วารีบำบัด เป็นการนำเอาคุณสมบัติของน้ำ มาใช้อย่างเฉพาะเจาะจง เพื่อรักษาอาการเจ็บป่วย วารีบำบัดมีรากฐานมาจากความเชื่อที่ว่า น้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญของร่างกายคนเรา และยังมีอยู่ในอาหารส่วนใหญ่ น้ำไม่ว่าจะอยู่ในรูปเป็นของเหลว น้ำแข็ง หรือไอน้ำ สามารถนำมาใช้เพื่อช่วยผ่อนคลาย กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด กำจัดของเสียออกจากร่างกาย ลดอาการปวดเกร็ง ปัจจุบันมีการนำเอาวารีบำบัดมาใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งการรักษาโรค เสริมสุขภาพ เสริมความงาม S ความเป็นมาของวารีบำบัด วารีบำบัด มีประวัติความเป็นมายาวนาน ในสมัยฮิโปเครติสมีหลักฐานเก่าๆว่า ชาวโรมันใช้น้ำในการรักษาโรคต่างๆ มีการใช้สถานวารีบำบัดกันอย่างแพร่หลาย ทั้งเพื่อเสริมสุขภาพและเป็นที่พบปะสังสรรค์ในวงสังคม
วารีบำบัด เป็นศาสตร์ที่สืบทอดมาจากยุคกรีกและโรมัน ได้แพร่ไปสู่ยุโรปภาคตะวันออก กลายเป็นการอบไอน้ำแบบรัสเซีย (Russian bath) และการอบซาวน่าแบบฟินแลนด์ (Finnish bath) มาภายหลังได้รับการพัฒนาเพื่อการบำบัดรักษาโรคโดย วินเซนต์ เพรียนสนิตช และ เซบัสเตียน คไนป์ ชาวเยอรมัน S กลไกควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ร่างกายมีการควบคุมอุณหภูมิโดยผ่านกลไกของระบบประสาทอัตโนมัติที่อยู่ในสมองส่วนกลาง ในส่วนที่เรียกว่า "ฮัยโปราลามัส" ซึ่งเป็นศูนย์ควบคุมระดับอุณหภูมิของร่างกายทั้งหมด โดยตอบสนองต่อสัญญาณประสาทที่รับรู้ ความรู้สึกร้อน หนาว เราทุกคนคงเคยแช่น้ำอุ่นให้ตัวเองรู้สึกสบายขึ้น เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดและความเมื่อยล้าของแขนขา หรือใช้น้ำเย็นรดตัวเพื่อปลุกให้ตัวเองรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น เคยสังเกตหรือไม่ว่าบางคนหวังอาบน้ำอุ่นให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่าแต่กลับหลับอย่างสนิท เป็นเพราะว่าความร้อนและความเย็นนี้มีผลต่อร่างกายคือ 1. ความเย็น มีผลต่อร่างกายในเชิงกระตุ้นเร้า มีผลสืบเนื่องทำให้เกิดความแจ่มใส เสริมสร้างร่างกายและทำให้กระปรี้กระเปร่า 2. ความร้อน มีผลในเชิงกระตุ้นเร้าเช่นกัน แต่มีผลสืบเนื่องทำให้ง่วงเหงาเศร้าซึมและอ่อนล้า ร่างกายของเราตอบสนองต่อน้ำที่มีอุณหภูมิต่างกันและแรงดันต่างกัน 2 ขั้นตอนคือ - ขั้นตอนแรก เป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งคุกคามจากภายนอก เป็นปฏิกิริยาป้องกันตนเองของร่างกาย เช่น เมื่อน้ำเย็นจัดสัมผัสกับผิวหนัง ร่างกายจะป้องกันการสูญเสียความร้อนด้านการตีบตันของเส้นเลือดที่ผิวหนังเฉพาะที่ ตรงข้ามถ้าผิวหนังถูกความร้อน เส้นเลือดบริเวณนั้นจะขยายตัวเพื่อต้านความร้อน - ขั้นตอนที่สอง ถ้าช่วงแรกเกิดช่วงระยะสั้นๆประมาณ 20 นาที ช่วงที่สองจะเกิดปฏิกิริยาตรงข้าม เช่น - เมื่อโดนความเย็น ปฏิกิริยาช่วงแรกจะทำให้เส้นเลือดที่ผิวหนังระดับตื้นตีบตัว ส่วนระดับลึกจะขยายตัว ผิวหนังซีด ปฏิกิริยาช่วงต่อมาเส้นเลือดระดับตื้นจะขยายตัวและระดับลึกจะตีบตัว ผิวหนังจะเป็นสีแดง เมื่อโดนความร้อน ปฏิกิริยาช่วงแรงจะทำให้เส้นเลือดที่ผิวหนังระดับตื้นขยายตัว ส่วนระดับลึกจะตีบตัว ผิวหนังจะแดง ปฏิกิริยาช่วงต่อมาเส้นเลือดระดับตื้นจะตีบตัวและระดับลึกจะขยายตัว ผิวหนังจะซีด ดังนั้น กลไกทั้ง 2 แบบจึงนำมาใช้ในการบำบัด เช่น การรุกเร้า กระตุ้น อาจใช้ความร้อนหรือความเย็น ซึ่งจะทำให้ผลสืบเนื่องที่แตกต่างกัน S การนำมาใช้บำบัด 1. ผลเบื้องต้นในเชิงกระตุ้นเร้าต่อร่างกาย มักนิยมใช้น้ำร้อนสลับกับน้ำเย็นอย่างต่อเนื่อง แต่ละครั้งจะใช้เวลาสั้นๆ การใช้น้ำเย็นจะใช้ดึงอุณหภูมิของผิวหนังกลับสู่อุณหภูมิปกติก่อนได้รับความร้อน ซึ่งใช้ได้ผลกับคนไข้ที่อ่อนเพลีย หมดแรง คนไข้เป็นลมชัก ช๊อก คนจมน้ำ คนที่หายใจไม่ออก แต่ไม่นิยมใช้รักษาคนไข้ที่เป็นโรคหัวใจ ผู้สูงอายุและเด็ก 2. ผลเบื้องต้นในเชิงกระตุ้นเร้าเฉพาะบริเวณ เช่น การใช้น้ำเย็นๆจัดประคบบริเวณหน้าอกและหลังเป็นเวลาสั้นๆ ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดเนื่องจากกระตุ้นการทำงานของหัวใจให้กลับคืนมาในภาวะที่หัวใจล้มเหลวกระทันหัน การใช้ความเย็นจัดๆประคบส่วนต่าง เช่น มือ แก้ม ลำตัว กระตุ้นให้คนไข้ที่กำลังสลบฟื้นสติได้ การประคบด้วยความเย็นจัดๆบริเวณเต้านม สามารถกระตุ้นให้มดลูกบีบตัวช่วยเร่งการคลอดบุตรในกรณีที่คลอดช้าเพราะมดลูกไม่ทำงาน |
แวะมาทักทายยามเย็นค่ะ
มีความสุขมากๆนะคะ ^_^