รีวิว MG GS Sport SUV ขับสนุกเร้าใจติด Turbo แรงสุด 218 แรงม้า
รีวิว MG GS Sport SUV ขับสนุกเร้าใจติด Turbo แรงสุด 218 แรงม้า MG GS เป็น Sport SUV ที่คนไทยน่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดีแล้ว เพราะ MG ประเทศไทย โหมโฆษณาอย่างหนักในทุกสื่อ โดยเฉพาะโฆษณาในโทรทัศน์ที่มั่นใจว่าทุกคนต้องเคยเห็นผ่านตาจนคุ้นเคย กับรถ SUV รูปทรงสปอร์ตสีส้ม ที่มาพร้อมนิยามใหม่ Follow no others ด้วยการออกแบบที่ไม่ตามใคร เกาะกระแสความแรงและการเติบโตของตลาดรถยนต์ SUV ในไทยที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่ง MG ตั้งใจว่าจะเป็นรถยนต์ Flagship ที่ประสบความสำเร็จและสร้างกำไรได้เป็นกอบเป็นกำในหลายประเทศทั่วโลกที่เข้าไปทำตลาดอยู่ ล่าสุด บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้จัดกิจกรรมทดสอบสมรรถนะ New MG GS ซึ่งมีกระแสตอบรับดีเยี่ยมจากงานมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมา ทีมงาน 9CarThai ก็ได้เข้าร่วมพิสูจน์สมรรถนะของเครื่องยนต์เบนซิน TURBO 2.0 ลิตร พละกำลัง 218 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ตลอดเส้นทางรวม 650 กิโลเมตร สัมผัสประสบการณ์ในทุกสภาพถนน ตามสภาวะการใช้งานจริงเป็นเวลา 2 วันเต็ม ไม่มีการปิดถนนกั้นรถเพื่ออำนวยความสะดวก ติดไฟแดงจริง ฝ่ารถติดโดยไม่มีอภิสิทธิ์ใด ๆ เพื่อให้ได้อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันตามการใช้งานจริงของลูกค้า ทำความรู้จักกับ MG GS เบื้องต้น New MG GS ได้รับการพัฒนาภายใต้แนวคิด Brit Dynamic เช่นเดียวกับรถ MG ทุกรุ่น โดยวิศวกร MG ตั้งใจให้โดดเด่นทั้งในด้านการออกแบบ สมรรถนะ การควบคุม และความปลอดภัยเหนือกว่ารถยนต์รุ่นอื่น ๆ ในเซกเมนต์เดียวกัน สำหรับคนที่ไม่ชอบอะไรที่ซ้ำซากจำเจน่าเบื่อ อยากเป็นผู้นำที่โดดเด่นกว่าคนอื่น ก็น่าจะถูกใจดีไซน์และแนวคิดของ MG กิจกรรมการทดสอบขับ เริ่มต้นการขับขี่จากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่อำเภอกุยบุรีในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รวมระยะทาง 650 กิโลเมตร ซึ่งเปิดโอกาสให้ได้สัมผัสกับสมรรถนะของเครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ 2.0 ลิตร พละกำลัง 218 แรงม้า ที่ 5,300 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตรที่รอบต่ำ 2,500 4,000 รอบต่อนาที ให้อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ภายใน 8.2 วินาที มาพร้อมกับระบบเกียร์อัตโนมัติ TST Twin Clutch Sportronic Transmission แบบ 6 สปีดที่ไม่เหมือนใคร การขับขี่บนเส้นทางที่ครบครันทั้งทางตรงสลับทางโค้งแบบตัวเอส ทดสอบการยึดเกาะถนนและระบบกันสะเทือนของ MG GS แบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลงที่ด้านหน้า และอิสระมัลติลิงค์พร้อมเหล็กกันโคลงที่ด้านหลัง สามารถแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ในการทดสอบนี้ MG GS มาพร้อมระบบความปลอดภัยที่ทำงานประสานกัน ได้แก่ ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อย่างระบบควบคุมการทรงตัว (SCS Stability Control System) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล (TCS Traction Control System) และระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง (CBC Curve Brake Control) นอกจากนี้ยังมีระบบการป้องกันล้อล็อกขณะเบรกฉุกเฉิน (ABS Anti-lock Braking System) พร้อมระบบช่วยกระจายแรงเบรก (EBD Electronic Brake Force Distribution) ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง (AVH Auto Vehicle Hold) ระบบทำความสะอาดจานเบรกอัจฉริยะ (BDC Intelligent Brake Disc Cleaning) ระบบเพิ่มแรงดันไฮดรอลิคเบรกให้เหมาะสม (OHBV Optimized Hydraulic Brake Servo) ระบบป้องกันการลื่นไถล เมื่อเกียร์ลดต่ำอย่างฉับพลัน (MSR Motor Control Slide Retainer) ระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (EBA Electronic Brake Assist System) ตลอดจนระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน (HAS Hill-Start Assist) ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง (TPMS Tire Pressure Monitor System) และระบบเบรกมือไฟฟ้า (EPB Electronic Parking Brake) ซึ่งทั้งหมดอยู่ภายใต้ระบบหนึ่งเดียวคือ Synchronized Protection System ในส่วนของโครงสร้างตัวถังนิรภัย แข็งแกร่งด้วยเทคโนโลยี FSF Full Space Frame ป้องกันผู้ขับขี่และผู้โดยสารทุกที่นั่งด้วยถุงลมคู่หน้าและด้านข้าง ความสะดวกสบายด้วยอุปกรณ์ที่ครบครัน พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น พร้อมระบบการควบคุมความเร็วอัตโนมัติ หรือ Cruise Control มีกุญแจอัจฉริยะ สตาร์ทรถแบบ Push Start ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ และกระจกมองหลังปรับแสงอัตโนมัติ ตลอดจนเทคโนโลยีการสื่อสารอัจฉริยะ inkaNet ที่มีฟังก์ชั่นใหม่ที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ การโทรออก-รับสาย การรับ-ส่งข้อความ หรือ แม้กระทั่งการแชร์สัญญาณอินเทอร์เน็ตไร้สายผ่านหน้าจอวิทยุ ตลอดจนระบบการนำทางรถยนต์แสดงผลผ่านหน้าจอทัชสกรีนขนาด 8 นิ้วและระบบเครื่องเสียงลำโพง 8 ตัวรองรับมัลติมีเดียและการเชื่อมต่อไร้สายผ่านบลูทูธ พร้อม USB และ AUX โดดเด่นสะดุดตาด้วยฝีมือการดีไซน์ของศูนย์การออกแบบ ยูเค เทคนิคคัล เซนเตอร์ (UK Technical Centre) ณ เมืองเบอร์มิงแฮม ดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวทุกมุมมองสะท้อนเอกลักษณ์แบบไม่ตามใคร (Follow No Others) กับคอนเซปต์การออกแบบ Diamond Flow Design เพื่อเน้นความสปอร์ตและปราดเปรียว สำหรับการออกแบบและตกแต่งภายในห้องโดยสารดีไซน์เน้นความสปอร์ต ทันสมัย