Hokkaido trip: มาแช่ออนเซน ที่ Noboribetsu กันเถอะ

มาจบทริปฮกไกโดแบบเย็นๆ (ด้วยสายผน) และชิลๆสบายๆด้วยการไปแช่ "ออนเซน" ที่ Noboribetsu กันค่ะ จริงๆแล้วหนึ่งไปญี่ปุ่น 2 ครั้งแล้ว ทุกครั้งจะมีการแช่ออนเซนบรรจุอยู่ในโปรแกรมเที่ยวด้วย เพราะหนึ่งคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องทำเมื่อไปญี่ปุ่นถ้ามีโอกาสเพราะการแช่น้ำอุ่นๆมันทำให้สบายเนื้อสบายตัวจริงๆนะ ขอบอก การมาแช่ออนเซนครั้งนี้เราทุ่มทุนสร้างสุดๆ ยอมควักเงินค่าโรงแรมแพงที่สุดในทริปกะว่าจะมา relax กันเต็มที่ก่อนบินกลับเมืองไทยเลยล่ะ Noboribetsu เป็นเมืองเล็กๆที่อยู่ในเขต Shikotsu-Toya National Park และเป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองออนเซน ออนเซนเค้าติดอันดับต้นๆของญี่ปุ่นและถือว่าดังที่สุดในฮกไกโดเลยค่ะ มีโรงแรมหลายโรงแรมในเมืองส่วนใหญ่มีออเซนเป็นของตัวเอง เล็กบ้างใหญ่บ้างตามขนาดโรงแรมค่ะ เมืองเล็กๆแห่งนี้คนโบราณเชื่อว่า "เป็นประตูสู่นรก" และถูกปกครองโดนปิศาจ อุต๊ะ ฟังดูน่ากลัวนะคะเนี่ย แต่ที่มาคือเมืองแห่งนี้อยู่ในแอ่งที่มีภูเขาไฟล้อมรอบ ฟูเขาไฟเหล่านี้ยังแอ๊คทีฟอยู่เสียด้วย ทำให้มีทั้งไอน้ำและกลิ่นกำมะถันจากการคุกรุ่นของภูเขาไฟนั่นเอง เราเดินทางจาก Hakodate มาที่ Noboribetsu โดยรถไฟ ใช้เวลาประมาณ 2 ชม นิดๆ ก็ถึงสถานีรถไฟ JR Noboribetsu Station เป็นสถานีรถไฟเล็กๆที่ไม่มีล็อกเกอร์ฝากกระเป๋า เดินไม่กี่ก้าวก็ออกจากสถานีแล้ว เราต้องนั่งรถบัสเข้าเมืองอีกใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที แต่สถานีรถบัสอยู่หน้าสถานีรถไฟนั่นเอง  สะดวกสบายมากๆ เพียงแค่....ฝนไม่ตก....แต่อากาศไม่เข้าข้างเราเล้ยยยย T_T ข้างป้ายรถเมล์มีปีศาจตัวแดงนั่งแยกเขี้ยวถือตะบองหนามอยู่ แต่ดูไม่น่ากลัวเลยค่ะ ปิศาจเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้ คนโบราณเชื่อว่าปิศาจคอยดูแลเมือง และมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อคนในหมู่บ้านด้วย  ฝนเริ่มลงเม็ดปรอยๆตอนเราขึ้นบัส และตกหนักขึ้นเรื่อยๆตลอดทางที่นั่งบัสจนถึงตัวเมืองเลยทีเดียว อดชมวิวที่อ่านมาว่าสวยนักหนา