ไดอารี่ ”ตะลอนชิม”
เก็บตก จากทริปตะลอนเที่ยว 4 จังหวัดชายฝั่งอันดามัน
- ตอนที่ 4 (จาก 5) -

หมายเหตุ : เรื่องราวต่อไปนี้
มาจากความคิดเห็น และประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้เจอมา
.
.
.

จากภูเก็ต – พังงา – ระนอง
มาต่อที่ “กระบี่” ค่ะ

ต้นเหตุคราวนี้
เกิดจาก voucher ทานอาหาร มูลค่า 2,500 บาท
ไม่รวมเครื่องดื่ม ... เช่นกัน


++ ขอลบหมายเลขบัตรนิดนึง ++

ห้องอาหาร "Gecko’s"
ภายในโรงแรม Sheraton Krabi Beach
จะอยู่ใกล้ๆสระว่ายน้ำ และหาดคลองม่วง

โรงแรมค่อนข้างใหญ่ มีพื้นที่ทั้งหมด 99 ไร่
ทางโรงแรมเลยอำนวยความสะดวก
โดยการเรียกรถกอล์ฟ พาไปส่งถึงห้องอาหาร

ทริปนี้ .... ผิดพลาดอยู่อย่าง
เพราะ”หลงทาง”
T^T

ทำให้ไปถึงโรงแรมตอนมืดแล้ว
ทั้งๆที่ตั้งใจจะไปชมพระอาทิตย์ตกดินที่นั่น ก่อนมื้ออาหารเย็น


โต๊ะที่ทางห้องอาหารสำรองไว้ให้เรา
ก็ถือว่าเป็นุมมดี มองเห็นวิวหาด
(แต่ดั๊น !! มาถึงตอนมืดแล้วเนี่ยสิ)
T^T

ก่อนจะสาธยาย เรื่องอาหาร
ขอชมก่อนว่า ในบรรดาห้องอาหารทั้ง 6 แห่ง
ในเครือ Starwood ที่เราเคยไป

ที่นี่ “ได้ใจเราไปเต็มๆ”
ทั้งในเรื่องบรรยากาศ ... การบริการ ... และอาหาร
รวมถึงการ present อาหารแต่ละจาน

พนักงานที่นี่ ใส่ใจ และเป็นกันเองมากค่ะ
ได้พูดคุยกันหลายเรื่องเลย

แรกๆ เราไม่กล้าเอากล้องใหญ่ มาถ่ายรูปเล่นกัน
แต่เห็นพนักงานเขาไม่ว่าอะไร
ทีนี้ เลยสนุกสนาน กับการเอากล้องตัวใหญ่มาถ่ายแทน
(เพราะมืดมากแล้ว กล้องตัวเล็กถ่ายไม่ค่อยดี)


อาหารที่นี่ จะเป็นแบบ a la carte
สไตล์ Italian และ Mediterranean

เราไปถึงตอนทุ่มกว่าๆ
จังหวะเขามีโปรโมชั่น cocktial ราคาพิเศษ 99.- บาทเน็ท
(ช่วงเวลา 1900 – 2100 น.)

เราเลยไม่รีรอ
ที่จะลองสั่งมา ตามประสาคนชอบค๊อกเทล
เป็น Krabi Colada กับ Beer Heineken

พนักงานเสิร์ฟที่นี่ ... ถึงแม้จะไม่ใช่บาร์เทนเดอร์
แต่สามารถตอบคำถาม เรื่องค๊อกเทลได้ดี

คือ เราถามเขาว่า Krabi Colada ต่างกับ Pina Colada มั๊ย??
เขาก็ว่า แค่เปลี่ยนชื่อ

ไอ้หมีอ้วนถามเรา ว่า คืออะไร??
เราก็บอกส่วนผสมให้ฟัง

... พูดยังไม่ทันจบ ...
น้องพนักงาน ก็ช่วยตอบส่วนที่เหลือให้หมด

แถมที่นี่ ยังเป็นแบบ shake ถูกใจเราเลย
เราเคยเจอแบบ blended ... ไม่ค่อยโปรดสักเท่าไหร่

