|
ย้อนกลับไปหาแฮกเลอร์
ย้อนกลับไปเมื่อเกือบเก้าปีที่แล้ว หลังจากที่เราและคุณท่านพี่คบกันมาได้ปีกว่าๆเราสองคนก็เริ่มมีแนวคิดอยากหาภาระ่มารับผิดชอบร่วมกัน ประจวบเหมาะกับคุณท่านพี่ได้ไปต่างประเทศแล้วเห็นฝรั่งเดินจูงสุนัขพันธุ์ลาบาดอร์สีช็อกโกแลตซึ่งเค้ามาเล่าให้เราฟังว่าสีสวยมาก น่ารักเหลือเกิน อยากได้แบบนั้นบ้าง
เลยเริ่มศึกษาหาข้อมูลรวมถึงไปดูลูกสุนัขตามที่เค้าประกาศขาย แต่ในครั้งแรกที่ไปก็ไม่ประทับใจซะแล้ว อาจเป็นเพราะครั้งนั้นไม่ได้เป็นฟาร์มแต่เป็นบ้านที่เค้าผสมขึ้นมาเองแบบบ้านๆธรรมดา รูปร่างลักษณะเลยไม่ตรงสเป็คที่เราอยากได้ อาจจะเป็นเพราะไปเห็นตัวที่สวยเลยทำให้ตั้งมาตราฐานของลูกสุนัขไว้สูง (เกินไป)
จากนั้นก็ซื้อนิตยสารเกี่ยวกับสารพัดสัตว์เลี้ยงมาอ่านหลายเล่ม แต่มาเจอเล่มนึงที่เปิดมาต้องสะดุดกับประกาศขายลูกสุนัขอายุ 1 เดือน หน้าตาประล๊าดประหลาดแต่น่ารักเป็นที่สุด
โทรไปสอบถามถึงรู้ว่าอยู่แถวๆบ้านเราเองนี่นา เลยขับรถหวังจะไปดู (เฉยๆ) ตัวจริงก่อนแต่ยังไม่อยากรีบร้อน แต่ก็คงเหมือนหลายๆคนที่พอไปถึงแล้วได้เห็นความน่ารักของเค้าก็อดที่จะพาเค้ามาเริ่มต้นชีวิตใหม่กับเราไม่ได้
ชื่อตามใบเพ็ดของลูกคือ BIG BOY OF FRIEND KENNEL
ส่วนชื่อ แฮกเลอร์ คุณท่านพี่เป็นคนตั้งให้ตามชื่อของนักมวยผิวสีที่เค้าชื่นชอบ ซึ่งบางคนคงไม่รู้จักเวลาใครถามชื่อแล้วเราบอกไปกลับเรียกผิดเป็นฮีตเลอร์ทุกที
แฮกเลอร์เริ่มมาอยู่กับเราตอนอายุยังไม่ถึงสองเดือน การเลี้ยงหมาเด็กเป็นอะไรที่...นรกมากๆค่ะ ไม่รู้่พันธุ์อื่นเป็นยังไงแต่สำหรับพันธุ์นี้เค้าจะบ้าพลังมาก แรงเยอะมหาศาล แถมไฮเปอร์สุดๆ และต้องคุมเค้าให้อยู่เนื่องด้วยพันธุ์นี้มีสัญชาตญาณความโหดอยู่ในตัวสูง เรียกได้ว่าแฮกเลอร์โตมาพร้อมๆกับน้ำลายเป็นฝอยของเราและรอยมือที่บรรจงฟาดไปยังร่างของเค้าเวลาที่เค้าทำผิด ส่วนคุณท่านพี่นะเหรอคะคนนั้นเค้าเลี้ยงลูกด้วยลำแข้งค่ะ
แต่แปลกโดนคุณท่านพี่ซาดิสใส่ซะมากมายแทนที่เค้าจะเกลียดขี้หน้ากลับกลายเป็นว่าคุณท่านพี่เป็นคนที่ลูกรักมากที่สุดเข้่าทำนอง ทั้งรัก ทั้งกลัว ทั้งหวง ทั้งบูชา (55555 ว่าไปนั่น)
กว่าแฮกเลอร์จะเริ่มนิ่งก็ช่วง 3-4 ปีหลังนี่เองค่ะ (เิริ่มแก่) ผลของการฝึกสอนไม่ตามใจ จะมาเห็นเด่นชัดก็ตอนนี้สังเกตได้ว่าเค้าจะเชื่อฟังคำสั่ง ไม่ดื้อ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้เร็ว จดจำพฤติกรรมที่ไม่ควรทำได้ดี
และเนื่องด้วยแฮกเลอร์เป็นบลูเทอเรียสีขาวซึ่งเป็นสีที่ด้อยที่สุดในบรรดาทุกสีของพันธุ์นี้ จึงทำให้เค้ามีโรคประจำตัว (ของสายพันธุ์) คือภูมิแพ้ที่เด่นชัดมากๆ โดยเฉพาะผิวหนังที่โดนอะไรนิดหน่อยก็จะขึ้นตุ่ม เป็นแผลตกสะเก็ด เรียกได้ว่าตลอดช่วงอายุของลูกจะวนเวียนอยู่กับการรักษาอาการทางผิวหนังตลอดเวลา อิอิ ผิวบอบบางแพ้ง่าย...คุณชายสุดๆ
