เรื่องที่ 21 วิธีล้างความรู้สึกผิดออกจากใจ
ช่วงนี้ผู้เขียนมีเพื่อนในเมลล์สองคนเขียนมาถามคำถามพร้อมๆกัน เกี่ยวกับควรทำอย่างไรกับความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจ กับเรื่องในอดีตที่มันผ่านไปนานแล้ว แต่ทุกครั้งที่คิดถึงมันกลับมาสร้างความเจ็บปวดขึ้นในใจทุกครั้งที่คิดถึงมัน
เผอิญผมเพิ่งได้ทำตามหนังสือชวนม่วนชื่นเกี่ยวกับการแก้ไขความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจ ก็เลยเขียนให้คำปรึกษาไปตามความเข้าใจ เลยคิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับเพื่อนๆที่มีปัญหาใกล้เคียงกันนี้จึงคัดลอกเอามาไว้ด้วยกันดังนี้
ถาม เคยทำให้เพื่อนรักเสียใจในอดีตจนปัจจุบัน ความรักกลับกลายเป็นความแค้นจะคิดหรือแก้ไขอย่างไรดีคะ
ตอบ ขอตอบเรียงลำดับจากง่ายไปยากดังนี้นะครับ
การมีมานะทิฏฐินี่แหละเป็นสาเหตุที่ทำให้เรื่องทั้งหลายไม่จบลงด้วย ความเข้าในกันและกัน จะมีประโยชน์อะไรที่เราเป็นฝ่ายชนะแต่ต้องมารู้สึก เสียใจในการกระทำของตัวเองขนาดนี้ การเอาชนะด้วยเหตุผลและอารมณ์ โดยขาดความเมตตาและความคำนึงถึงจิตใจของอีกฝ่ายหนึ่ง ย่อมสร้าง ความเจ็บแค้นมากกว่าการยอมรับในความผิด ถ้าเรารักใครมากเมื่อเราทำเขาเจ็บ แทนที่เราจะมีความสุข แต่เรากลับก็ยิ่งเจ็บมากกว่าเขาหลายเท่า เพราะเรานี่แหละเป็นต้นเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้น
ถ้ามียังพอมีโอกาสก็คือถ้าเขายังอยู่และพูดคุยกันได้เราควรจะขอโทษเขาด้วยความจริงในสิ่งที่เราทำผิดพลาดไปทุกอย่าง โดยอย่าหวังว่าเขาจะยก โทษให้ เพราะไม่มีใครเปลี่ยนแปลงความคิดของใครได้ นอกจากเขาจะ ยกโทษเพราะมั่นใจว่าเราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้จริงๆ
ถ้าคุยไม่ได้ก็ต้องแก้ที่ใจเราแล้วหล่ะ ความต้องการที่จะไม่ให้เขารู้สึกกับเราไม่ดีนั่นแหละคือความทุกข์ คือเรามีความอยากแบบนี้เราต้องทุกข์แน่นอน เพราะเราแก้ไขไม่ให้ ใครคิดกับเราอย่างไรไม่ได้เลย
เมื่อทุกข์แล้วก็ต้องรู้จักวางความทุกข์ลง ความทุกข์นี้มันติดกับความจำ และความคิด การวางความทุกข์นี้เป็นศิลป์มากทีเดียว ความทุกข์จาก ความคิดก็ต้องแก้ด้วยความคิดบวกเพื่อให้เราเข้าใจในตัวเราและคู่กรณี ได้ชัดเจนให้ถึงที่สุด
ความคิดบวกหรือคิดในแง่ที่ทำให้จิตใจดีขึ้นนี้ผมแนะนำหนังสือและซีดีเสียงอ่านหนังสือชวนม่วนชื่น ของพระ อ.พรหม ขอได้ที่ห้องสมุดบ้านอารีย์
