เมื่อคนเราจินตนาการถึงเรื่องดี ความสุข ความภาคภูมิใจ และเป็นคนอารมณ์ดี ใจเย็น รอบคอบ สมองทั้งสามส่วนนั้น ก็จะพองตัวขึ้นคุณหมอเดเนียล จี. เอเมน ผู้เขียนหนังสือ Making a Good Brain Greatจึงมีวิธีปรับฮอร์โมนที่มีผลต่ออารมณ์ในสมอง รวมถึงวิธีคิดของสมอง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง ซึ่งเราสรรหามาฝากดังนี้
5 DIY เปลี่ยนความจริง
๐ อย่าหลงเชื่อความคิดวูบแรก เมื่อรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัสแรกส่งข้อมูลมาถึงสมอง สมองจะเชื่อมโยงสิ่งทั้งหมดเหล่านี้เข้ากับประสบการณ์เดิมที่เคยเกิด เราจึงรู้สึกกับบางสถานการณ์หรือเรื่องราวตรงหน้ามากหรือน้อยเกินไป ซึ่งล้วนแล้วแต่ก่อความเข้าใจผิดได้ทั้งสิ้น คุณหมอเอเมนกล่าวว่า ทางที่ดีที่สุด เราควรซักถามหาเหตุผลของสถานการณ์หรือเรื่องราวที่เพิ่งเกิดใหม่หมาด เพื่อบันทึกไว้เป็นข้อมูลในเชิงเหตุผลที่ถูกต้อง มากกว่าอารมณ์ความรู้สึกในทางลบ
๐ เชื่อว่าความคิดของเรามีพลังพิเศษ เมื่อเราคิดแต่ละครั้ง สมองจะปล่อยสารเคมีบางอย่างออกมา บางตอนในหนังสือ Making a Good Brain Great บอกว่า ถ้าคิดในทางบวก เป็นเรื่องสุข เป็นความหวัง สมองจะปล่อยสารเคมีที่ทำให้เรารู้สึกดี และระบบการทำงานของสมองก็จะมีประสิทธิภาพ ตรงกันข้าม ถ้าคิดในทางลบ เป็นเรื่องผิดหวัง โศกเศร้าเสียใจ สมองจะปล่อยสารเคมีที่ทำให้อารมณ์เราบูดเน่า ย่ำแย่ และระบบการทำงานของสมองก็พานรวน ฉะนั้น ลองชี้ทิศทางให้สมองขับเคลื่อนไปด้วยพลังงานบวกดีกว่าค่ะ
๐ ทันทีที่บังเกิดความคิดลบ ความสุขก็หมดลงโดยพลัน ผู้คนจำนวนหนึ่งต้องทนทรมานกับความกดดัน กระวนกระวายใจ และวิตกกังวลอย่างหนัก นั่นเป็นเพราะเขาป่วยด้วยอาการ ANTs หรือ automatic negative thoughts คนกลุ่มนี้มักตั้งใจและจดจ่ออยู่กับแง่มุมด้านลบของสถานการณ์หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้น และความคิดแบบนี้มักจะดูดพลังชีวิตไปจากสมอง ถ้าใครมีอาการแบบนี้ ต้องพยายามพาตัวเองขึ้นมาจากกับดักหลุมดำในจิตใจ ที่ขุดไว้เอง โดยวิธีง่าย ๆ คือ ทันทีที่ความรู้สึกด้านลบบังเกิด รีบจรดดินสอปากกาเขียนสิ่งที่อยู่ในความคิด คุณจะพบความคิดไร้เหตุผลมากมายกำลังจู่โจมทำร้าย จากนั้นก็ใช้ความคิดบวกเข้ามาแทนที่ และเยียวยาจิตใจตนเอง คุณหมอเอเมน กล่าวว่า จงทำลาย ANTs เปลี่ยนสมองกันเถอะ
๐ ลองหลอกตัวเองบ้าง ทันทีสมองคิดในเชิงคาดหวัง สถานการณ์หรือเรื่องราวก็อาจเกิดขึ้นจริง โดยหากสมองคิดลบ สถานการณ์หรือเรื่องราวในทางลบก็เป็นจริง ตรงกันข้ามหากสมองคิดบวก สถานการณ์หรือเรื่องราวในทางบวกก็เกิดขึ้น
กว่า ศตวรรษที่จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญรู้เรื่องนี้ ความคาดหวังในทางบวกจึงนำมาใช้บำบัดเยียวยาอาการเจ็บป่วยสารพัดโรค และเมื่อ 150 ปีที่ผ่านมา ในการบำบัดผู้ป่วย แพทย์ต้องทำตัวเป็นกันเองกับคนไข้ และสร้างความคิดหลอก (placebo effect) ขึ้นมา
ความคิดหลอกนี้คือ การสร้างความคาดหวังและความหวังขึ้นมา ระหว่างที่แพทย์กำลังบำบัดผู้ป่วย คุณหมอที. ฟินด์เลย์ ประเทศสหรัฐอเมริกากล่าวว่า "ทั้งพิธีกรรม ความศรัทธา และความกระตือรือล้น ล้วนแล้วแต่สร้างพลังชีวิต"
ในทางการแพทย์พบว่า การสร้างความคาดหวังและความหวัง คือ เครื่องมือสำคัญในการบำบัดผู้ป่วย มีพลังถึงหนึ่งในสี่ หรือสองในสามของการใช้มอร์ฟีนบำบัดอาการปวด และมีผู้ป่วยถึงหนึ่งในสามที่ใช้ความคิดหลอกแล้วได้ผล นั่นเป็นเพราะความคิดหลอก สามารถเปลี่ยนปฏิกิริยาและสารเคมีในร่างกายจากตัวร้ายเป็นตัวดีได้จริง
เมื่อร่างกายสบายขึ้น ระบบการทำงานของสมองก็เปลี่ยนไปในทางดี
๐ สั่งสมองปรับนิสัย เพื่อให้สมหวังเราใช้สมองส่วนคอร์เทค เมื่อต้องวางแผนชีวิต โดยสมองส่วนนี้จะทำหน้าที่ในการหาข้อมูลและวิธีการ เพื่อให้แผนที่วางไว้สำเร็จลุล่วงลงได้ ฉะนั้นการตั้งเป้าหมายในชีวิต แล้วปรับเปลี่ยนนิสัยเพื่อให้ได้มาจึงเป็นเรื่องที่ทำได้
เมื่อสมองคิดอย่างไร สถานการณ์หรือเรื่องราวนั้นก็เกิดขึ้นได้
ลิขิตชีวิตตนเอง คุณหมอเอเมนแนะนำว่า หากเราเขียนสิ่งที่ตนเองต้องการ และสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นลงหน้ากระดาษทุกวัน/สัปดาห์ มหัศจรรย์ในชีวิตจะเกิดขึ้น โดยเขียนแยกเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง ตัวเองกับคนใกล้ตัว การงาน การเงิน รวมไปถึงเรื่องความต้องการในส่วนลึก เช่น อารมณ์ความรู้สึก ร่างกาย และจิตใจ ดังนี้
เมื่อความคิดสามารถ กำหนดคุณภาพสมองได้ จึงควรคิดในสิ่งดี ก่ออารมณ์เบิกบาน สดชื่น แจ่มใส แบบที่อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิตแนะนำเนืองๆ เพื่อระบบการทำงานของสมองที่ดี ส่งผลต่อคุณภาพสมองดีตลอดไป
ที่มา นิตยสารชีวจิต
|