(แต่พนักงานเขาบอกว่า ...
ถ้าเราไม่เอาแบบ shake ซึ่งเป็น standard ของเขา
เขาก็ทำแบบปั่นให้ได้)

เปิดเมนูมา ... สั่งอาหารที่หมายตาได้แล้ว
เขาก็ถือตระกร้าขนมปัง มาให้เราเลือกชนิดของขนมปังค่ะ
โดยเขาจะคีบใส่จานให้
(เสริ์ฟแบบ Business Class บนเครื่องบินเลยนิ)
^^

ไม่เหมือนที่ Café Lilawadee ก่อนหน้านี้
ที่นำมาวางไว้ให้บนโต๊ะ

แต่ที่นี่ ... เขาไม่เสริ์ฟขนมปังพร้อมเนย
แต่เขาเสริ์ฟ เป็น “Olive Oil + Balsamic Vinegar”
(คิดว่า มีส่วนผสมอย่างอื่นเพิ่มเติมด้วย แต่ไม่แน่ใจว่า คืออะไร??)

แปลกดีค่ะ ... และไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า
นอกจากทานกับสลัดแล้ว มันยังเข้ากับขนมปังได้ดีอีกด้วย
^^”


++ Pizza Bread กับ Krabi Colada ++

ออเดิร์ฟอย่างแรก เป็นซุปค่ะ
เราสั่ง “Lobster Bisque” (290.- บาท)

รสชาติเข้มข้น
แต่เราว่า มันเข้มมากเกินไป จนรู้สึกว่าเค็ม และคาว
^^”



พนักงานเขาคงสังเกตเห็น (ถึงได้บอกว่า ใส่ใจมาก)
ตักไปได้แค่คำแรก
เขาก็ถามเลยว่ารสชาติเป็นยังไง??

เราก็บอกตามตรง ...
น้องเขาก็แนะนำ บอกให้ทานพร้อมกับชีสไปด้วย จะอร่อยกว่า
(แต่กินจนหมดถ้วย ก็ยังรู้สึกว่าคาวไปนิ๊ดดดอ่ะ)

Main Course จานที่ 2 ของพ่อหมีค่ะ
”Prawn Liquini” (550.- บาท) เป็นเส้นดำของโปรดพ่อหมีเขาล่ะ

กุ้งเป็นชิ้นเป็นอัน
แต่ที๋โดดเด่นคือ ชีสที่นำมาม้วนเป็นแผ่นบางๆ
รสชาติเค็มๆมันๆ ... ไม่ได้โรยเป็นผงๆ เหมือนที่เคนเจอทั่วไป



มาถึง main course ของเราบ้างล่ะ
”Between Land & Sea” (1,150.- บาท)
เป็น combination plate ระหว่างเนื้อ 3 ชนิด (กุ้ง – เนื้อวัว – เนื้อไก่)
... เสิร์ฟพร้อมซอส 3 ชนิด ...

ตอนเขายกมาวางตรงหน้า แบบว่า ตกใจเลยค่ะ
ดูอลังการมาก ... present อย่างดี
(ไอ้หมีอ้วนลองยกของเขาดูด้วยล่ะ ... หนักเอาเรื่อง)
^^”





เนื้อกุ้งแน่น-สด-อร่อย ... เป็นชิ้นเป็นอัน
เขาปากงี้ เนื้อกรุบๆเลย

ส่วนเนื้อวัว ก็เป็นเนื้ออย่างดี
หมักได้ที่ ... เนื้อนุ่มกำลังดี ไม่เหนียว

ถูกใจทั้งอาหาร และบริการ
เลยยินดีจ่ายเพิ่มเติม ในส่วนที่เกินจาก voucher
โดยการสั่งของหวานปิดท้าย ”Banana Flambe” (240.- บาท)

ไอศกรีม 1 ลูก
เสริ์ฟพร้อมกล้วยเล็บมือนางเชื่อม
หวานเจี๊ยบบบบบ
^^”

ไอ้หมีอ้วนถอยเลย ... ไม่สู้
เราเลยต้องเหมาคนเดียว จนหมดถ้วย



สรุป ... จ่ายเพิ่มไปเอง 300 กว่าบาท