จะพูดให้ฟังถึงการล้างความรู้สึกผิดจากหนังสือให้ฟัง คือ เรามองว่าเราเป็นคนไม่ดีที่ทำกับเพื่อนอย่างนั้น ที่จริงแล้วเราแค่ทำสิ่งที่เราคิดว่าเหมาะสมกับสภาพในวันนั้นเท่านั้น แล้วก็เฉพาะในช่วงนั้นที่มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น เราแค่ทำสิ่งที่ไม่ค่อยดี แต่เราไม่ใช่คนไม่ดีที่ทำกับเพื่อนอย่างนั้น ที่เหลือ เราก็ทำดีกับเขามามากมายอย่างเทียบกันไม่ได้เลย ในชีวิตเราเองเราก็ทำสิ่งที่ดีๆต่อตนเอง ต่อพ่อแม่พี่น้อง อยู่ตลอดเวลา เราอย่ามองสิ่งที่ไม่ดีแต่ให้เรามองสิ่งที่ดีมากๆเข้าไว้ เราก็เป็นคนธรรมดาๆที่มีความดีอยู่มากแค่ไม่กี่ครั้งเองที่เราทำไม่ค่อยเข้าท่า เราจะได้เลิกคิดว่าเราไม่ดีเสียที
การทำความผิดก็เป็นสิ่งปกติของคนเราทุกคน เป็นวิธีพื้นฐานที่เราจะได้เรียนรู้สิ่งต่างๆเลยทีเดียว เวลามีสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้น เราให้อภัยต่อคนอื่นได้ง่ายกว่าที่เราให้อภัยตัวเองเสมอ เรารักตัวเองเท่าไหร่เราก็ยิ่งเกลียดตัวเอง เท่านั้นแปลกไหม เพราะเรารู้แต่ข้อบกพร่องของตัวเอง รู้ถึงสิ่งไม่ดีของตัวเอง ทำไมเรารักตัวเองไม่ได้จริงๆสักที ลองมองกระจกแล้วมองคนในกระจกพูดกับเขาและยิ้มให้กับเขาทุกๆวันลองดูนะ อย่ามองแล้วบอกว่าดูไม่ดีเลย ให้บอกว่าขอให้มีความสุขมากๆนะกับเขาทุกๆวัน เราต้องรู้จักที่จะรักคนอื่นด้วยใจที่เปิดกว้าง เรียนรู้ที่จะรักแบบไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าเขาจะดีหรือเลวต่อเรา เราก็ให้อภัยเขาได้ เมื่อฝึกพัฒนาใจเราแล้ว เราจะมองคนสุดท้ายที่เราจะปลดปล่อยนั่นคือ ตัวเราเอง เราจะต้องเรียนรู้ที่จะรักตัวเอง ยิ้มให้กับตัวเอง ยอมรับความผิดพลาดที่ยากจะยอมรับได้ของตัวเอง นั่นแหละคือความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั่นคือ การรักผู้อื่น ไม่มาก ไม่น้อยกว่าตัวเอง แต่เท่ากับตัวเองได้จริงๆ
ด้วยวิธีนี้แหละเราจึงจะปลดปล่อยความรู้สึกผิดออกจากใจเรา ผมเองลองทำตามก็เกิดความสงสัยว่าเมื่อลองทำดูแล้วทำไมถึงได้ผลดีมากๆเลย ทั้งที่เหมือนจะไม่ใช่ธรรมะของพระพุทธเจ้าของเราเลย ดูจะเป็นแค่การนำความคิดบวกมาใช้เท่านั้นเอง ผมคิดเอาเองว่าการทำแบบนี้เหมาะสำหรับคนที่มีปมในใจ เหมือนคนที่มีมือเปื้อนน้ำมันเครื่องสกปรกอยู่ ธรรมะในศาสนาพุทธเหมือนน้ำธรรมดา ล้างน้ำมันเครื่องไม่ออก เราต้องใช้ผงซักฟอกด้วย อันเสมือนสิ่งที่ผมเล่ามาข้างต้น มาช่วยด้วยในช่วงแรกแล้วค่อยใช้น้ำสะอาดล้างคือธรรมะล้างอีกทีมือเราก็จะเกลี้ยงเกลาขาวสะอาด ต่อไปก็เพียงแค่รักษาตัวไม่ให้ไปเลอะน้ำมันเครื่องอีก ถ้าเล็กๆน้อยๆน้ำธรรมดาก็เอาอยู่