วัสดุหนังระดับพรีเมี่ยมสีดำสะท้อนภาพลักษณ์ความดุดัน ประสบการณ์จากการทดสอบขับ ตลอดเส้นทางที่มีระยะทางรวม 650 กิโลเมตร มีการสลับขับทั้งรุ่น 2WD และ AWD เพื่อให้ได้ประสบการณ์และเปรียบเทียบความรู้สึกในการขับขี่ แม้ว่าเป็นการทดสอบขับบนสภาพถนนหลายแบบ ทั้งถนนผิวเรียบ ทางขรุขระ และถนนลูกรัง แต่ไม่มีเส้นทางลาดชันสุดโหดที่ต้องป่ายปีนแบบ Off Road ที่ต้องใช้ระบบ AWD กับระบบอื่นมาช่วยในการทรงตัวและลุยผ่านไปให้ได้ แต่จุดหลัก ๆ ที่รู้สึกได้คือ วิศวกรตั้งค่าระบบช่วงล่างมาแตกต่างกัน ผู้บริหาร MG ประเทศไทย แจ้งว่าระบบช่วงล่างในรุ่น AWD ถูกปรับแต่งมาเป็นพิเศษให้รองรับการลุยในทุกเส้นทางได้ดี เมื่อขับบนถนน On Road จะรู้สึกว่ามีความสะเทือนเข้ามาในห้องโดยสารมากกว่ารุ่น 2WD ไม่ว่าจะนั่งในตำแหน่งใด ก็รู้สึกว่าช่วงล่างแข็งกระด้างไปนิด ถ่ายทอดความขรุขระของพื้นถนนมาเป็นแรงสะเทือนเยอะกว่า แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการเติมลมยางด้วยเช่นกัน เสียดายที่ไม่ได้ทดสอบอัตราเร่ง 0-100 km. ว่าทำได้ตามสเปคที่ระบุว่า 8.2 วินาทีจริงหรือไม่ เนื่องจากสภาพถนนไม่เอื้ออำนวย แต่การทดสอบขณะออกตัวเป็นคันแรกจากสี่แยกทันทีที่ปล่อยไฟเขียว เหยียบคันเร่งสุด รีดกำลังจากเครื่องยนต์เทอร์โบออกมาเต็มที่ ก็รู้สึกได้ทันทีว่าแรงมาก รถพุ่งออกตัวอย่างรวดเร็วดีมาก ทั้งนี้เป็นการใช้โหมดสปอร์ต ลากรอบได้มากกว่าโหมดขับขี่ปกติ ซึ่งก็คาดว่าน่าจะทำได้ใกล้เคียงกับที่ระบุในสเปค เมื่อจับเวลาคร่าว ๆ ด้วยนาฬิกา เมื่อปรับเกียร์ไปที่โหมดสปอร์ต ชุดไฟที่แผงหน้าปัดจะเปลี่ยนเป็นสีแดง สมรรถนะจะแรงขึ้นด้วยเทอร์โบในระดับหนึ่ง แม้ว่าไม่ได้ใช้โหมดสปอร์ต ก็รู้สึกได้ว่าเครื่องยนต์มีกำลังและแรงบิดที่สูงมากอยู่แล้ว ดูเหมือนโหมดสปอร์ตจะช่วยในการลากรอบให้ยาวขึ้นก่อนเปลี่ยนเกียร์สูงขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าชอบความแรงแบบติดเทอร์โบ MG GS น่าจะตอบโจทย์การขับขี่แบบสปอร์ตได้พอสมควร โดยเฉพาะการออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง จะเห็นประสิทธิภาพได้ชัดเจน ตลอดเส้นทาง จะใช้ความเร็วในช่วง 115 130 km/h มีเร่งแซงเป็นระยะตามสภาพจราจรที่มีรถบรรทุกเป็นจำนวนมากตลอดทาง รวมทั้งนิสัยที่ไม่ชอบขับช้าตามหลังใครคล้ายกับนิยามของรถรุ่นนี้ จึงมีโอกาสได้ใช้โหมดสปอร์ตในการเร่งแซง เมื่อตบเกียร์มายังโหมดสปอร์ตแล้วใช้ Paddle Shift หรือ Shift เกียร์ขึ้นลงแบบ Manual ตามต้องการ รอบเครื่องยนต์ที่สูงขึ้นมาพร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ที่ได้ยินดังขึ้น การลดเกียร์ลงมาอัตโนมัติเมื่อเหยียบคันเร่งเพื่อเร่งแซง หรือใช้ Paddle Shift ก็ตาม สังเกตได้ว่าระบบจะหน่วงไว้เป็นเวลาประมาณ 2 วินาทีทุกครั้ง จุดนี้อาจจะไม่ทันใจหรือไม่ถูกใจขาซิ่งเท่าไรนัก แต่โดยรวมก็ถือว่า MG GS เป็นรถยนต์ที่ขับทางไกลได้สนุก ให้พลกำลังได้เยอะมาก การทรงตัวในขณะเข้าโค้ง