แฮกเลอร์ย้ายเข้ามาอยู่บ้านใหม่ได้เกือบสองเดือนแล้ว (เริ่ม 30/9/53) จากที่เค้าเคยอยู่แต่ในห้องแคบๆ (อพาร์เม้น) มีพื้นที่จำกัด มาเป็นบ้านเดี่ยวที่มีอาณาบริเวณกว๊างกว้าง ดูเค้าจะตื่นตาตื่นใจ (แต่ยังคงแฝงไว้ด้วยความกลัว) มากค่ะ และผลจากการเดินมากทำให้ขาของเค้าเริ่มบวมจนเดินไม่ไหวต้องพาไปหาคุณหมอบ่อยๆ
ขาบวม-เดินกระเผก-หาหมอ-ทานยา-หาย-วิ่งเล่น.....ขาบวม-เดินกระเผก-หาหมอ-ทานยา-หาย-วิ่งเล่น (จะวนเวียนแบบนี้ตลอด) และในช่วงที่อากาศเริ่มเย็นลงก็จะมีไข้ตัวร้อนขึ้นมาเสริม เมื่อพาไปหาคุณหมอท่านก็เริ่มสงสัยว่าจะเป็นหัดรึเปล่าจึงทำการเทส ซึ่งผลก็คือไม่เป็นอะไร แต่ลูกไม่ได้ตรวจเลือดเพราะก่อนที่จะมาอยู่บ้านใหม่ประมาณ 1 เดือนลูกได้รับการตรวจไปแล้วซึ่งผลก็ออกมาว่าทุกอย่างสมบูรณ์แข็งแรงดี
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
วันสุดท้าย
ช่วงวันอาทิตย์ที่ 14พย53 แฮกเลอร์ยังคงคึกคัก แถมตื่นเต้นดีใจเพราะคุณแม่ของคุณท่านพี่พาน้องหมาชิสุมาที่บ้านใหม่ด้วย ท่าทางลูกอยากเข้าไปหาไปเล่นด้วย แต่ถูกกีดกันไว้เนื่องจากกลัวว่าประวัติศาตร์ (การกัด) จะซ้ำรอย แต่พอตกดึกลูกเริ่มตัวร้อน (อีกแล้ว) เราให้ทานยาลดไข้แล้วเช็ดตัวให้
เช้าวันจันทร์ที่15พย53 เราลงมาจากบ้านเห็นแฮกเลอร์นั่งหอบอยู่ในกรงข้างตัวมีกองเศษอาหารที่เค้าอาเจียนทิ้งไว้ เรารีบเปิดกรงดูอาการแฮกเลอร์ยังคงเดินได้อยู่ แต่พอเดินไปฉี่ปุ๊บก็มาลุ้มตัวลงนอนที่ชานหน้าบ้าน (ที่ประจำ) อย่างอ่อนแรง
เรารีบโทรบอกคุณท่านพี่ให้มาดูอาการพอคุณท่านพี่มาถึงก็รีบพาลูกไปหาคุณหมอตรงโรงพยาบาลสัตว์ที่ใกล้บ้านที่สุด พอไปถึงคุณหมอตรวจดูหัวใจพบว่าลูกหัวใจเต้นช้ามาก มีไข้สูงมาก อาการทุกอย่างอยู่ในเกณฑ์แย่จนคุณหมอต้องให้น้ำเกลือและอ๊อกซิเจน
ปัญหาหลักในตอนนี้คือต้องพยายามลดไข้ของลูกให้ได้ คุณหมอบอกต้องรอดูอาการ คุณท่านพี่เลยขับรถมาส่งเราที่บ้านเพื่อเอารถอีกคันนึงออกไป คือเราต้องแบ่งหน้าที่กันในวันนี้ คุณท่านพี่ไปทำงานส่วนเราอยู่เฝ้าลูก
ระหว่างขับมาบ้านคุณท่านพี่เปรยว่า "สงสัยถึงเวลาของเค้าแล้ว" ตัวเรายังแอบเคืองแล้วบอกเค้าไปว่า "ไม่จริงหรอก" พอขับมาถึงหน้าบ้านคุณหมอก็โทรเข้ามาให้เรารีบกลับไปดูอาการลูกเพราะเค้าเกิดอาการช็อคและหยุดหายใจ พอไปถึงลูกยังอยู่..คุณหมอพาลูกกลับมาหาเราได้สำเร็จ ตอนนี้ไข้ของลูกยังคงสูงอยู่ คุณท่านพี่สอบถามคุณหมอว่า
ถ้าไข้สูงกว่านี้ลูกจะคุมตัวเองไม่อยู่ใช่มั๊ย?