ถาม พอเวลาผ่านไปเราว่างๆก็ชอบนั่งคิดเป็นประจำว่าทำไมเมื่อก่อนเราถึงได้ทำเลวกับเค้าได้ขนาดนั้น ก็ไม่ผิดที่เค้าจะโกรธเกลียดเรามาก ถ้าเป็นเราถูกทำอย่างนั้น เราก็คงให้อภัยได้ยากเหมือนกัน
ตอบ มีคำตอบนะสำหรับการที่เราทำไม่ดีกับคนอื่นก็เพราะความสนิทสนมไง ยิ่งสนิทก็ยิ่งคิดถึงใจเขาใจเราน้อยลง เราต้องการให้เขาทำตามที่เราต้องการ ยิ่งเราทำแรงแล้วเขายอมเรา เราก็ยิ่งทำใหญ่เลย อันนี้ก็เหมือนเด็กๆ ที่ถูกตามใจมาก ยิ่งร้องมากยิ่งดื้อมากแล้วมีคนตามใจ เขาก็ยิ่งดื้อ เพียง แต่อันนี้เป็นใจของเรา เราจึงมองไม่เห็นความรู้สึกนี้ที่มันค่อยๆพัฒนาขึ้น ไม่ใช่ตัวเราที่ไม่ดี แต่เป็นใจของเราที่มันไหลไปตามที่มันเคยไปแค่นั้น ถ้าเรารู้จักใจเราดี เหมือนการเลี้ยงเด็กแบบมีเหตุผลใจเราก็ไม่ดื้อ ไม่มา ทำอะไรไม่ดี ใจเราจะเชื่อฟังเรามากขึ้น เราต้องรู้จักที่จะคุยกับตัวเองบ่อยๆดูใจของตัวเองบ่อยๆ
เวลาเราเหงาเราก็ต้องการการปลอบใจ เวลาเราท้อเราก็ต้องการกำลังใจ เวลาเราฟุ้งซ่านเราต้องการคำตอบที่น่าพอใจสำหรับปัญหาชีวิตที่หนักหนา ของเรา เราไม่ค่อยได้สนใจความรู้สึกของตัวเอง เราไม่เคยทำอะไรเพื่อตัวเองแบบนั้น เราหาใจของเราไม่เจอ แล้วเราอาจปัดความคิดไปให้คนใกล้ๆว่า ทำไมเขาไม่ให้ในสิ่งที่เราต้องการไม่รู้ใจเราเลย นี่ก็อาจเป็นต้นเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นอีกอย่างได้เช่นกัน เชื่อไหมถ้าไม่มีปัญหาเกิดขึ้นกับใจเราแบบนี้เราก็จะไม่ทำอะไรแย่ๆออกมาเลย พระท่านว่ากรรมทั้งหลายถ้าไม่มีเหตุเราจะไม่ทำกรรมได้เลย มีเหตุขนาดนี้ก็ย่อมมีกรรม ที่เกิดจากความไม่รู้ไม่เข้าใจจิตใจของตัวเราเอง(อวิชา)
แล้วก็ความไม่เที่ยงไงที่ทำให้เราไม่เอาใจคนข้างๆเรา ก็เพราะว่าคิดว่าเขาจะเข้าใจเราและจะอยู่กับเราอีกนานไง ถ้าเรารู้ว่าเราและเขาจะต้องแยกจากกันจะมีเวลาให้กันน้อยนิด เราก็จะทำดีต่อกันมากๆทุกเวลาจะเป็นเวลาทีมีค่าที่สุด ความไม่เที่ยง(ไตรลักษณ์)นี่แหละคือ ต้นเหตุที่แท้จริง
ของที่มีค่าก็ต่อเมื่อมันสูญเสียไปจากเราแล้วนั่นเอง เหมือนสำนวนที่ว่า "ปลาที่หลุดไปตัวใหญ่กว่าเสมอ" เราคิดถึงช่วงที่เรามีความสุขด้วยกัน การคิดเช่นนี้เป็นความทุกข์หนัก เพราะเราขาดสติหลง ไปในโลกของความคิด เหมือนกระต่ายที่หลงไปในป่าที่มีสุนัขป่าคอยไล่ จับกินเป็นอาหาร จิตใจเราก็ถูกทำร้ายครั้งแล้วครั้งเล่าจากความคิดย้ำๆ ในความผิดของตนเอง ซึ่งย่อมไม่มีประโยชน์อะไรเลย ฉะนั้นจงพยายาม มีสติให้มากๆ(สติปัฏฐาน) อย่าไปมัวนั่งคิดถึงเรื่องอดีตอย่างนั้น