การเบรกกระทันหัน น้ำหนักของพวงมาลัย ถือว่าทำได้ดีพอสมควรตามเกณฑ์มาตรฐาน ให้ความมั่นใจในการขับขี่ได้ดี ขับได้ง่ายทั้งชายและหญิง เบาะคู่หน้าสูงมาก ให้มุมมองและทัศนวิสัยดี แต่ก้าวลงจากรถได้ลำบาก เพราะขอบประตูยื่นออกไปค่อนข้างมาก อาจทำให้กางเกงขายาวที่สวมใส่อยู่เปื้อนได้ ไม่มีบันไดให้เหยียบก้าวลง จากการทดสอบขับทางไกลในแบบประหยัด วิ่งด้วยความเร็วคงที่ 80 km/h วัดอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันได้ 11.4 km/l เมื่อขับในโหมดสปอร์ต เน้นทำความเร็ว แซงตลอดทาง ทำความเร็วในช่วง 110 140 km/h วัดอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันได้ 9.0 km/l ส่วนการขับในเมือง วัดอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันได้ 7 km/l ตามที่ระบบคำนวณออกมาให้เห็นบนหน้าจอ ถือว่ากินน้ำมันมากกว่าคู่แข่ง แต่แลกมากับการขับขี่ที่สนุก ให้อารมณ์สปอร์ตด้วยพลกำลังจากเทอร์โบ ห้องโดยสารตอนหลังกว้างมาก นั่งไขว่ห้างได้ ปรับเอนนอนเพิ่มได้อีก 14 องศา หลับสบาย ผ่อนคลายได้ดี แต่เสียงของยางที่สัมผัสพื้นถนน ดังเข้ามาในห้องโดยสารตอนหลังแบบชัดเจนมาก ทั้งที่ยางที่ติดมากับรถ ก็เป็นรุ่นและแบรนด์ที่มีคุณภาพดี เมื่อขับด้วยความเร็วที่สูงกว่า 120 km/h ผู้ขับและผู้โดยสารตอนหน้าจะเริ่มได้ยินเสียงลมปะทะ แต่เบามาก ถ้าไม่ตั้งใจจับผิดก็คงไม่ได้ยินแบบชัดเจนนัก แต่เสียงที่ได้ยินชัดมากก็คือเสียงยางสัมผัสพื้นถนนกับเสียงรอบเครื่องยนต์ที่สูงขึ้นถึง 4000 5500 rpm เมื่อเร่งแซง สิ่งที่ประทับใจ - ดีไซน์สวย สปอร์ตตามสไตล์สายพันธุ์อังกฤษ ฉีกแนวเดิม ๆ ของรถญี่ปุ่นที่เห็นเกลื่อนถนน
- มีระบบ inkaNet ช่วยเช็คสถานะรถจากระยะไกลได้ผ่านแอปพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน
- ห้องโดยสารกว้าง สบาย เบาะสูง มุมมองดี เห็นได้กว้างไกล
- เครื่องปรับอากาศ เย็นฉ่ำสู้อากาศร้อนประเทศไทยได้ดี
- โครงสร้างตัวถัง แข็งแรงกว่าคู่แข่ง
- เบาะคู่หน้ามีขนาดใหญ่โอบรัดสรีระได้ดี
- MG แจ้งว่าค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา ค่อนข้างต่ำ
- คุณภาพเสียงจากชุดเครื่องเสียง ให้มิติเสียงที่ดี
ข้อสังเกต - ปุ่มสั่งงานจอภาพบนแผงหน้าปัด ใช้งานยากและเมนูซับซ้อน
- ปุ่มควบคุมเครื่องปรับอากาศกับเครื่องเสียง ควรแยกอิสระให้ห่างกันอีกนิด ลดวามสับสน
- ก้านไฟเลี้ยว อยู่ทางซ้ายมือตามสไตล์รถยุโรป ต้องใช้เวลาปรับตัวเล็กน้อยก็จะชิน
- หน้าจอขนาดเล็กแสดงข้อมูลบนแผงหน้าปัด ดูคับแคบอึดอัด อ่านยาก
- เบาะหลัง สั้นไปหน่อย ไม่รองน่อง เหยียดขาได้ไม่สะดวกนัก
- ช่วงล่างและระบบกันสะเทือน แข็งกระด้างเกินไป
- กล่อง inkaNet ในรุ่นนี้ จับสัญญาณได้เฉพาะ TrueMove H 3G เท่านั้น ไม่รองรับ 4G LTE
Create Date : 13 พฤษภาคม 2559 |
Last Update : 13 พฤษภาคม 2559 18:36:46 น. |
|
0 comments
|
Counter : 2328 Pageviews. |
|
|