่อมั้ยครับว่า แม้กระทั่งโยเกิร์ตที่สาวๆ นิยมรับประทานในระหว่างที่ลดน้ำหนัก ก็มีน้ำตาลเป็นส่วนผสม นี่ยังไม่นับรวมซอสต่างๆ หรือ ขนมปังแถวธรรมดาๆ ที่มีรสจืด แต่หากพิจารณาฉลาก หรือส่วนผสมดีๆ ก็จะเห็นว่ามีน้ำตาลเป็นผสมแทบทั้งนั้น และที่สำคัญคนเราสามารถทานอาหารที่มีน้ำตาลได้เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นของหวาน ขนมเค้ก หรือน้ำอัดลม เราจะทานได้โดยที่ไม่รู้สึกอิ่มเลย ซึ่งทำให้เราทานน้ำตาลมากเกินไปโดยไม่ทันรู้ตัวเลยล่ะครับ

 ความเชื่อที่ 5 : หลีกเลี่ยงอาหารที่ให้แคลอรี่สูง


ผู้หญิงหลายท่านที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก เริ่มศึกษาปริมาณแคลอรี่ที่อาหารชนิดต่างๆ ให้พลังงานเมื่อรับประทานเข้าไป โดยคำนวณส่วนต่างปริมาณแคลอรี่ที่ทานเข้าไป กับแคลอรี่ที่ร่างกายเผาผลาญจากกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เพื่อดูว่าพลังงานที่เหลือนั้นเป็นบวกหรือลบ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันซับซ้อนกว่านั้นครับ ยกตัวอย่างเช่น การทาน แซลม่อน กับ ผลอะโวคาโด ซึ่งมีไขมันสูงทั้งคู่ โดยผลอะโวคาโด 1 ลูก ให้พลังงานประมาณ 275 แคลอรี่ ในขณะที่สเต็กแซลม่อนให้พลังงานประมาณ 170 แคลอรี่ แต่เชื่อหรือไม่ครับว่า การทานอาหารสองอย่างนี้ไม่ทำให้อ้วนหรอกครับ แต่สิ่งที่ร่างกายกลับได้รับจากอาหารสองประเภทนี้ก็คือ ไขมันดี และ Omega 3 ซึ่งดีต่อสุขภาพและหัวใจ ทำให้ร่างกายเผาผลาญได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ อาหารที่ให้พลังงานต่ำๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าดีต่อสุขภาพเสมอไป อาหารหลายชนิดที่ให้พลังงานต่ำ แต่กลับไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น ธัญพืชขัดหรือฟอกสี หรือ พวกอาหารกระป๋องต่างๆ อาหารเหล่านี้จะทำให้คุณรู้สึกขี้เกียจ สมาธิสั้น และรู้สึกอยากทานน้ำตาลมากขึ้น และท้ายที่สุดจะทำให้บริโภคน้ำตาลเกินจำเป็น ในรายที่กำลังลดน้ำหนัก อาจเกิดตบะแตก และทำให้ระบบการเผาผลาญผิดปกติได้

ที่มาข้อมูล : chicministry.com




Create Date : 20 มิถุนายน 2556
Last Update : 20 มิถุนายน 2556 9:02:33 น. 0 comments
Counter : 955 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เอ็กซ์ซ่า
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 43 คน [?]




Friends' blogs
[Add เอ็กซ์ซ่า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.