ความเข้าใจอันหลังทั้งสองข้อหลังต้องใช้ความรู้และการปฏิบัติในศาสนาพุทธที่เปรียบเหมือนน้ำสะอาดที่จะมาล้างใจเราให้สะอาดบริสุทธ์ และปล่อยวางทุกอย่างได้จริงๆ
คร่าวๆแค่นี้ก่อนนะครับ ^^ ค่อยๆอ่านนะครับอาจจะเข้าใจยากสักหน่อย
อ้อ อย่าลืมหาหนังสือหรือซีดีชวนม่วนชื่นมาศึกษาเพิ่มเติมนะครับ
Create Date : 23 กุมภาพันธ์ 2553 |
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2553 11:53:09 น. |
|
6 comments
|
Counter : 2803 Pageviews. |
|
|
|
โดย: 1O8C วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:16:37:05 น. |
|
|
|
โดย: วนารักษ์ วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:18:09:38 น. |
|
|
|
โดย: Chulapinan วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:22:44:33 น. |
|
|
|
โดย: วนารักษ์ วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:11:00:16 น. |
|
|
|
โดย: somsri IP: 203.118.114.202 วันที่: 17 พฤศจิกายน 2553 เวลา:11:22:52 น. |
|
|
|
โดย: Somsri IP: 203.118.114.202 วันที่: 17 พฤศจิกายน 2553 เวลา:11:25:15 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
ปราจีนบุรี Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 31 คน [?]
|
ขอต้อนรับสู่บล็อกเล็กๆแห่งนี้มีมิตรภาพและความจริงใจให้กับเพื่อนๆทุกท่านที่แวะเข้ามาทักทายกัน ^^
บทความและรูปภาพนี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทาน พร้อมทั้งขอมอบเป็นน้ำใจกับเพื่อนๆทุกคนที่แวะเข้ามา สามารถคัดลอกนำไปเผยแพร่ได้ ยกเว้นเพื่อประโยชน์ทางการค้าซึ่งต้องขออนุญาตก่อนว่าเหมาะสมหรือไม่
เพื่อนบางคนมาครั้งเดียว นานๆมาที มาไม่บ่อย มาบ่อยๆ บางคนมาเยี่ยมทุกวันให้ชื่นใจ
บางคนเคยมาทุกวัน บางคนเคยมานานแล้ว บางคนหายไปจากบล็อก บางคนก็จะไม่แวะมาทักทายกันอีก
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็จะขอเก็บความรู้สึกดีๆที่มีให้กันไว้ตราบนานเท่านาน เพราะเมื่อรักกันแล้วย่อมเข้าใจกันได้ไม่ยาก
จขบ.เป็นคนซื่อๆง่ายๆจริงใจ ไม่มีเจตนาแอบแฝงในการทำบล็อก แต่บทความหรือรูปภาพก็อาจทำให้ผู้อ่านขัดใจได้ เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการของ จขบ.หรืออาจเป็นเพราะเราไม่เคยรู้จักดีพอ จึงกราบขออภัยมา ณ.ที่นี้ด้วย และขอขอบพระคุณทุกท่านที่แวะมาเยี่ยมเยียนด้วยความจริงใจนะครับ ^^
ฝากข้อความหลังไมค์
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ทำอย่างไรดี