เค้าจะร้องครวญครางและทรมานไม่ได้สติใช่มั๊ย?
อวัยวะภายในจะเริ่มดับใช่มั๊ย?
ที่ถามแบบนี้เพราะตัวเค้าเองมีประสบการณ์ (ที่เราไม่มี) คล้ายๆกันกับสุนัขสองตัวที่เค้าเคยเลี้ยงมา คำตอบที่ได้รับจากคุณหมอคือ "ใช่" คุณท่านพี่จึงบอกว่าเค้าไม่อยากให้ลูกถึงจุดนั้น เค้าไ่ม่ต้องการให้ลูกทรมาน ...คุณหมอเข้าใจค่ะแต่คุณหมอสู้มากๆและขอเวลา 30 นาทีเพื่อทำให้ไข้ของลูกลดลงให้ได้
ตอนนี้คุณท่านพี่ไม่อยู่ที่ห้องแล้วเข้าใจค่ะการทำใจรับสภาพของลูกแบบนี้มันทรมานมากๆ เมื่อคุณท่านพี่ไม่อยู่คุณหมอหันมาถามเราว่า "คุณแม่คิดแบบคุณพ่อมั๊ย" เราได้แต่สั่นหัว คุณหมอว่า "ดีค่ะ" แล้วหันไปปลอบใจลูกให้เค้าสู้ๆ
แล้วคุณหมอก็ทำสำเร็จค่ะ ลูกชายของเราไข้ลดลงมาเรื่อยๆจนน่าพอใจ ความหวังของเราก่อตัวเพิ่มมากขึ้น เราและุคุณท่านพี่จึงขอไปทานข้าวแล้วเลยไปไหว้พระขอพรท่านให้ช่วยลูกชายของเรา แต่พอกลับมาที่โรงพยาบาลก็ได้ทราบข่าวร้ายว่าลูกชายเราเค้าไปอีกแล้วแต่คุณหมอก็ช่วยกลับมาได้ อีกแล้วเหรอ??กำัลังใจที่เริ่มสูงขึ้นกลับลดฮวบลงอีกครั้ง
เรายังคงเฝ้าดูลูกอย่างใกล้ชิดแต่คุณท่านพี่จะมาๆหายๆ เค้าอยู่ได้ไม่นานค่ะเพราะเค้าร้องไห้หนักมากๆ แฮกเลอร์ยังมีสติรู้ตัว พอเ้ค้ามีแรงขึ้นมาหน่อยก็เ้ริ่มปฏิเสธอ๊อกซิเจนและพยายามจะลุกยืน ลูกเข้มแข็งอดทนมากๆ ส่วนตัวเราเองยังคงมีความหวังตลอดเวลา
ช่วงนี้ลูกหยุดหายใจเป็นครั้งที่สาม และ สี่ ตอนนี้สมองเราเริ่มไม่สั่งงานคุณหมอเริ่มให้เราเข้าไปใกล้ๆลูกไปพูดคุย เรายังคงดื้อดึงแล้วบอกลูกให้ลูกสู้ๆถ้าหายเราจะได้กลับบ้านด้วยกัน เราขอบคุณลูกที่ทำให้ชีวิตของเรามีความสุขเหลือเกินในช่วงเวลาที่ผ่านมา เราพูดอะไรไม่ได้มากค่ะมันตื้อไปหมดเลย
เวลาผ่านไป...ตอนนี้เพื่อนๆในกลุ่มเริ่มมาหาที่โรงพยาบาล แฮกเลอร์คงจะดีใจเพราะเป็นคนที่แฮกเลอร์เคยเจอเคยเล่นด้วยเมื่อตอนเค้าเด็กๆ คุณหมอยังบอกกับลูกเลยว่า "สู้ๆนะมีคนมาให้กำลังใจเยอะเลย"
ผ่านไปครึ่งวันแฮกเลอร์ได้รับน้ำเกลือในปริมาณที่มากพอที่จะฉี่แต่ลูกไม่มีทีท่าว่าจะฉี่เลย เราพยายามลุ้นมากๆจนสุดท้ายคุณหมอจำเป็นต้องสวน ซึ่งก็พบว่าฉี่ที่ดูดออกมามีปริมาณที่น้อยมากๆ สัญญาณอัีนตรายเิริ่มเกิดขึ้นอีกแล้ว ไตของเค้าเิรี่มไม่ทำงาน!!!
คุณท่านพี่เดินเข้ามาในห้องเป็นจังหวะที่ลูกเริ่มจะหยุดหายใจ (อีกแล้ว) คุณท่านพี่เรียกเราให้เข้าไปหาเพื่อออกมาจากจุดนั้น พร้อมบอกคุณหมอว่า "ปล่อยให้เค้าไปเถอะครับ".......เราเริ่มสติแตก.......เสียงเพื่อนแว่วมาว่าลูกจากไปแล้ว.......เราเริ่มร้องไห้หนัก
คุณท่านพี่ถามหมอไปว่าเค้าทรมานมั๊ย คุณหมอบอกว่า "ไม่" ...ตอนนี้เราได้แต่พูดคำเดิมซ้ำๆว่า "ไม่อยากจะเชื่อเลยๆ" คุณท่านพี่พยายามปลอบและบอกว่าเราว่าต้องเดินหน้ากันต่อไป และคำพูดอีกสารพัดซึ่งตอนนั้นเราไม่ฟังอะไรแล้วมันมีแต่ความว่างเปล่า เบลอ สติเลื่อนลอย น้ำตาไหลตลอดเวลา
ตอนนี้เพื่อนเริ่มถามว่าเราจะเอาลูกไปที่วัดมั๊ย? เรารีบปฏิเสธแล้วบอกว่า "เราจะพาเค้ากลับบ้าน" แต่ซึ้งในน้ำใจเพื่อนเหลือเกินในเวลาที่เราสองคนหัวใจสลายเช่นนี้ยิ่งเห็นได้ชัดเ้จนว่าในความโชคร้ายยังมีความโชคดีหลงเหลืออยู่ มีเพื่อนๆคอยอยู่เคียงข้าง
สุดท้ายลูกก็ไม่ได้ไปไหนค่ะ เค้าจะอยู่ที่บ้านของเราตลอดไปและที่สำคัญเค้าจะอยู่ในใจเราเสมอ เพื่อนๆถามเราสองคนว่าจะเลี้ยงหมาอีกมั๊ย คุณท่านพี่ว่าไม่ แต่เราคิดตรงข้ามค่ะ เราจะเลี้ยงอีกแน่นอนเพราะเค้าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์จริงๆ
ช่วงค่ำคุณหมอโทรศัพท์มาบอกผลเลือดของลูกที่ส่งไปที่ห้องแลป คุณหมอบอกอะไรเกี่ยวกับเม็ดเลือดขาวซึ่งเราจำไม่ได้แม่น แต่ที่เด่นชัดคือลูกมีพยาธิในเม็ดเลือด สาเหตุหลักมาจากการที่โดนเห็บที่มีเชื้อกัด
แปลกใจเหมือนกันลูกเราช่วงหลังไม่มีเห็บที่ตัวเลย แต่จะไปสงสัยก็ใช่เรื่องในเมื่อผลตรวจออกมาแบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องคิดสงสัย ลูกจากไปแล้วคือจบ คุณหมอก็เต็มที่กับลูกเรามากๆ ขอขอบคุณคุณหมอมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
แต่สุดท้ายที่ลืมไม่ได้คือขอบคุณเพื่อนๆในกลุ่มรวมถึงเพื่อนๆชาว bloggang สำหรับกำลังใจที่มอบให้ในยามทุกข์เช่นนี้ คุณค่าของความห่วงใยมีความหมายเหลือเกินค่ะ คอมเม้นและคำปลอบโยนทุกๆข้อความมีส่วนช่วยเราได้มาก