เเละแล้วก็เดินทางมาถึงที่หมายแบบเปียกๆ ฝนยังตกอยู่และค่อนข้างแรงด้วย แต่เรายังพอมีความโชคดีเหลือบ้าง ข้อแรก เราซื้อชุดกันฝนจากฮะโกะดะเตะมาคนละชุด และข้อที่สอง โรงแรมอยู่ใกล้มากกก แค่ข้ามถนนไปเอ๊ง เราต้องเดินลากกระเป๋าตากฝนไปโรงแรม แบบทุลักทุเลพอสมควร ตัวไม่ค่อยเปียก แต่กระเป๋าเนี่ย เอ่อม...เปียกมะล่อกมะแล่ก โรงแรมที่เราพัก Noboribetsu Grand Hotel แกรนด์สมชื่อไหมคะ เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาวที่ขึ้นชื่อเรื่องออนเซนแม้จะไม่ได้ดีที่สุดในเมืองแต่ก็อยู่อันดับต้นๆเลยค่ะ เพราะบ่อออนเซนเค้าใหญ่ มีทั้งแบบ indoor/outdoor มีน้ำตก(สร้างขึ้น) ด้วย เรื่องความสะดวกสบายมีให้แบบครบครัน ค่าห้องก็ใช้ได้เลย (แอบกระซิบว่าปกติจะเที่ยวแบบ budget มาก แต่รอบนี้กัดฟันเลยค่ะ ยอมจ่าย นานๆทีเนาะ ไม่ได้มากันบ่อยๆ แต่ขอบอกว่าเราไม่เสียดายเงินค่ะ คุ้มๆๆ ราคา 36,000 เยน 3 คน ตกคนละ 12,000 เยน ราคารวมแช่ออนเซนแบบไม่จำกัดครั้งและอาหาร 2 มื้อ (อาหารเช้าและเย็น) Photo from agoda.com &booking.com เรามาถึงเกือบบ่ายโมง ยังเช็คอินเข้าห้องพักไม่ได้เพราะเวลาเช็คอินคือบ่ายสามโมง แต่เราขอเช็คอินเอกสารก่อนโดยกรอกรายละเอียด ฝากกระเป๋าไว้ที่ล้อบบี้ ก่อนจะนั่งมองหน้ากันว่าจะเอายังไงดีเพราะฝนยังไม่หยุดตก  หลังจากมองหน้ากัน 5 นาทีเราตัดสินใจเดินออกไปเที่ยวท่ามกลางสายฝนนี่แหละ ไหนๆก็ไหนๆ สถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อที่สุดของเมืองนี้ก็คือ "Jigoku-dani"หรือ Hell Valley ซึ่งอยู่ใกล้ๆตัวเมืองนั่นเองค่ะ เดินไป 10 นาทีก็ถึงแล้ว ช่วงใกล้ถึงได้ยินเสียงน้ำดังและมีไอน้ำลอยออกมาจากท่อข้างๆถนนด้วย ไปส่องดูเป็นน้ำพุที่พุ่งขึ้นมาเป็นช่วง เพิ่มสีสันให้การเดินเราดูตื่นเต้นนอกจากการเดินตากฝนด้วยค่ะ อิอิ ระหว่างทางเห็น"ปิศาจ" หลากสี ส่วนใหญ่เป็นสีแดงกับสีน้ำเงิน จริงๆเราจะได้เห็นปิศาจอยู่ทั่วเมือง หน้าโรงแรมเราก็มี คนในเมืองเชื่อว่าปิศาจเหล่านี้คอยดูแลปกป้องเมือง ดูหน้าตาปิศาจแล้วออกไปทางน่ารักมากกว่าน่ากลัวนะคะ   เดินต่อมาอีกไม่กี่ก้าวก็ถึงลานจอดรถแล้วค่ะ เร็วจริง อิอิ เป็นคนไม่ชอบถ่ายรูปหน้าป้าย เอารูปเพื่อนมาเผา เอ้ย มาโชว์แทน Hell Valley เป็นจุดที่ภูเขาไฟยังคุกรุ่นอยู่ มีบางจุดที่รอยแยกของแผ่นดิน ทำให้มีไอน้ำและกำมะถันพวยพุ่งขึ้นมา เป็นจุดที่เคยปะทุมาแล้วเมื่อประมาณ 20,000 ปีก่อน เจ้าควันกำมะถันและไอน้ำนี้ก็มีมานับหมื่นปีแล้วค่ะ ไม่มีค่าเข้าชมนะคะ สามารถเดินเที่ยวได้เลยตามเส้นทางที่กำหนดไว้กลิ่นกำมะถันไม่แรงนัก เดินชมได้สบายๆไม่ระคายจมูก จริงๆแล้ว เส้นทางเดินเค้ามี loop ให้เดินและแวะจุดท่องเที่ยวหลายจุด แต่ต้องใช้เวลาในการเดินเท้าพอสมควรถ้าหากท่านใดสนใจสามารถถามหาแผนที่ได้ที่โรงแรมหรือจุดบริการท่องเที่ยวหน้าทางเข้า ไม่ไหวแล้วค่ะ เดินไม่ถึงไหนเปียกปอนทั้งคนทั้งกล้อง รองเท้าเปียกจนแฉะ เราตัดสินใจเดินกลับโรงแรง (ดีกว่า) เกรงว่าจะไม่สบายกัน ขากลับเดินผ่านถนนคนเดิน (แอบเรียกเอง) เป็นถนนเล็กๆที่มีร้านขายของที่ระลึก แต่หนึ่งขี้เกียจหยิบกล้องออกมาถ่ายภาพ เดินแบบเร็วๆกึ่งวิ่งเลยก็ว่าได้ จริงๆแล้วใกล้ๆเมืองมีจุดท่องเที่ยวอื่น เช่นฟาร์มหมี แต่ต้องนั่งบัสไป แต่อากาศแบบนี้กลับไปแช่ออนเซนดีกั่ว กลับมาถึงโรงแรม เข้าห้องพักได้แล้ว เราจองแบบห้อง Japanese style คือเป็นห้องเสื่อ เรานอนกันสามคน จริงๆก็นอนด้วยกันทุกคืนแหละ อิอิ นอนห้องแบบนี้หนึ่งว่ามันสะดวกในการบริหารจัดการพื้นที่ เพราะที่นอนจะปูก่อนนอน โดนจะมีพนักงานมาจัดการให้ ไม่ต้องปูเองและที่นอนก็นอนสบายมากๆๆด้วย เราลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า "เริด" ห้องแบ่งเป็น 3 ตอน โดยห้องน้ำ ห้องเก็บของอยู่หน้าสุด ถัดมาเป็นห้องนอนที่เป็นห้องที่ใหญ่ที่สุด และส่วนสุดท้ายเป็นมุมนั่งเล่นเล็กๆ ริมหน้าต่าง แต่ละห้องมีประตูเลื่อนเปิด ปิดได้ มาถึงห้องหลังเช็คความเสียหายของข้าวของ รองเท้าเปียกกันทุกคนค่ะ ต้องหามุมถอดตากไว้ ในห้องมี welcome drink เป็นชาเขียวหอมๆอุ่นๆ และขนมโมจิไส้ถั่วแดง กินอบอุ่นร่างกายก่อน สบายจริงหนอ  หลังจากนั่งจิบชาเขียวชิลๆเสร็จก็ได้เวลาสำคัญ หรือ highlight ของการมาเที่ยวเมืองนี้แล้ว นั่นคือการแช่ออนเซนนั่นเอง ลัล ลั้ล ลา ก่อนอื่นต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ในห้องพักมีเซ็ทยูกาตะ (Yokata) โอบิ (Obi) และ Haori เตรียมไว้ให้แล้ว เราจัดการผัดผ้า แปลงร่างเป็นคนญี่ปุ่นชั่วคราวแบบเนียนๆ อิอิ วิธีการใส่ไม่ยากเลยค่ะ ตามรูปเลย แปลงร่างเสร็จถ่ายภาพเก็บไว้เป็นหลักฐานเสียหน่อย ก่อนออกจากห้องไปแช่ออนเซนอ่านข้อปฏิบัติซึ่งจะมีไว้ให้ในห้องอยู่แล้ว อ่านเข้้าใจง่ายเพราะคนญี่ปุ่นเค้าถนัดเรื่องการเล่าเรื่องด้วยภาพน่ารักๆอยู่แล้ว แต่งตัวเสร็จแล้วได้เวลาไปอาบน้ำและแช่ออนเซนกันค่ะ โรงแรมที่เราพักขึ้นชื่อเรื่องบ่อออนเซนขนาดใหญ่แถมมีบ่อเล็กๆอีกหลายบ่อ มีให้เลือกทั้งแบบ indoor/outdoor สำหรับแขกที่พักสามารถเข้ามาใช้บริการกี่ครั่้งต่อวันก็ได้ ถ้าไหวนะคะ Photo from agoda.com &booking.com เคยอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นแล้วสงสัยไหมคะว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงต้องไปอาบน้ำที่ห้องอาบน้ำสาธารณะ  ไม่ได้ไปคนเดียวด้วยนะ มีไปแบบครอบครัว แถมมีการถูหลังให้กันในห้องอาบน้ำในสภาพที่ทุกคนเปลือยอีกต่างหาก ตอนเด็กๆหนึ่งสรุปว่าญี่ปุ่นคงขาดแคลนน้ำและที่พักคงคับแคบเกินกว่าจะมีห้องน้ำในห้องพัก เลยต้องไปอาบรวมกัน....มีใครเคยคิดเหมือนกันบ้างค้า พอโตขึ้น ได้มีโอกาสไปเที่ยวบ้านเค้าเมืองเค้า ถึงได้รู้ว่า การไปอาบน้ำของคนญี่ปุ่นไม่ได้แค่ไปทำความสะอาดชำระล้างร่างกาย แต่เป็นเรื่องสังคมด้วย เพราะเป็นช่วงเวลาที่จะได้พูดคุยกันอย่างผ่อนคลายและแบบเปิดอก (จริงๆ) และกลายเป็นวัฒนธรรมของเค้าไป การแช่ออนเซน จะพิเศษขึ้นมาตรงที่ได้แช่ในน้ำอุ่นๆหลังจากอาบน้ำชำระร่างกายแล้ว คนญี่ปุ่นไม่ได้แช่ออนเซนกันทุกวัน แต่จะนิยมไปในวันหยุดสัปดาห์หรือช่วงวันพักผ่อน ถือเป็นการกระชับสัมพันธภาพของคนในครอบครัวหรือเพื่อน แม้กระทั่งเพื่อนร่วมงาน นอกจากนี้ยังมีงายวิจัยที่ยืนยันว่าการแช่ออนเซนยังช่วยรักษาโรคได้ พวกโรคกล้ามเนื้อ โรคข้อ เลือดลมไม่ดี อาหารไม่ย่อย ออนเซนช่วยได้...