และสุดท้ายจริงๆขอขอบคุณคุณท่านพี่ที่อยู่เคียงข้างเราเสมอ รักและเข้าใจเราทุกอย่าง ที่สำคัญเราต้องต้องขอโทษที่ทำตัีวให้พี่เป็นห่วง อาการของเราคงแย่มากจนพี่ไม่สบายใจ นู๋แอนขอโทษนะคะ ณ ตอนนี้พยายามไม่นึกถึงลูกมากนักซึ่งช่วยได้มากและเวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นกว่านี้ค่ะ นู๋แอนสัญญาว่าจะกลับเป็นคนเดิมในเร็ววันค่ะ
|
Create Date : 22 พฤศจิกายน 2553 |
Last Update : 19 สิงหาคม 2554 13:58:37 น. |
|
28 comments
|
Counter : 1994 Pageviews. |
|
|
|
โดย: panwat วันที่: 22 พฤศจิกายน 2553 เวลา:17:31:22 น. |
|
|
|
โดย: nootikky วันที่: 22 พฤศจิกายน 2553 เวลา:17:40:49 น. |
|
|
|
โดย: sea_story วันที่: 22 พฤศจิกายน 2553 เวลา:17:57:42 น. |
|
|
|
โดย: boyalonejang วันที่: 22 พฤศจิกายน 2553 เวลา:18:37:35 น. |
|
|
|
โดย: Thandagra วันที่: 22 พฤศจิกายน 2553 เวลา:18:50:23 น. |
|
|
|
โดย: Aniruch_j วันที่: 22 พฤศจิกายน 2553 เวลา:22:42:48 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 23 พฤศจิกายน 2553 เวลา:6:27:55 น. |
|
|
|
โดย: ชมชล วันที่: 23 พฤศจิกายน 2553 เวลา:11:04:35 น. |
|
|
|
โดย: หญิงแก่น วันที่: 23 พฤศจิกายน 2553 เวลา:11:39:04 น. |
|
|
|
โดย: sea_story วันที่: 23 พฤศจิกายน 2553 เวลา:13:52:16 น. |
|
|
|
โดย: APPLEAIR วันที่: 23 พฤศจิกายน 2553 เวลา:16:26:49 น. |
|
|
|
โดย: Noon_rinz วันที่: 23 พฤศจิกายน 2553 เวลา:18:22:53 น. |
|
|
|
โดย: ปันฝัน วันที่: 23 พฤศจิกายน 2553 เวลา:21:58:42 น. |
|
|
|
โดย: panwat วันที่: 23 พฤศจิกายน 2553 เวลา:22:20:20 น. |
|
|
|
โดย: Tonno วันที่: 23 พฤศจิกายน 2553 เวลา:22:26:45 น. |
|
|
|
โดย: ชมชล วันที่: 23 พฤศจิกายน 2553 เวลา:22:48:42 น. |
|
|
|
โดย: นนนี่มาแล้ว วันที่: 23 พฤศจิกายน 2553 เวลา:22:54:26 น. |
|
|
|
โดย: meetkun วันที่: 16 ธันวาคม 2553 เวลา:11:28:18 น. |
|
|
|
|
|
|
|
จะได้หายเศร้าไง..อืมม.....เมื่อคืนไปลอยกระทงมั้ยนั่น
..............................................
แม้แสงจันทร์ส่องสว่างราวทิวา
แต่ใจข้ามืดมอดมิปลอดโปร่ง
หรือความทุกข์เหงาเศร้าเข้าอยู่โยง
ลอยกระทงหลงคอยอย่างน้อยใจ
กลุ่มใกล้ใกล้เขาสุขสนุกนัก
เหมือนคนรักร่วมคู่ดูยังใหม่
เขาหยอกหญิงวิ่งไล่ไม่อายใคร
จนแกนในส้นรองเท้าเจ้าหักลง
สวัสดียามค่ำครับหนูแอน