ของเค้าดีจริง วัฒนธรรมเค้าช่างแตกต่างจากเรายิ่งนัก การอาบน้ำจะเป็นอะไรที่ส่วนตั๊วส่วนตัว แต่มาเที่ยวบ้านเค้าเราก็ควรจะหลิ่วตาตาม เรามาแช่ออนเซนให้เนียนๆแบบคนญี่ปุ่นกันค่ะ 1. ก่อนถึงห้องอาบน้ำหรือแช่ออนเซน จะมีห้องกว้างๆ มีตะกร้าให้และล็อกเกอร์แบบเปิด ตะกร้าเล็กสำหรับใส่ชุดยูกาตะที่เราใส่มา ใช่แล้วค่ะ เราต้องถอดตรงนี้เลย ไม่ต้องอายนะคะ เพราะถอดตรงนี้กันทุกคนและถ้วนหน้า เด็กเล็ก หญิงสาว หญิงชรา ถอดกันตรงนี้ทุกคนเก็บชุดในตะกร้า วางในล็อกเกอร์ที่ว่างๆ จำด้วยนะคะว่าวางตรงไหน ในห้องจะมีขนหนูให้ ส่วนใหญ่ 2 ขนาดค่ะ ขนาดใหญ่สำหรับเช็ดตัว และขนาดเล็กแบบเช็ดหน้าหรือเช็ดผม หยิบขนาดเล็กไปผืนเดียว ผืนใหญ่ไม่ต้อง!! จากนั้นเดินสวยๆเข้าไปในห้องอาบน้ำเลยค่ะ ****บางโรงแรมอาจจะมีล๊อกเกอร์แบบมีกุญแจให้ แต่ทางที่ดีเก็บของมีค่าไว้บนห้องดีกว่าค่ะ**** 3. เดินเข้าไปแล้วอย่าเพิ่งวิ่งลงไปแช่ออนเซนเลยนะคะ ก่อนอื่นเราต้องล้างตัวหรืออาบน้ำก่อนตรงจุดอาบน้ำรอบๆ บ่อออนเซนก่อน ทุกจุดจะมีถังน้ำเล็กๆ ฝักบัวที่ปรับระดับน้ำเบาแรงได้ ก๊อกน้ำในระดับที่เปิดน้ำใส่ถังเล็กได้ เซ็ทอาบน้ำ (โฟมล้างหน้า สบู่ ยาสระผม) และตั่งเล็กๆสำหรับนั่ง เราจัดการล้างตัวหรืออาบน้ำตรงนี้ก่อน ตอนอาบระวังคนข้างๆด้วยนะคะว่าน้ำกระเด็นไปโดนเค้าหรือเปล่า ส่วนผ้าน้อยที่ถือเข้ามาด้วย จะวางตรงไหนก็แล้วแต่เพราะสุดท้ายมันจะเปียก หลังจากอาบน้ำเสร็จ คว่ำถังน้อย (เป็นการบอกว่าใช้เสร็จแล้ว และไม่ให้มีน้ำขังในถัง) แล้วมาแชาออนเซนกัน 4. การลงแช่อย่าบุ่มบ่าม เขินอายกระโดดลงไปเหมือนเป็นสระว่ายน้ำนะคะ เพราะน้ำจะค่อนข้างร้อน อุณหภูมิประมาณ 37-42 C ดังนั้นค่อยๆลงไปโดยจุ่มเท้าลงไปก่อนให้ร่างกายปรับตัว ผ้าเล็กๆที่นำเข้ามาให้พับแล้ววางไว้บนศรีษะ ถ้าผมยาวรวบให้เรียบร้อย 5. ขณะที่แช่ไม่ควรขัดสีฉวีวรรรณหรือถูขี้ไคลนะคะ เป็นเวลาที่ควรจะดื่มด่ำในการแช่ หรืออาจจะหันไปเมาท์มอยกับคนข้างๆ (ถ้าเค้ายอมคุยด้วย) ระยะเวลาในการแช่ไม่ควรนานจนเกินไป 15 นาทีต่อครั้งหนึ่งว่าเต็มที่แล้วค่ะ ขึ้นจากบ่อออนเซนไปล้างตัวที่จุดอาบน้ำ สำหรับคนที่ล้างตัวแต่ไม่ได้อาบน้ำก่อนแช่ก็อาบน้ำตอนนี้ได้เลย แล้วกลับไปแช่ออนเซนอีก 6. หลังจากอิ่มจากการแช่ออนเซนแล้ว เมื่อขึ้นจากบ่อ จะล้างตัวหรือไม่ก็ได้ บางคนชื่อว่าไม่ล้างดีกว่า ให้แร่ธาตุต่างๆในน้ำพุร้อนซึมวับเข้าทางผิวเราเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ใช้ผ้าขนหนูเล็กๆที่ติดตัวเรามาเช็ดหยดน้ำออกก่อนเดินกลับเข้าไปในห้องแต่งตัว แล้วค่อยใช้ผ้าขนหนูผืนใหญ่เช็ดตัวให้แห่ง แต่ตัว แต่หน้า เป่าผมในห้องนี้ได้เลย ตามสะดวก จบขั้นตอนการแช่ออนเซน บางโรงแรมมีเก้าอี้นวดให้ด้วยนะคะ หลังแช่เสร็จตัวจะเบาหวิว สบายสุดๆ นอนหลับดี กินอร่อยมากๆด้วย แต่ๆๆ การแช่ออนเซนก็มีข้อควรระวังและข้อห้ามนะคะ เช่น 1. ไม่ควรแช่ออนเซนทันทีหลังจากออกกำลังกายหรือทานอาหาร ควรพักก่อนอย่างน้อย 30 นาที 2. คนที่มีโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคไตแบบรุนแรง  เป็นไข้หวัด หรือมะเร็งไม่ควรแช่ออนเซน ถ้ามีปัญหาสุขภาพไม่แน่ใจ ปรึกษาแพทย์ก่อนลงแช่นะคะ ปกติ ห้องแช่ออนเซนจะแยกชาย หญิง และแบบออริจินอลจริงๆต้องเปลือยค่ะ แต่ปัจจุบันอาจจะมีบางแห่งที่เป็นบ่อรวมเพื่อนคนในครอบครัวเข้าไปแช่ได้ทุกคน และให้ใส่ชุดว่ายน้ำเข้าได้ (ขอบคุณข้อมูลจาก //www.kanagawa-kankou.or.jp/english/special/onsen/03.html และ //www.japan-talk.com/jt/new/7-things-you-need-to-know-before-going-to-a-Japanese-onsen-bath) แช่ออนเสร็จเสร็จจสบายตัวมากกกกกค่ะ ผิวพันธุ์เปล่งปลั่งและหิวมากกกกกด้วย ไม่รู้ว่ามโนไปเองหรือเปล่า แต่รู้สึกว่าเจริญอาหารด้วย เป็นข้ออ้างในการกินเยอะ อิอิ อาหารมื้อเย็นเป็นแบบบุฟเฟท์ มีอาหารมากมายหลากหลาย ทั้งคาวทั้งหวาน เราพยายามชิมทุกเมนู ปู ปู ปู มีให้เลือกเป็นกองเลยค่ะ เสียดายรสชาติจืดไปหน่อย ไม่ถูกปากเท่าไหร่ แต่ถ้ามีน้ำจิ้มซีฟู้ดด้วยคงอร่อยขึ้นมากมาย ถึงกระนั้นก็จัดไปคนละ 2 ถาด อิอิ เมนูอื่นๆที่ชิมรู้สึกเฉยๆ ไม่ตื่นเต้นนัก ยกเว้น สตูว์เนื้อ (ภาพกลางรูปบน) อร่อยมากกกกกก น้ำซุปรสนุ่มมม กินแล้วอยากกินอีกเยอะๆๆเลย ส่วนขนมหวานไม่ได้อร่อยเลิศ แต่ก็ไม่ขี้ริ้วค่ะ สรุปว่ามื้อนี้อิ่มมากกกกก จบทริปญี่ปุ่นปี 2013 ที่เมืองนี้ ด้วยความสดชื่นและสบายตัว เราชอบแช่ออนเซนกันมากจนพูดกันไว้ว่าอยากจัดทัวร์ออนเซนอีกรอบแบบสบายๆเก๋ๆอีก Photograph by: KAZUHIRO NOGI ลากันด้วยภาพนี้ แบบว่ามันสบายจริงน้าาา

Create Date : 24 กรกฎาคม 2557		21 comments
Last Update : 24 กรกฎาคม 2557 0:13:19 น.
Counter : 19458 Pageviews.
Share Tweet